หลังจากที่เคยได้สัมผัส TIGER 1200 มาแล้วเมื่อ 2 ปีก่อนครั้งนี้ได้โอกาสมาขี่รุ่นใหม่กับขุมพลังสามสูบ 900 ซีซี ที่มีให้เลือก 2 รุ่นย่อยเหมือนเดิมคือ GT และ Rally โปร ทริปทดสอบครั้งนี้ได้มาลงพื้นที่กัน 2 จังหวัด เพชรบุรี - ประจวบคิรีขันธ์
ขบวนไทรอัมพ์
TIGER 900 เริ่มออกตัวกันที่ วีลันดารีสอร์ต ชายหาดชะอำใต้ ขี่ออนโร้ดตัดไปยังแก่งกระจาน ผู้เขียนได้เริ่มต้นกับรุ่น
Rally โปร ล้อซี่ลวดก่อน ความท้าทายอยู่ที่ช่วงความสูงของเบาะ 860-880 มม. นับว่าสูงมากสำหรับคนเอเชียอย่างไทย และที่พีคสุดคือผู้เขียนได้คันที่ปรับไว้สูงสุดคันเดียวของทริป 880 !!! ช่วงชะลอหยุดติดสัญญานไฟหรือช่วงจอดพักต้องมีสมาธิพอสมควรในการหย่อนสะโพกวางเท้าลงข้าง เพราะต้องรับน้ำหนักรถไว้ด้วย ดีที่เป็นการขี่ออนโร้ดส่วนใหญ่ ซึ่งปรับใช้โหมด Road ท่ามกลางสภาพถนนแห้งและอากาศที่ร้อนมาก แต่ตัวรถยังคงสมรรถนะได้ดีอย่างต่อเนื่องตลอดจนระบบระบายความร้อนก็ออกแบบดีจนไม่รู้สึกถึงไอร้อนที่ระบายออกมาเลย กลุ่มขี่ลงไปยังตำบลทับใต้ จังหวัดประจวบฯ อุณหภูมิเริ่มขยับสูงขึ้นเรื่อยๆ ผ่านเส้นทางออฟโร้ดที่เป็นแนวซิงเกิ้ลแทร็คพอได้ฟิล โหมดช่วงนี้ได้ปรับเป็น Off Road Pro ซึ่งมีเฉพาะรุ่นนี้ จริงๆ ก็ใช้โหมดออฟโร้ดธรรมดาก็เอาอยู่ แต่ขอลองหน่อยแม้สกิลไม่ถึงก็ตาม เราแวะทานอาหารกลางวันที่ร้านเรือนน้ำผึ้งพร้อมกับสลับรุ่นรถ
ช่วงบ่ายผู้เขียนขยับไปขี่รุ่น
ไทเกอร์ 900 GT โปร ล้ออะลูมิเนียมหล่อ เบาะก็สูงเพียง 820 มม. แต่ปรับสูงได้อีกเป็น 840 มม. การขี่สบายขึ้นมาก ไฮไลท์ขี่ช่วงบ่ายแก้ง่วงด้วยการขี่ออฟโร้ดรอบเขื่อนปราณบุรี ที่ให้ทางฝุ่นผสมกรวดลอยขี่ไม่ยาก ด้วยโหมดออฟโร้ดก็สนุกได้ยาวๆ แม้ว่าไม่คุ้นชินกับตัวรถและเส้นทางแต่ความยอดเยี่ยมของระบบเบรก ความหยึดหยุ่นของตัวรถในการควบคุม และแรงบิดที่ยอดเยี่ยมในรอบกลางทำให้คลายกังวลและสนุกไปกับการขี่ได้ตลอดเส้นทางจนครบรอบก็มาแวะพักทานเครื่องดื่มเย็นๆ ที่ร้านกาแฟทุ่งพลายงาม ก่อนเดินทางกลับแบบออนโร้ดยาวๆ ก็ปรับโหมดกลับไปที่ Road จบทริปด้วยระยะทางรวมกว่า 180 กม. กับตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองประมาณ 21 กม./ล. แต่เหนือสิ่งอื่นใดถ้าให้เลือกก็คงจิ้มไปที่รุ่น
GT โปร ราคา 639,000 บาท ถูกกว่ารุ่น
Rally โปร 20,000 บาท ความแตกต่างอยู่ที่ล้อ-ยาง ช่วงล่าง ความสูงของเบาะ เท่านั้น
ไฮไลท์ ไทเกอร์ 900 จีที โปร” (Tiger 900 GT Pro) และ “ไทเกอร์ 900 แรลลี่ โปร” (Tiger 900 Rally Pro) ล่าสุดอัปเกรดเครื่องยนต์สามสูบใหม่ขนาด 900 ซีซี ให้กำลังเพิ่มขึ้นจากเดิม 13% โดยให้พละกำลังสูงสุด 108 แรงม้า และแรงบิดสูงสุดที่สูงขึ้น 90 นิวตันเมตร ในขณะที่เครื่องยนต์ใหม่ ยังให้ความสามารถในการยึดเกาะถนนที่ดีขึ้นในช่วงรอบเครื่องที่ต่ำลงด้วยเพลาข้อเหวี่ยงแบบ T-Plane ที่สมดุลกับช่วงจุดระเบิด ด้านตัวรถทั้ง 2 รุ่นมาพร้อมโครงแบบแยกส่วนที่มีน้ำหนักเบา ชิลด์หน้าปรับได้ เบาะนั่งปรับสูงต่ำได้ 20 มม. และถังน้ำมันขนาด 20 ลิตร ระบบไฟ LED ทั้งหมด รวมถึงไฟหน้า DRL อันเป็นเอกลักษณ์ ไฟท้ายขนาดกะทัดรัด สวิตช์คิวบ์แบบเรืองแสง มือจับและเบาะนั่งแบบปรับอุณหภูมิความร้อนได้ มีระบบการเชื่อมต่อ My Triumph เป็นอุปกรณ์มาตรฐานทำให้ผู้ขับขี่สามารถเข้าถึงการฟังเพลง การคุยโทรศัพท์ และระบบนำทางแบบ Turn by turn ผ่านจอแสดงผล TFT ขนาด 7 นิ้ว ที่ใช้งานง่ายและอ่านง่าย ทั้งนี้รุ่น Tiger 900 GT Pro ที่เน้นการใช้งานบนถนน มีล้ออัลลอยด์หล่อน้ำหนักเบาขนาด 19 นิ้วที่ด้านหน้า และ 17 นิ้วที่ด้านหลัง เพื่อความสมดุลที่สมบูรณ์แบบระหว่างการควบคุมบนถนน และความสามารถในการขับขี่แบบออฟโรด ในขณะที่ Tiger 900 Rally Pro ใช้ล้อซี่ลวดแบบไม่มียางในที่มีล้อหน้าขนาด 21 นิ้ว
ด้าน
ความปลอดภัยแบบแอคทีฟใหม่ทั้งหมด เพื่อสมรรถนะสูงสุดบนถนน และทางออฟโรด เช่น
เบรก Brembo Stylema® Monobloc ซึ่งรุ่น Tiger 900 GT Pro มาพร้อมโช้คหัวกลับ Marzocchi ขนาด 45 มม. ที่ปรับได้อย่างเต็มที่ พร้อมโช้คหลังที่ปรับ Preload และ Rebound ได้ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ โดยระยะยุบตัวของล้อหน้าอยู่ที่ 180 มม. ส่วนระยะยุบตัวของล้อหลังอยู่ที่ 170 มม. ส่วน
รุ่น Tiger 900 Rally Pro มาพร้อมโช้คหัวกลับ Showa ขนาด 45 มม. ที่ปรับได้อย่างเต็มที่ทั้ง Preload, Rebound และ Compression โดยโช้คหลังสามารถปรับ Preload และ Rebound ได้ ระยะยุบตัวของล้อหน้าอยู่ที่ 240 มม. ส่วนระยะยุบตัวของล้อหลังอยู่ที่ 230 มม. อีกทั้ง 2 รุ่นยังมีเทคโนโลยีเพื่อผู้ขับขี่ เช่น ระบบ Optimised cornering ABS และ Traction Control ที่มาพร้อมระบบตรวจสอบแรงดันลมยาง (TPMS) ระบบตรวจจับแรงเฉื่อย IMU (Inertial Measurement Unit) และระบบช่วยเปลี่ยนเกียร์ของไทรอัมพ์ Triumph Shift Assist เป็นมาตรฐาน โดยรุ่น Tiger 900 GT Pro มี 5 โหมดได้แก่ Road, Rain, Sport และ Off-Road รวมถึง Rider configurable ด้านรุ่น
Tiger 900 Rally Pro มี 6 โหมด โดยมี Off-Road Pro เพิ่ม
Tiger 900 ทั้ง 2 รุ่น มาพร้อมความคุ้มค่าด้วยการรับประกันคุณภาพ Triumph Warranty 2 ปีแบบไม่จำกัดระยะทาง รวมถึงความคุ้มค่าของช่วงเวลาการเข้ารับบริการเช็คระยะที่สูงถึง 10,000 กิโลเมตร หรือ 12 เดือน ตลอดจนฟรี บริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนนตลอด 24 ชั่วโมง (Triumph Roadside Assistance) เป็นระยะเวลา 2 ปี โดย Tiger 900 GT Pro ราคา 639,000 บาท มีจำหน่ายในสี Snowdonia White เป็นสีมาตรฐาน โดยมีตัวเลือกสีระดับพรีเมียมให้เลือก 2 สี ได้แก่ Graphite/Sapphire Black และ Carnival Red/Sapphire Black ด้านรุ่น Tiger 900 Rally Pro ราคา 659,000 บาท มีจำหน่ายในสี Carbon Black/Sapphire Black พร้อมตัวเลือกสี Ash Grey/Intense Orange สุดโดดเด่น หรือจะเป็นสี Matt Khaki Green/Matt Phantom Black