เช็กด่วน!! เงินปันผลแบงก์ไหนให้ผลตอบแทนสูงสุด รู้ก่อน รวยก่อน มีชัยไปกว่าครึ่ง
ปัจจุบันแนวทางการหาเงินหรือกลยุทธ์ในการลงทุนด้วยการปล่อยให้เงินทำงาน หรือที่หลายคนเรียกว่า "Passive Income" เป็นที่พูดถึงกันอย่างทั่วหลาย โดยการลงทุนในรูปแบบนี้ส่วนใหญ่รายได้นั้นจะมาจากเงินปันผล จากรูปแบบการลงทุนของกองทุน หุ้น อสังหาริมทรัพย์ และค่าลิขสิทธิ์
"Passive Income" มีอยู่หลายรูปแบบดังที่ได้กล่าวมา แต่การลงทุนที่น่าสนใจและถูกพูดถึงกันมากในตอนนี้ก็คือ รูปแบบหุ้นที่ได้ผลตอบแทนเป็นเงินปันผล ดังนั้น วันนี้ทางทีมงาน CheckRaka จึงได้รวบรวมข้อมูลราคาผลตอบแทนหุ้นของกลุ่มธนาคารมานำเสนอให้เพื่อนๆ ได้ใช้เป็นตัวเลือกในการตัดสินใจ...มาเริ่มทำความรู้จักกับ "หุ้นปันผล" ไปพร้อมกันค่ะ
ทำความเข้าใจ "หุ้นปันผล" "หุ้นปันผล" (Stock Dividend) คือ การจ่ายปันผลในรูปของหุ้นสามัญออกใหม่ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของบริษัทในการจ่ายผลตอบแทนให้ผู้ถือหุ้น นอกเหนือจากการจ่ายปันผลในรูปแบบเงินสด (Cash Dividend) โดยหุ้นปันผลจะกำหนดจำนวนหุ้นที่จ่ายให้ผู้ถือหุ้นตามสัดส่วนของหุ้นที่ถืออยู่ บริษัทจึงต้องเพิ่มทุนเพื่อนำมาจ่ายเป็นหุ้นปันผลดังกล่าว การจ่ายหุ้นปันผลไม่ส่งผลกระทบต่อส่วนของผู้ถือหุ้นในงบดุล แต่จำนวนกำไรสะสมจะลดลงในขณะที่จำนวนหุ้นสามัญและ/หรือส่วนเกินมูลค่าหุ้นจะเพิ่มขึ้นในจำนวนที่เท่ากัน
ประโยชน์ของการจ่ายหุ้นปันผล |
บริษัท | ผู้ถือหุ้น |
- เก็บเงินสดไว้ลงทุนและขยายธุรกิจ โดยไม่ต้องจัดหาเงินทุนจากแหล่งเงินทุนภายนอก ซึ่งอาจมีต้นทุนทางการเงินที่สูงกว่า
- ไม่เสียสภาพคล่องทางการเงิน
- สัดส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (D/E Ratio) ไม่เปลี่ยนแปลง
- เพิ่มสภาพคล่องของหุ้นจากจำนวนหุ้นหมุนเวียนที่มีมากขึ้น ส่งผลต่อการระดมทุนในอนาคต
- รักษาความน่าสนใจในการลงทุนจากการที่บริษัทยังคงมีการจ่ายปันผล
| - เสมือนได้รับผลตอบแทนจากการลงทุน เนื่องจากสามารถนำหุ้นไปขายเพื่อแปลงเป็นเงินสด หรือถือไว้เพื่อผลตอบแทนระยะยาว
- สภาพคล่องของหุ้นเพิ่มขึ้นจากจำนวนหุ้นหมุนเวียนที่มีมากขึ้น
|
ควรเลือกลงทุนใน "หุ้นปันผล" ยังไง? ข้อดีของการลงทุนในหุ้นปันผลก็คือ เป็นหุ้นที่สามารถเอาชนะเงินเฟ้อได้ โดยเงินเฟ้อของไทยเฉลี่ยอยู่ที่ 3% ต่อปี เพราะเป็นการลงทุนในกิจการ เมื่อลงทุนในธุรกิจที่ดีก็ย่อมคาดหวังการเจริญเติบโต ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วอัตราการเติบโตของบริษัทที่ดีมักจะมากกว่าเงินเฟ้อ จากสถิติการลงทุนในหลายๆ ปีที่ผ่านมาพบว่า ผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 5 - 10% ต่อปี (ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยเงินเฟ้อ) ถือว่าดี!!
เมื่อความดีและความคุ้มค่าของหุ้นปันผลเกิดขึ้นให้เห็นแล้ว หลายคนคงมีคำถามในใจว่าเมื่อเราสนใจที่จะลงทุน เราควรจะเลือกลงทุนในหุ้นปันผลยังไง? วันนี้ทีมงาน CheckRaka ก็พร้อมมีคำตอบมาฝากให้พิจารณาการเลือกหุ้นปันผลจาก 3 ปัจจัยนี้ค่ะ
ปัจจัยที่ 1 >> ควรเป็นกิจการที่มีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง เป็นผู้นำในธุรกิจที่ดำเนินการอยู่ มีแบรนด์หรือตราสินค้าที่เป็นที่จดจำของลูกค้า ที่สำคัญเราต้องรู้จักและเข้าใจในธุรกิจที่เรากำลังลงทุนด้วย
ปัจจัยที่ 2 >> มีความสม่ำเสมอในการจ่ายเงินปันผล ซึ่งสะท้อนถึงนโยบายและความเคร่งครัดของบริษัทในการจ่ายเงินปันผล โดยอาจดูได้จากข้อมูลการจ่ายเงินปันผลในอดีต (สามารถหาข้อมูลได้จากเว็บไซต์ของทางตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย www.set.or.th, www.settrade.com) หุ้นปันผลที่ดีนอกจากปันผลอย่างต่อเนื่องแล้วควรปันผลมากขึ้นด้วย เช่น จากข้อมูลย้อนหลัง ปีแรกปันผล 1 บาท ปีที่สองควรปันผล 1.10 บาท และปีที่สามควรปันผล 1.20 บาท เป็นต้น เพราะหากกิจการสามารถจ่ายเงินปันผลที่มากขึ้น นั่นหมายถึงสุขภาพทางการเงินและการดำเนินงานของบริษัทมีแนวโน้มการดำเนินงานที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ ก็จะทำให้นักลงลทุนมีความอุ่นใจในระดับหนึ่ง
ปัจจัยที่ 3 >> ต้องอย่าลืมว่าการลงทุนในหุ้นปันผลคือการลงทุนระยะยาว เป็นการให้เงินทำงานแทนเรา นอกจากนี้เรามักจะพบว่าหลังจากที่บริษัทจ่ายเงินปันผลออกมา หุ้นจะมีราคาตกลงมาเท่ากับหรือมากกว่าเงินปันผลที่เราได้ (การจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้น คือการจ่ายเงินมาจากกำไรสุทธิ หรือกำไรสะสม ทำให้เงินสดในกิจการลดลง ส่งผลให้ราคาหุ้นอาจลดลงได้) ดังนั้นถ้าเราหวังแค่เงินปันผลระยะสั้น อยากซื้อหุ้นเพื่อรับเงินปันผลแล้วขายเลย อาจทำให้เราขาดทุนที่ราคาหุ้นแทน
จากปัจจัยหลักข้างต้นจะเห็นได้ว่า หุ้นธุรกิจที่น่าสนใจและมีคุณสมบัติครบทั้ง 3 ปัจจัยในการเลือกลงทุนหุ้นปันผลนั่นก็คือ หุ้นจาก "เงินปันผล" ของธนาคารต่างๆ ค่ะ หากใครสนใจก็ติดตามต่อเพื่อดูราคา "เงินปันผล" ของหุ้นธนาคารที่น่าสนใจกันเลยค่ะ
การจ่าย "เงินปันผล" ของหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ งวดปี 2563? หลังจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ไฟเขียวให้สถาบันการเงินสามารถจ่ายเงินปันผลของงวดประจำปี 2563 โดยให้สถาบันการเงินสามารถจ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานของปี 2563 ได้ไม่เกินอัตราการจ่ายในปี 2562 และต้องไม่เกินร้อยละ 50 ของกำไรสุทธิของปี 2563 ซึ่งแบงก์ชาติได้ขอความร่วมมือให้สถาบันการเงินงดจ่ายปันผลเฉพาะกาล รวมถึงซื้อหุ้นคืน เนื่องจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจไทยที่กำลังได้รับผลกระทบจากโควิด-19
สรุป...ราคา "เงินปันผล" ธนาคารไหนมาแรงสุด ในช่วงปี 2563 - 2564 จากการที่แบงก์พาณิชย์ได้ประกาศจ่ายปันผลงวดปี 2563 รวมมีทั้งหมด 8 แบงก์ โดยมีเงินรวมราว 3.2 หมื่นล้านบาทเศษ สรุปเป็นการจ่ายปันผลตั้งแต่ 0.005 - 6.30 บาท ซึ่งแบงก์ที่ครองแชมป์เงินปันผลสูงสุดคือ "ทิสโก้" อัตราเงินปันผลสูงเฉียด 7% ในขณะที่ "ไทยพาณิชย์" จ่าย 2.30 บาท ต้องจ่ายสูงสุด 7.8 พันล้านบาท และ "แบงก์กรุงเทพ-กสิกรไทย" จ่าย 2.50 บาทเท่ากัน ส่วน "บล.เอเซีย พลัส" เชียร์ซื้อหุ้นเด่น "TISCO-KBANK-BBL" พื้นฐานแกร่งเก็งเศรษฐกิจฟื้นตัวครึ่งหลังปี 2564