หุ้นเก็บหนี้ กับเมกะเทรนด์ในอนาคตของประเทศไทย
ในช่วงปี 2020 ต้องบอกว่าเป็นปีที่ยากลำบากของนักลงทุน และประเทศไทยตั้งแต่ต้นปีเลยนะครับ เพราะปัญหาต่างๆ รุมเร้าเข้ามาอย่างรวดเร็วและรุนแรง ปัญหาที่หนักที่สุดคงหนีไม่พ้น ไวรัสโควิค-19 ที่กระทบทุกภาคส่วนทั้งกระทบตรงๆ กับการใช้ชีวิตของเรา และกระทบเศรษฐกิจไปทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม ในภาวะวิกฤตแบบนี้ มักเป็นโอกาสสำคัญสำหรับนักลงทุนหุ้น โดยเฉพาะนักลงทุนระยะยาว หากเราไม่รีบร้อนซื้อหุ้นเร็วจนเกินไป รอให้อะไรๆ คลี่คลายลงไปก่อน ระหว่างรอก็ทำการบ้านหาหุ้นที่จะถือยาวๆ ถ้าทำได้แบบนี้โอกาสก็จะเกิดขึ้นกับตัวเราเองอย่างแน่แท้ แล้วหุ้นอะไรที่เราควรหามาทำการบ้านในช่วงเวลาแบบนี้
หุ้นที่เราควรหามาทำการบ้าน ผมคิดว่าควรเป็นหุ้นที่อยู่ใน "เมกะเทรนด์" เพราะสิ่งที่เป็นเทรนด์มักจะเติบโตได้เรื่อยๆ ยิ่งเทรนด์นานเท่าไหร่ การเติบโตก็จะดีมากขึ้นเท่านั้น เทรนด์ที่แนะนำก็คือ "การเป็นหนี้" ของภาคครัวเรือนไทย
ภาพการเติบโตของหนี้สินภาคครัวเรือนในประเทศไทย
ภาพแสดงการเติบโตของมูลหนี้ภาคครัวเรือนไทย ที่มา : บริษัท ชโย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)
จากภาพจะเห็นว่า การเติบโตของหนี้สินภาคครัวเรือนในประเทศไทยเติบโตขึ้นมากในช่วงที่ผ่านมา นับตั้งแต่ปี 2016 หนี้สินภาคครัวเรือนมีมากกว่า 13 ล้านล้านบาท จนปี 2019 มีมากกว่า 15.5 ล้านล้านบาท ถือว่าเติบโตขึ้นทุกปี และมูลค่าหนี้สินใกล้เคียงกับมูลค่าของ GDP ประเทศไทยเลยทีเดียว
การเติบโตด้วยหนี้สินที่มากมายขนาดนี้ เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาประเทศไทยไม่ได้มีการลงทุนหนักๆ เลย ดังนั้นการเติบโตจากภาครัฐบาลจึงไม่มาก ทำให้รัฐบาลผ่อนคลายการปล่อยสินเชื่อภาคประชาชน ซึ่งต้องบอกเลยว่า ที่ผ่านมาประเทศเราเติบโตด้วยหนี้สินภาคประชาชนนั่นแหละครับ
เมื่อหนี้สินภาคประชาชน หรือภาคครัวเรือนขยับปรับสูง ก็ทำให้สิ่งที่เรียกว่า หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ Non-Performing Loan (NPL) เติบโตขึ้นมาก และนั่นก็ทำให้ธุรกิจรับจ้างติดตามทวงหนี้เติบโต
หุ้นอะไรบ้างที่น่าสนใจในกลุ่มนี้
พอเราเห็นดังนี้แล้ว ก็ทำให้พิจารณาต่อได้ว่า หนี้สินภาคครัวเรือน อันนำมาซึ่ง NPL นั้นมีปริมาณมากในระบบเศรษฐกิจไทย และแนวโน้มก็จะมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น หนี้สินจากบัตรเครดิต บัตรกดเงินสด หนี้สินรถยนต์ หนี้จากสินเชื่อบ้าน ฯลฯ แบบนี้หุ้นในแนวๆ บริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ หรือหุ้นเก็บหนี้น่าจะดีน่าลงทุนระยะยาว ลองมาดูว่ามีหุ้นตัวไหนบ้าง?
- BAM บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ... สำหรับหุ้น BAM นั้นทำธุรกิจบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพและทรัพย์สินรอการขาย โดยส่วนใหญ่จะเป็นอสังหาริมทรัพย์ หรือเรียกง่ายๆ ว่า บ้านที่ถูกยึดจำนอง และเจ้าของทรัพย์ คือ ธนาคารพาณิชย์ หรือสถาบันการเงินอาจจะไม่อยากบริหารจัดการเอง ก็จะให้ BAM รับไปบริหารจัดการต่อ
- JMT บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) ... หุ้น JMT ประกอบกิจการ 3 ประเภท ได้แก่ 1) ธุรกิจให้บริการติดตามเร่งรัดหนี้ 2) ธุรกิจบริหารหนี้ด้อยคุณภาพ โดยซื้อหนี้ด้อยคุณภาพจากสถาบันการเงิน หรือบริษัทต่างๆ และนำมาบริหารจัดเก็บหนี้ 3) ธุรกิจให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ โดยเน้นให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ใช้แล้วทั้งรถยนต์นั่งส่วนบุคคลและรถกระบะ และเน้นปล่อยสินเชื่อให้แก่บุคคลธรรมดา
- CHAYO บริษัท ชโย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ... CHAYO ประกอบธุรกิจของกลุ่มกิจการ มีวัตถุประสงค์เพื่อประกอบกิจการเจรจาติดตามและเร่งรัดหนี้สิน และบริหารสินทรัพย์จากการรับซื้อหรือรับโอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพทั้งที่มีหลักประกันและไม่มีหลักประกันจากสถาบันการเงิน และกิจการศูนย์บริการข้อมูลลูกค้า
สำหรับหุ้นทั้งสามตัว ถือว่าน่าสนใจติดตาม และคาดว่าจะเป็นหุ้น "โตเร็ว" หรือ Growth Stock ได้ภายใน 1-2 ปีต่อจากนี้ ทว่าการลงทุนระยะยาว เราไม่ควรจะซื้อหุ้นที่ราคาสูงเกินไป ลองมาดูค่า PE หรือ การนำเอาราคาหุ้นมาหารด้วยกำไรต่อหุ้น ดูว่าหุ้นตัวไหนถูกแพงขนาดไหน ดังต่อไปนี้
- BAM PE 12.34 เท่า
- JMT PE 25.82 เท่า
- CHAYO PE 34.49 เท่า
ค่าพีอียิ่งน้อย แสดงว่าเราซื้อหุ้นได้ในราคาถูก โดยค่าพีอีของหุ้น BAM ถือว่าต่ำที่สุด แต่เราก็ต้องดูแนวทางการประกอบธุรกิจประกอบด้วย เพราะ BAM รับจัดการบริหารสินทรัพย์ประเภทอสังหาริมทรัพย์เป็นหลัก ต้องมีขั้นตอนมากมายกว่าจะบริหารจัดการได้ เช่น ต้องฟ้องร้อง ทำสำนวนทางด้านกฏหมาย ฯลฯ การพิจารณาว่าซื้อลงทุนตัวไหนต้องไปทำการบ้านต่ออย่างละเอียด
ข้อสรุป และข้อคิดก็คือ ... หุ้นในกลุ่มเก็บหนี้ หรือบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพถือว่าน่าสนใจในมุมมอง หากเราต้องการลงทุนระยะยาวในกลุ่มนี้เพื่อผ่าวิกฤตในปี 2020 ถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ แต่ต้องระวังอย่าซื้อหุ้นในราคาแพงจนเกินไป ซื้อแล้วถือยาวๆ รอไปอีก 1-2 ปีได้เลยครับ
#นายแว่นลงทุน