จากอดีตนักแข่ง F1 สู่ชีวิตคู่รักนักเดินทางรอบโลก! กับรถคู่ใจ GPX Legend
Brausch Niemann อดีตนักแข่งรถ ฟอร์มูล่า (Formula One) หรือ F1 จากแอฟริกาใต้รุ่นบุกเบิก ผันชีวิตวัย 81 ปี สู่การเป็นนักเดินทางหลังวัยเกษียณ ร่วมกับ Sheila Niemann ภรรยาของเขากับการเดินทางรอบโลก และการมาเยือนเมืองไทย ทำให้ Brausch & Sheila ได้เจอกันรถคู่ใจ GPX Legend คันนี้ เรื่องราวการเดินทางของ Brausch & Sheila จะเป็นอย่างไร และอะไรคือแรงบันดาลใจให้เขาและเธอออกเดินทาง มาติดตามกันได้เลย
Brausch เล่าให้เราฟังถึงที่มาที่ไปก่อนจะเข้าสู่ชีวิตนักเดินทางของเขาว่า "ผมเคยเป็นช่างเครื่องฝึกหัดในอดีต และหลังจากนั้น ผมก็ได้มาดูแลในส่วนของรถแข่ง และผมก็โชคดีมาก ที่ได้รับการสนับสนุน ให้ได้ขับรถฟอร์มูล่า 1 ลงแข่งใน 3 การแข่งขันรถประจำปีในแอฟริกาใต้ และผมก็ยังคงเป็นนักแข่งอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 5 ปี ซึ่งหลังจากที่เห็นผู้คนมากมายได้เสียชีวิตลงไปเพราะความอันตรายในสนามแข่ง ผมก็รู้สึกได้ว่า มันถึงเวลาที่ผมจะวางมือจากการแข่งรถ และเริ่มต้นทำธุรกิจเป็นของตัวเองสักที ตอนนี้ผมก็ได้เกษียรแล้ว ทำให้ผมมีเวลาที่จะสนุกกับการขี่รถมอเตอร์ไซค์กับภรรยาไปรอบโลก"
"เราเริ่มออกเดินทางด้วยกันในปี 2003 พวกเรามาที่ประเทศไทย และค่อนข้างสนุกกับการท่องเที่ยวในช่วงพักร้อนที่นี่ และในที่สุดเราก็ได้ซื้อรถมอเตอร์ไซค์ของ GPX และเราก็สนุกกับการขับไปใน ภาคตะวันตก ภาคเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ ระยะทางกว่า 30,000 กิโลเมตร และเราจะวนกลับมาที่ประเทศไทยในทุกๆ 2 ปี เพื่อท่องเที่ยวด้วยรถมอเตอร์ไซค์อีกรอบ" Sheila ภรรยาของ Brausch กล่าวเสริม
และเมื่อเราถามว่า ทำไมเขาถึงเลือก GPX Legend ให้เป็นรถคู่ใจ พาเขาและภรรยาออกเดินทางไปค้นหาสิ่งใหม่ๆ ในรอบหลายปีที่ผ่านมานี้ Brausch ก็บอกเล่าถึงวันที่ได้เจอรถคันนี้ว่า "วันนั้นผมลองเข้าไปดูรถที่โชว์รูมของ GPX แล้วก็ได้เจอกับมอเตอร์ไซค์ที่ดูสวยงามคันหนึ่ง คือ "Legend 150" และหลังจากที่ผมได้เดินดูรอบๆ ก็ได้เจอกับ "Legend 200" และนั่นทำให้ผมสนใจรถคันนี้ ที่ผมสามารถที่จะใช้ทัวร์รอบเอเชียได้อย่างสะดวกสบาย"
"ที่ผมเลือกประเทศไทยในการมาพักผ่อน เพราะว่าประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ดีที่สุด เนื่องจากคนไทยมีนิสัยดี อัธยาศัยดี เมื่อคุณมาเที่ยวที่นี่ มันทำให้คุณรู้สึกปลอดภัย และทุกคนให้ความช่วยเหลือเป็นอย่างดี นั่นทำให้เรามีความสุขกับการมาที่นี่ และทุกๆ ที่ในประเทศไทย เป็นที่ที่น่าสนใจทั้งสิ้น แต่ที่ผมรู้สึกว่าน่าสนใจที่สุดคือ จังหวัดน่าน เพราะบ่อน้ำพุร้อนของที่นั่น และถ้าถามถึงเส้นทางที่ผมคิดว่าเป็นความยากและท้าทายที่สุดที่เคยไปคือ ทริปจาก ปาย ไป แม่สอด ไป เชียงใหม่ เพราะเราเจอทั้งฝน ทั้งหมอก รวมถึงอากาศที่หนาวมาก ซึ่งผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าผมจะรู้สึกหนาวได้ในประเทศไทย แต่ว่ามันหนาวจริงๆ มันเลยเป็นเส้นทางที่ยาก แต่สนุกสำหรับพวกเรา"
"การเดินทางในประเทศไทย เราจะขับรถโดยให้สภาพอากาศนำทาง ถ้าเราเจอฝน เราก็จะขับไปอีกทางนึง หรือหยิบแผนที่ขึ้นมา หาเส้นทาง และขี่ไปในเส้นทางใหม่ และความสวยงามอย่างนึงของประเทศไทยคือ การที่ประเทศไทยมีที่พักและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ดี ซึ่งเป็นสิ่งที่สามารถพบได้ทุกที่ในประเทศไทย บางวันเราขี่มอเตอร์ไซค์ 12 ชั่วโมง และเราก็หยุดทุกๆ 100 กิโลเมตร เพื่อดื่มน้ำ และเมื่อคุณขี่ไปจนถึง 100 หรือ 1,000 กิโลเมตร ผมพบว่ามันน่าตื่นเต้น เมื่อคุณมองไปยังรูปถ่ายที่เคยถ่ายไว้ เพราะว่าการดูรูปถ่ายมันเหมือนเป็นการเล่าเรื่องที่ผ่านมาอีกรอบนึง และพวกเราก็มีรูปที่ถ่ายไว้นับ 1,000 รูป"
"ผมมองว่าข้อดีของการขี่มอเตอร์ไซค์คือ ในตอนที่คุณกำลังขี่ไปข้างหน้า คุณไม่ต้องกังวลกับรถติด และมีความอิสระ คุณสามารถรับรู้ได้ถึงลมที่พัดผ่านหน้าคุณได้ ในขณะที่ในรถยนต์ มันเหมือนกับคุณนั่งในฟองสบู่ คุณจะสามารถได้วิวที่ดีกว่าหากคุณเลือกที่จะขี่มอเตอร์ไซค์ และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เมื่อคุณขี่มอเตอร์ไซค์แล้ว มันจะทำให้คุณเด็กลง และคุณจะไม่มีทางแก่เมื่อคุณขี่มอเตอร์ไซค์ และผมคิดว่าผมก็ยังคงจะขี่มันต่อไป ถึงแม้ผมจะอายุ 120 แล้วก็ตาม"
"ฉันมองว่าการนั่งรถไปกับ Brausch เป็นเหมือนกับการผจญภัยครั้งใหญ่ เพราะเขาชอบสำรวจเส้นทางใหม่ๆ ที่บางครั้ง ไม่ได้มีในแผนที่ด้วยซ้ำ ซึ่งเราได้ขับไปทั้งเส้นทางท่องเที่ยว เส้นทางในเมือง รวมไปถึงเส้นทางขึ้นภูเขา และเมื่อเจอกับเส้นทางที่ดูน่าสนใจ เขาก็จะขับไปเริ่มการผจญภัยของเขา ทำให้บางครั้งเราจะไปเจอกับเรื่องที่คาดไม่ถึง ค้นพบสิ่งใหม่ๆ พบเจอกับคนที่น่าสนใจ และหยุดพักที่จุดที่น่าสนใจ เพื่อรับประทานอาหารกับคนไทยท้องถิ่น และนั่นทำให้ทุกครั้งคือการผจญภัยครั้งใหญ่"
และท้ายที่สุดนี้ Brausch & Sheila Niemann ยังได้ฝากข้อคิดไว้ให้กับใครที่กำลังสนใจอยากลองออกเดินทางแบบพวกเขาว่า "คุณจะต้องตัดสินใจว่า คุณจะออกไปคนเดียว หรือว่าคุณจะหาเพื่อนร่วมทางไปด้วย เพราะข้อดีของการมีพาร์เนอร์ไปท่องเที่ยวด้วยกันคือ คุณจะสามารถเข้าใจคู่ของคุณได้มากขึ้น และคุณสามารถแบ่งปันเรื่องราวในการเดินทาง ทั้งช่วงเวลาที่ดี ช่วงเวลาที่แย่ ความตื่นเต้น ความสนุก ประสบการณ์ รวมไปถึงเสียงหัวเราะให้กันและกัน คุณจะได้ทำงานเป็นทีมด้วยกันในทุกๆอย่าง และสนุกไปกับการมีเพื่อนร่วมทางอีกครั้ง หลังจากที่คุณได้วางมือจากธุรกิจหรือการทำงาน มันเป็นสิ่งที่ดีที่จะทำหลังวัยเกษียร และเป็นแรงบันดาลใจที่ดีในการเห็นโลกด้วยตัวคุณเอง"
ได้ฟังอย่างนี้แล้ว ทำเอาอยากเก็บสัมภาระและหาคนรู้ใจซ้อนท้ายออกทริปเดินทางไปด้วยกันเดี๋ยวนี้เลยล่ะ ก็ต้องขอขอบคุณ Brausch & Sheila Niemann ที่มาแชร์เรื่องราวดีๆ สมกับเป็นคู่รักนักเดินทางที่มีพลังบวกและพร้อมสร้างแรงบันดาลใจให้ใครหลายๆ คนได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว