ฮอนด้า CBR600RR ... Awaken The Race ปลุกจิตวิญญานนักซิ่งในตัวคุณ
เอ.พี. ฮอนด้า จัดทดสอบซูเปอร์สปอร์ตไบค์คลาส 600 รุ่น
CBR600RR "AWAKEN THE RACE" ที่สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จังหวัดบุรีรัมย์ หลังเปิดตัวไปพร้อมรุ่นพี่ CBR1000RR-R เมื่อช่วงปลายปี 2020 ที่ผ่านมา และทดสอบขี่ในส่วนของรุ่นพี่ไปเรียบร้อย ล่าสุด 19 กุมภาพันธ์ เป็นคิวของรุ่นน้องตัวแรงได้ฤกษ์ลงแทร็คให้สื่อมวลชนสายจักรยานยนต์ได้ควบกันอย่างจริงจังในสนาม เน้นอารมณ์การตอบสนองแบบแทร็คเดย์ว่าจะให้ความสนุกสนานและน่าพอใจได้มากน้อยแค่ไหน
ฮอนด้า CBR600RR มาพร้อมแนวคิด "ปลุกเร้าสัญชาตญาณนักแข่ง พร้อมปลดปล่อยตัวคุณให้สุด ไปกับฮอนด้าซูเปอร์สปอร์ตสายพันธุ์แกร่ง ดีไซน์ใหม่รอบคัน จัดเต็มด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยจากสนามแข่งมาพร้อมสมรรถนะทรงพลัง ดุดัน ควบคุมรถได้อย่างสมบูรณ์แบบ ตอบสนองทุกการขับขี่ได้ดั่งใจต้องการ" ดังนั้นการทดลอบขี่ในครั้งนี้จึงเน้นไปที่เพอร์ฟอร์มานซ์ในสนามอย่างเดียว แม้ว่าตัวรถจะออกไปให้ใช้งานได้สมดุลทั้งถนนและแทร็ค ซึ่งการขี่เดินทางบนถนนทั่วไปคงได้ทดสอบกันภายหลังต่อจากนี้
ผู้เขียนเป็นตัวแทนจากเพจ MotorBikeGURU และ Checkraka.com เข้าร่วมทดสอบในครั้งนี้ โดยการทดสอบแบ่งออกเป็น 3 รอบ 3 กลุ่ม (15 สื่อฯ) ให้เวลารอบละ 20 นาที ขี่แบบอิสระตามกลุ่ม 2 รอบ แบ่งช่วงเช้าและบ่าย พร้อมกับรอบพิเศษให้ขี่เดี่ยวตามเรซซิ่งไลน์กับ ฟีม - รัฐภาคย์ วิไลโรจน์ อดีตนักแข่งโมโตทูทีมฮอนด้า และปิดท้ายด้วยนักแข่งทีมฮอนด้าเรซซิ่ง
นับตั้งแต่เปิดตัวมาได้ 3 เดือน ผู้เขียนมีโอกาสได้สัมผัสการนั่งคร่อมรถจริงเป็นครั้งแรกก็ต้องขี่ออกไปทดสอบในสนามเลย อย่างไรก็ตามการได้ทราบข้อมูลตัวรถมาก่อน และได้ฟังการแนะนำข้อมูลการขี่จากฟีมและทีมงาน เช่น ตำแหน่งเกียร์ที่เหมาะสมในโค้งต่างๆ ของ CBR600RR ก็ช่วยให้การขี่ทดสอบสะดวกขึ้นมาก ในช่วงเตรียมรถก่อนออกสู่แทร็คนั้น ข้อมูลเพิ่มเติมในพิทที่ได้รับคือ ยางที่ใช้ถูกอัพเกรดให้เป็นพีเรลลี่สายฟ้า ไดโบ ซุปเปอร์คอร์ซ่า เอสพี ให้การยึดเกาะที่ดีกว่าเดิมทั้งบนถนนและในแทร็ค, ไม่มีควิกชิฟต์ เพราะเป็นอุปกรณ์เสริมให้ฟรีสำหรับผู้ที่จอง 50 คันแรก และโหมดที่ใช้ส่วนของ Power ถูกปรับค่าเป็น 1 มากสุด
ผู้เขียนได้ขี่ต่อจากกลุ่มแรก ซึ่งมีข้อดีอยู่บ้างที่ตัวรถได้ผ่านการวอร์มอัพมาเป็นอย่างดี อย่างไรก็ตามระหว่างการเซอร์วิสรถรถสลับกลุ่มขี่นั้น ทีมงานผู้จัดนอกจากเช็คความเรียบร้อยตัวรถเพื่อความปลอดภัย ก็ต้องเติมน้ำมัน หุ้มผ้าห่มยางเพื่อรักษาอุณหภูมิให้อุ่นต่อเนื่อง และเพิ่มเติมทำความสะอาดหลังกลับเข้าพิตทุกคันเพื่อฆ่าเชื้อป้องกันโควิด-19 นับเป็นการเซอร์วิสในพิตเลนแบบมืออาชีพและสร้างอารมณ์แบบมอเตอร์สปอร์ตจริงๆ จังหวะแรกที่ขึ้นคร่อมรถรู้สึกได้ถึงท่านั่งที่ผ่อนคลายกว่ารถคลาส 600 ทั่วไป ส่วนหนึ่งอาจเน้นการใช้งานได้ทั้งถนนและสนาม ตำแหน่งองศาการวางเท้าด้านซ้ายที่พักกับเกียร์ค่อนข้างกดลงและสั้น แต่ก็ไม่มีปัญหา ช่วงรอบแรกๆ ยังขับตามไลน์เพื่อนร่วมกลุ่มรักษาระดับความเร็วปกติ เพื่อทำความคุ้นเคยกับตัวรถ หลังจากนั้นก็ได้เพิ่มความเร็วไปเรื่อยๆ ตามรอบ ผู้เขียนขี่เพลินจนเกินเวลาแถมไปรอบเดี่ยวๆ จบรอบแรกพอสรุปเบื้องต้นได้ว่า ฮอนด้า CBR600RR เป็นรถที่ให้พลังลงตัวกับการขี่สนุกในแทร็ค มองพื้นฐานจากผู้ขี่ระดับสมัครเล่นเน้นแทร็คเดย์ จัดว่าไม่แรงและดึงหนักจนต้องกัดฟันสู้ เร่งดี คุมง่าย เข้า-ออกโค้งสนุก ตอบสนองได้ดั่งใจ ที่โดดเด่นออกมาคือ ฟิลตอบกลับของเบรกที่หน่วงได้อย่างนุ่มนวลและรวดเร็ว อย่างไรก็ตามส่วนที่ไม่ค่อยชอบก็คือ การบีบคลัตช์เปลี่ยนเกียร์ ส่วนตัวถ้านำมาขี่แทร็คเดย์ก็ควรใส่ควิกชิฟต์เพื่อให้ได้อรรถรสรถสนามมากขึ้น แต่ก็เข้าใจว่า CBR600RR เน้นการเป็นรถสองโลกคือ ถนนและแทร็ค
รอบบ่ายผู้เขียนที่คุ้นการขี่จากรอบแรกมาก็หันมาทำความเร็วมากขึ้นและพยายามสนุกกับการขี่แบบแทร็คเดย์ รอบเปลี่ยนเกียร์อยู่ระหว่าง 12,500-13,000 รอบต่อนาที ตามคำแนะนำของโค้ชฟีม 20 นาทีในรอบนี้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ด้วยความแรงที่กำลังดีและการควบคุมที่ง่ายจึงไม่ทำให้ร่างกายล้าเร็ว อย่างไรก็ตามช่วงท้ายผู้เขียน (สูง 171 ซม. หนัก 65 กก.) มีอาการเมื่อยขาช่วงหัวเข่า ระหว่างขี่กลับเข้าพิตได้เหยียดขาออกเพื่อคลายเมื่อย มีอาการเหมือนตะคริวจะขึ้น จึงยกขากลับและผ่อนคลายขี่เข้าพิต เป็นรอบสองที่ขี่แล้วสนุก ไหลลื่นแบบไม่มีอะไรผิดพลาด ส่วนตัวมีสะดุดบ้างก็จังหวะต่อเกียร์ที่โค้ง 9-10 โดยรวมประทับใจมากขึ้นเรื่อยๆ
รอบสุดท้าย พิเศษกับการขี่ตามเรซซิ่งไลน์โค้ชฟีมมีเวลาเพียง 3 รอบ พร้อมจับเวลาต่อรอบและบันทึกภาพเคลื่อนไหวให้ 3 มุมมอง เพื่อกลับไปวิเคราะห์การขี่ของตนเองต่อ สำหรับรอบพิเศษนี้ นับเป็นช่วงสำคัญเพราะได้ขี่ตามไลน์นักแข่งจริงๆ ทำให้ขี่ง่ายและไหลลื่นกว่าทุกครั้ง เสมือนโดนดึงดูดเข้าไลน์ไปด้วยกัน ทั้งจังหวะการเร่ง เบา เบรก เลี้ยว ดูง่ายขึ้น ส่วนหนึ่งเพราะผู้ขี่โฟกัสไปที่ไลน์คันหน้ามากกว่าจับจังหวะตนเอง จึงทำให้การขี่เป็นธรรมชาติมากขึ้น น่าเสียดายที่รอบแบบนี้ยังไม่มีจัดให้สำหรับลูกค้าแทร็คเดย์ เพราะแค่กลุ่มสื่อฯที่มาทดสอบ 15 คน ได้คนละ 3 รอบ โค้ชฟีมก็ต้องขี่ไม่ต่ำกว่า 45 รอบแล้ว สิ่งทีได้จากการขี่รอบพิเศษคือ ได้เข้าถึงศักยภาพของตัวรถมากขึ้นนั่นเอง สำหรับเวลาของผู้เขียนที่ขี่ตามความสามารถที่มีได้อยู่ที่ 2.08 นาที
สรุป ฮอนด้า CBR600RR "AWAKEN THE RACE" เป็นซูเปอร์สปอร์ตไบค์คลาส 600 ที่ขี่ในแทร็คได้สนุกแบบไม่ติดขัด ขอเพียงหาควิกชิฟต์มาติดตั้งเพิ่ม ถ้าจองตอนนี้แล้วยังอยู่ในโควต้า 50 คันแรกก็จะได้แถมควิกชิฟต์ฟรี ด้วยราคา 549,000 บาท กับการเป็นรถนำเข้า 100% เทียบกับรุ่นอื่นในตลาดแล้วนับว่าใกล้เคียงกัน ถ้าเน้นความคุ้มค่า ใช้ขี่ถนนเยอะและแทร็คได้ด้วย พร้อมได้สิทธิลงแทร็คเดย์ฟรีกับทางฮอนด้าบิ๊กไบค์ก็ต้องจัด CBR600RR มาไว้ในครอบครอง สำหรับผู้เขียนเห็นแค่วิงก์เลตก็ได้ใจไปเยอะแล้ว รถหล่อ ขี่สนุก ซื้อแล้วไม่เหงา คงไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้วสำหรับนักบิดสายสปอร์ต ใครสนใจไปชมและลองตัวจริงได้ที่ ฮอนด้า บิ๊กวิงก์ ใกล้บ้านได้เลยครับ
ฮอนด้า
CBR600RR ซูเปอร์สปอร์ตในพิกัด 600cc ถูกพัฒนาขึ้นใหม่ภายใต้แนวคิด
"AWAKEN THE RACE" ทะยานด้วยขุมพลังจากเครื่องยนต์ใหม่ 4 สูบเรียง DOHC ขนาด 599 ซีซี หัวฉีด PGM-DSFI ระบายความร้อนด้วยน้ำ ทำงานร่วมกับเซนเซอร์ IMU 5 แกน ช่วยรักษาสมดุลและการควบคุมรถให้มีประสิทธิภาพสูงสุด รีดสมรรถนะด้วยระบบคันเร่งไฟฟ้า Throttle by Wire ให้กำลังสูงสุด 121 แรงม้า