Suzuki Raider J Crossover ใหม่ ออกแบบตอบโจทย์ใช้งานได้หลากหลายกว่ามอเตอร์ไซค์อันเดอร ์โบนเดิมๆ ด้วยการจับมาทำเป็นสไตล์ครอสโอเวอร์ ที่มีความเป็นโมโตครอสผสมผสานอย่างลงตัว ช่วยให้ขี่ใช้งานได้ดีกับถนนเมืองไทยที่ตัองลุยน้ำรอระบาย หลุมบ่อ ฝาท่อ หรือท่องเที่ยวเส้นทางสัญจรธรรมชาติก็ได้ ด้วยขนาดตัวรถเล็ก คลาส 110 ซีซี คล่องตัว แต่มาเต็มพลัง ราคาประหยัด งานนี้น่าสนใจว่า เจ ครอสโอเวอร์รุ่นนี้จะก้าวมาเป็นม้ามึดที่ทำยอดขายดีเกินคาดและสร้างความนิยมได้ในปีนี้ได้ไหม ทีมงาน
MotorBikeGuru /Checkraka.com ได้รับรถมาทดสอบขี่ เน้นการใช้งานในเมืองและท่องเที่ยวชานเมือง น่าประทับใจแค่ไหนติดตามกันจากบทความนี่
ไฮไลท์ใน Suzuki Raider J Crossover ใหม่ มอเตอร์ไซค์สไตล์ครอสโอเวอร์รุ่นใหม่ล่าสุดจากทางซูซูกิ เด่นด้วยรูปลักษณ์แบบโมโตครอสที่สืบทอด DNA จากตระกูล RM-Z และ DR-Z รุ่นยอดนิยม ออกแบบมาให้ใช้งานได้ดีในทุกสภาพถนน ตามสโลแกน "ท้าทาย ... ทุกทาง"
ด้วยเทคโนโลยีเครื่องยนต์ SEP (Suzuki Eco Performance) ขนาด 112.8 ซีซีขนาดกระทัดรัด น้ำหนักเบา แต่ให้สมรรถนะสูง ทนทาน แรงบิดดี ทั้งยังประหยัดน้ำมันมาก ด้วยกล่อง ECU ที่เซ็ตให้จ่ายเชื้่อเพลิงได้อย่างแม่นยำและเหมาะสมในทุกอัตราเร่ง ส่งผลให้การเผาไหม้สมบูรณ์ สตาร์ทติดง่าย ด้านฝาครอบตัวถังเป็นอีกจุดที่โดดเด่นเพราะทำจากวัสดุ Gloss Polypropylene งานเดียวกับที่ใช้กับรุ่น RM-Z เป็นการผสมสีลงไปกับตัวเนื้อวัสดุจึงทนทานต่อรอยขีดข่วนและมีความยืดหยุ่นสูง แตกยาก สำหรับช่วงล่างด้านหน้าติดตั้งโช้กอัพขนาดใหญ่ 31 มม. พร้อมยางกันฝุ่น ด้านหลังโช้กอัพคู่แบบ Double Cylinder ให้ความทนทานซับแรงสะเทือนได้ดีกว่า ยางที่ใช้เป็นแบบ Semi-Block ใช้งานครอบคลุมทั้งออนโร้ดและออฟโร้ดแบบดูอัลสปอร์ต สุดท้ายระบบเบรกด้านหน้าดิสก์แบรนด์ Nissin เกรดเดียวกับที่ใช้ในกลุ่มซูซูกิโมโตครอส น้ำหนักเบาหยุดดี
นับเป็นความแปลกที่ได้โอกาสมาทดสอบขี่
Suzuki Raider J Crossover ใหม่ คันที่ได้มาเป็นสีแดง-ขาว ดูอัลสปอร์ตแบบโมโตครอส ก่อนอื่นคาดหวังกับรถรุ่นนี้ไว้แค่รถเล็กเกียร์วน ประหยัดน้ำมัน คล่องตัวใช้เดินทางลุยได้มากกว่าทั่วไปด้วยความสูงใต้ท้องที่มากกว่า ด้านพละกำลังของเครื่องยนต์ขนาด 112.8 ซีซี คงเน้นขี่ถนนทางราบไปได้เรื่อยๆ ลูกรังบ้างก็น่าจะไหวอยู่ ความเร็วสูงสุดเต็มที่คงแตะแถว 100 กม./ชม. เทียบจากรถเล็กคลาสเดียวกัน
เส้นทางการขี่ของผู้เขียนเริ่มสตาร์ทจากบริเวณบิ๊กซี ศรีนครินทร์ ขี่ลุยการจราจรที่มีการทำแนววิ่งของรถไฟฟ้าตลอด เจอสภาพถนนที่ซ่อมแซมเกือบตลอด ขี่ไปได้สักพักจนคุ้นชินกับท่านั่งและการตอบสนองของเครื่องยนต์และเบรกก็ทำให้ขี่เป็นธรรมชาติมากขึ้น พอจะบอกได้เลยว่าการทำงานของ
เครื่องยนต์ตัวนี้ที่ใช้เทคโนโลยี SEP (Suzuki Eco Performance) ให้กำลังและแรงบิดที่ดีเกินคาด ผู้เขียนขี่ได้อย่างลื่นไหล การออกตัวแยกไฟแดงหรือเติมคันเร่งแซงให้กำลังที่ดีเกินตัว การทำงานของเกียร์วนก็เปลี่ยนได้อย่างสมูธ เร่งดีจริงแต่ปลายก็จะหมดอยู่แถว 100 นิดตามสภาพแวดล้อม เมื่อถึงแยกตัดเข้าถนนแพรกษามุ่งหน้าไปจนสุดตัดเข้าถนนสุขุมวิทเพื่อจอดพักเบรกที่ร้านกาแฟเพื่อพักกลางวันพร้อมเก็บภาพ ช่วงที่ขี่มาจนร้านก็ได้มีโอกาสลองเบรกแบบฉุกเฉิน พบว่าระบบเบรกที่ด้านหน้าเป็นดิสก์ หลังดรัมไม่มีเอบีเอส จังหวะกระชั้นชิดจริงๆ ก็ทำให้เสียวระยะเบรกพอสมควร ควรทิ้งความเคยชินของรถที่ขี่มาก่อนหน้า แนะให้หาที่โล่งลองเบรกให้หลากหลายระยะและความเร็วเพื่อปรับความรู้สึกเวลาเบรกทั้งจุดและน้ำหนักที่ใช้ จนคุ้นชินก็จะใช้งานได้สบายใจขึ้น ระหว่างทางที่ขี่มาจนถึงจุดพักรถมักมีคนขี่มอเตอร์โซค์ด้วยกันมองตัวรถด้วยความสนใจเป็นระยะ ครั้งล่าสุดที่ขี่ไปแล้วมีคนมอง จอดแล้วเดินมาถามก็เป็นรุ่น ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน ล่าสุดเป็นคิวของ
Suzuki Raider J Crossover ใหม่ ถึงขนาดโบกให้จอดแล้วถามกันเลย รุ่นใหม่เหรอ ? ราคาเท่าไหร่ ?
หลังจากพักหลบร้อน ดื่มน้ำ ถ่ายรูปเก๋ๆ กับรถจนพอใจก็ได้เวลาเดินทางต่อสู่ ศาลากลางน้ำตาเจี่ย ซอยวัดราษฎร์บำรุง อันเป็นจุดหมายปลายทางของทริปทดสอบนี้ การขี่ยูเทิร์นหรือเลี้ยวเข้าซอยบนถนนสุขุมวิทสายเก่าที่ถนนค่อนข้างแย่ ประกอบกับรถสิบล้อที่วิ่งกันเร็ว ทำให้ต้องพึ่งสมรรถนะรถที่ไว้ใจได้ แม้จะขี่มาไม่นานแต่ก็ออกตัวจากจุดหยุดนิ่งแล้วต่อเกียร์อย่างรวดเร็ว
Suzuki Raider J Crossover ใหม่ ทำได้ดีอย่างน่าพอใจ อีกอย่างคือ
เกียร์ 4 สปีดของรุ่นนี้ ให้แรงบิดที่ดีพอจากการลองใช้ความเกียร์สูงกับความเร็วต่ำ ทำให้บางจังหวะไม่ต้องชิฟต์เกียร์ลงเพื่อเอารอบ ส่วนยางติดรถแม้ยี่ห้อไม่คุ้นชื่อเพราะผลิตจากประเทศฟิลิปปินส์ติดมากับรถหน้ากว้าง 70 ด้านหน้า หลัง 80 บนวงล้อขนาด 17 นิ้วที่ขึ้นแบบซี่ลวดก็ให้การยึดเกาะที่ดีพอไม่มีลุ้นลื่นไถล ขี่มาถึงปากทางเข้าวัดราษฎร์บำรุง ยังรู้สึกโอเคกับกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ไม่มีอาการเมื่อยล้าแต่อย่างใด ชอบที่แฮนด์บาร์ออกแบบกว้างและยกสูงทำให้ขี่สบายยาวๆ ช่วงเดินเบาความร้อนจากเครื่องยนต์ขนาดเล็กที่เป็นแบบระบายด้วยอากาศไม่ส่งผลกระทบอะไร แต่เหมือนยิ่งร้อนยิ่งวิ่งดี มาถึงสะพานทอดยาวไปศาลากลางน้ำที่แคบแบบรถขี่สวนกันไม่ได้และไม่มีรั้วกั้นใดๆ สายตาผู้ขี่จับจ้องไปยังเบื้องหน้า พยายามไม่หันไปมองทะเลรอบข้าง แม้ปกติคนเราจะขี่ทางแคบตรงยาวแบบนี้ได้ แต่พอมีอุปสรรคน้่ำข้างไร้รั้วกั้นแบบนี้นับว่าบีบหัวใจไม่น้อย ผู้เขียนเดินคันเร่งที่เกียร์ 2 ไปเรื่อยๆ อย่างคงที่ ตัวรถให้สมดุลที่ดี อดเสียวลมข้างพัดเข้ามา ถ้าพัดแรงๆ คงเป็นเรื่องแน่นอน แม้บริเวณศาลาเป็นพื้นที่แคบแต่ก็เพียงพอให้ Raider J Crossover กลับรถและเคลื่อนย้ายจุดจอดได้สะดวก หามุมที่อยากถ่ายรูปได้ตามใจ ผู้เขียนพักจอดดื่มด่ำกับบรรยากาศทะเลสมุทรปราการจนพระอาทิตย์ใกล้ลับฟ้า จึงเริ่มเดินทางต่อและก็ต้องอาศัยความคล่องตัวกับอัตราเร่งลุยฝ่ารถในช่วงเย็นอีกครั้งตัวรถที่คุ้นชินทำให้ใช้ขี่ได้สนุกคล่องแคล่วมาก ทั้งการเปลี่ยนเลน ชะลอเบาเบรก เร่งแซงรถช้า ขณะที่ระดับเข็มน้ำมันแทบไม่เคลื่อนตัวมากนักจากจุดเริ่มต้น ด้วยถังน้ำมันจุขนาด 4 ลิตร การเดินทางทริปสั้นๆ ว่า 150 กม. เทียบเคียงและประมาณน่าจะอยู่ราว 50 กม./ล. บวกลบ เสียดายที่ไม่มีเวลาลองขี่ยาวแบบน้ำมันเต็มถังไล่ไปให้จบ
สรุปสมรรถนะโดยรวมจากการขี่ทดสอบครั้งนี่สร้างความประทับใจให้กับผู้เขียนไม่น้อยด้วยราคาค่าตัวรถ รูปลักษณ์เฉพาะตัว กำลังเครื่องยนต์ การทำงานของช่วงล่าง ล้อ ยาง ขาดแค่เรื่องพื้นที่เก็บของที่ต้องไปหากล่องหลังติดตั้งเพิ่มเองถ้าอยากได้ความอเนกประสงค์เพิ่ม ซูซูกิ Raider J Crossover เปิดตลาดใหม่ในคลาส 110 ซีซี อย่างแตกต่าง ด้วยการออกแบบที่ไม่เหมือนใครกับการผสมผสานความเป็นรถโมโตครอสเข้ากับรถอันเดอร์โบนอย่างลงตัว ด้วยราคาระดับ 5 หมื่นกว่าบาท ผ่อนเริ่มต้นเดือนละสองพันกว่าบาท ทำให้การตัดสินใจเป็นเจ้าของไม่ใช่เรื่องยากเหมือนกับรถใหญ่หลักแสน สามารถนำมาเป็นรถใช้งานในชีวิตประจำวันได้ดี ทั้งในแง่ความประหยัดและการขี่ลุยทุกสภาพผิวถนน นอกจากนี้การนำไปขี่ท่องเที่ยวทางไกลก็ให้ความคุ้มค่าทั้งอัตราสิ้นเปลืองต่ำ สมรรถนะคล่องตัว สามารถตกแต่งเพิ่มเติมได้อีกตามใจไม่ว่าด้าน Performance หรือ Utility เป็นรุ่นรถที่ให้อะไรเหนือความคาดหมายของปีนี้จริงๆ