หลังจากที่เราได้เห็นตัวจริงของ ยามาฮ่า E01 ไปในงานบางกอก มอเตอร์โชว์ 2022 ล่าสุดบริษัท ยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด ได้เชิญสื่อมวลชนไทยร่วมฟังการเตรียมความพร้อมส่งสกู๊ตเตอร์พลังงานไฟฟ้าเต็มระบบ ลงสู่ตลาดรถจักรยานยนต์ทั่วโลก โดยมีเนื้อหาสำคัญให้ได้ทำความรู้จักกับ ยามาฮ่า E01 ดังนี้
ยามาฮ่า พัฒนารถจักรยานยนต์พลังงานไฟฟ้าตั้งแต่ปี 1991 เพื่อเป็นทางเลือกของพลังงานสะอาด ปลอดภัยแก่สิ่งแวดล้อม และประหยัดค่าใช้จ่ายการใช้พลังงานเชื้อเพลิง
โดย เปิดตัวครั้งแรกปี 2019 ในงานโตเกียวมอเตอร์โชว์ ประเทศญี่ปุ่นในฐานะยานยนต์ไฟฟ้าต้นแบบ ภายใต้คอนเซ็ปต์ Plugged Yamaha to new era มีจุดเด่นที่ระบบชาร์จไฟรวดเร็ว ใช้งานได้จริงอย่างมีประสิทธิภาพ ยามาฮ่าได้พัฒนา E01 ด้วยความรู้และความเชี่ยวชาญด้านการออกแบบและวิศวกรรม ทั้งในด้านสมรรถนะ แบตเตอรี่ ระบบการชาร์จไฟ ดีไซน์ภายนอก และฟังก์ชันการใช้งานต่างๆ เพื่อให้เป็นสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าที่สมบูรณ์แบบ
ยามาฮ่า E01 ให้กำลังไฟฟ้าที่ 8.1 กิโลวัตต์ หรือเทียบเท่ากับรถจักรยนต์สันดาปขนาด 125 ซีซี โดยวิ่งได้ระยะทางสูงสุด 104 กิโลเมตร* ต่อการชาร์จไฟ 1 ครั้ง (ความเร็วคงที่ 60 กม./ชม.) และทำความเร็วสูงสุดถึง 100 กม./ชม. แบตเตอรี่ใช้ลิเธียมไอออน ความจุสูง 4.9 กิโลวัตต์/ชม. ที่ยามาฮ่าพัฒนาขึ้นเองสำหรับรถจักรยานยนต์โดยเฉพาะ สามารถชาร์จไฟผ่านเครื่องชาร์จเร็ว (Quick Charge) จาก 0 - 90% ภายใน 1 ชั่วโมง ออกแบบจุดเชื่อมต่อสายชาร์จไฟไว้ที่ด้านหน้าจึงชาร์จง่ายและมีระบบชาร์จไฟ 3 แบบ เพื่อความสะดวกของผู้ใช้ได้แก่
- ชาร์จแบบเร็ว - เหมาะสำหรับการติดตั้งโดยผู้ให้บริการแบ่งเช่ารถ หรือ ตัวแทนจำหน่ายฯ สามารถชาร์จ จาก 0 - 90% ภายใน 1 ชั่วโมง
- ชาร์จแบบปกติ - เหมาะสำหรับการติดตั้งภายในบ้านสามารถชาร์จ จาก 0 - 100% ภายใน 5 ชั่วโมง ที่แรงดันไฟฟ้า 200V (เข้ากันได้กับเต้ารับ 200 – 240V ในประเทศต่างๆ
- ชาร์จแบบพกพา - พกพาสะดวกด้วยขนาดที่พอดีกับช่องเก็บของใต้เบาะนั่งสามารถชาร์จจาก 0 - 100% ภายใน 14 ชั่วโมง ที่แรงดันไฟฟ้า 100V (200 –240V ในประเทศต่างๆ)
ยามาฮ่า E01 มีสมรรถนะสมบูรณ์ตามแบบฉบับของยามาฮ่า เพราะพัฒนาทุกองค์ประกอบขึ้นเองทั้งหมด ผสานกับความเชี่ยวชาญพิเศษทางด้านเทคโนโลยีการออกแบบและวิศวกรรมลิขสิทธิ์เฉพาะของยามาฮ่า ตั้งแต่มอเตอร์ไฟฟ้าประสิทธิภาพ น้ำหนักเบา ขนาดกะทัดรัด ใช้งานง่าย โดยมีแรงบิดสูงสุด 30.2 นิวตันเมตร ที่ช่วง 0 - 2,000 รอบ/นาที กำลังสูงสุด 8.1 กิโลวัตต์ที่ 5,000 รอบ/นาที ทำให้มีกำลังในรอบที่กว้าง เหมาะกับการขี่ในสภาพการจราจรติดขัดในเมืองที่มักใช้ความเร็วต่ำ
สตาร์ทออกตัวรวดเร็ว ทั้งยังมีโหมดถอยหลังช่วยให้ผู้ขี่เข้าออกที่จอดรถและบังคับทิศทางของรถได้ง่าย ส่วนระบบการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้าก็เงียบ ลื่นไหล ไร้เสียงรบกวน และสั่นสะเทือนต่ำ ด้วยกลไกของมอเตอร์ไฟฟ้าที่สร้างแรงหมุนได้โดยตรง ประกอบกับการใช้ยางที่มีเสียงรบกวนต่ำ เพื่อให้ผู้ขี่ได้ประสบการณ์ดีที่สุด
ยามาฮ่า E01 มี 3 โหมดการขับขี่ เพื่อความเหมาะสมตามสภาพแวดล้อมขณะใช้งาน และไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกัน
- PWR (โหมดเพาเวอร์): ให้กำลังสูงสุดของมอเตอร์ เหมาะสำหรับการขี่ขึ้นเนิน และการเร่งแซง ฯลฯ
- STD (โหมดมาตรฐาน): ขี่ทั่วไปในช่วงความเร็ว 30 - 80 กม./ชม.
- ECO (โหมดอีโค): ขี่ระยะไกลเพื่อประหยัดการใช้พลังงานแบตเตอรี่และจำกัดความเร็วสูงสุดอยู่ที่ประมาณ 60 กม./ชม.
การออกแบบภายใต้แนวคิดที่คำนึงถึงผู้ขับขี่เป็นศูนย์กลางทั้งรถและคนต้องมีการเชื่อมต่อเป็นหนึ่งเดียวกัน งานออกแบบจึงเรียบง่าย ผสานกับความล้ำสมัยและทรงพลัง แตกต่างจากสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าทั่วไป รูปลักษณ์ดีไซน์โดยรวมในการพัฒนา EV มาจากแนวคิด Jin-Ki Kanno ของยามาฮ่า ที่นำเอาแนวคิดจาก MOTOROiD โดยโครงสร้างเฟรมสะท้อนถึงเทคโนโลยีในการออกแบบรถจักรยานยนต์แบบสปอร์ต พื้นที่ด้านหน้าถูกออกแบบมาให้สะท้อนความเป็นยานยนต์ไฟฟ้า ตั้งแต่การจัดวางตำแหน่งไฟจนถึงที่เสียบสายชาร์จ ช่วยเพิ่มความโดดเด่นล้ำสมัย โดยไฟทุกตำแหน่งเป็น LED ทั้งหมด ผสานกับสีดำและขาวมุกพิเศษของตัวถังยิ่งทำให้ ยามาฮ่า E01 ดูมีสไตล์ หรูหรา และทันสมัย
มาตรวัดหน้าจอแบบดิจิตอล แสดงข้อมูลมัลติฟังก์ชันต่างๆ เช่น อัตราความเร็ว ความจุแบตเตอรี่ สถานะการชาร์จไฟ นาฬิกา อุณหภูมิของอากาศ ฯลฯ
ฟังก์ชันการใช้งานสะดวกสบายเพื่อการใช้งานทุกรูปแบบ ยามาฮ่า E01 ใช้ระบบสมาร์ทคีย์ จึงเปิดสวิตซ์ในการใช้งานได้ง่าย เพียงแค่หมุนปุ่มโดยไม่ต้องเสียบกุญแจ ทั้งยังติดตั้งระบบ 3G/LTE eSIM และ GPS โดยระบบจะอัปโหลดข้อมูลรถ (ตำแหน่ง สภาพการทำงาน) ไปยังเซิร์ฟเวอร์ เพื่อเก็บข้อมูลไว้ตรวจสอบ อย่างบันทึกการใช้งานรถ ประจุแบตเตอรี่ที่เหลืออยู่ และตำแหน่งที่รถจอด ฯลฯ
อย่างไรก็ตามยังไม่มีกำหนดการผลิตออกจำหน่ายในตอนนี้ รวมไปถึงราคาที่จะทำตลาด แต่ล่าสุดระหว่าง 5-6 กรกฎาคมที่ผ่านมาทาง บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด ได้เชิญสื่อมวลชนทดสอบยามาฮ่า E-01 จำนวนกว่า 40 คัน สะท้อนให้เห็นว่าเป็นขั้นตอนสุดท้ายที่พร้อมจำหน่าย ตัวรถไม่น่ามีการปรับเปลี่ยนอะไรจากคันจริงที่ทดสอบอีกแล้ว ที่เหลือคือ รอประกาศวันเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ในเร็วๆ นี้