เรื่องควรรู้เกี่ยวกับหมวกกันน็อค
ทราบกันไหมครับว่า เมืองไทยมีจักรยานยนต์มากเป็นอันดับที่ 8 ของโลก หรือ 17ล้านคัน จักรยานยนต์เป็นหนึ่งในยานพาหนะที่ได้รับความนิยม และมีการใช้อย่างแพร่หลายทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศไทย คนไทยใช้มอเตอร์ไซค์มากที่สุดเป็นอันดับ 8 ของโลก ราว 17 ล้านคัน คิดเป็นร้อยละ 62 ของรถจดทะเบียนสะสมทั้งหมดของประเทศ สัดส่วนการถือครองจักรยานยนต์สูงถึง 4 คนต่อคัน เพราะราคาไม่แพง และมีความคล่องตัวในการใช้
ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับหมวกกันน็อค
ข้อเท็จจริงจากผลการศึกษาผู้บาดเจ็บจากการใช้รถจักรยานยนต์ในประเทศไทย และต่างประเทศยืนยันชัดเจนตรงกันว่า
การสวมหมวกนิรภัยสามารถช่วยลดการบาดเจ็บได้ โดยหมวกกันน็อคสามารถช่วยลดความเสี่ยง และความรุนแรงของการบาดเจ็บที่ศีรษะลงได้ 72 และช่วยลดความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้ถึง 39% ในกรณีที่ใช้ความเร็วไม่สูงมากนักขณะเกิดอุบัติเหตุ นอกจากนี้ยังช่วยประหยัดค่ารักษาพยาบาล และลดจำนวนวันที่ต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาลด้วยนะครับ (เพราะบาดเจ็บน้อยกว่า)
หลักการทำงานของหมวกกันน็อค
เมื่อเกิดอุบัติเหตุ ส่วนใหญ่ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์มักถูกเหวี่ยงออกจากรถทำให้ศีรษะกระทบกับวัตถุอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น พื้นถนน เป็นต้น หมวกนิรภัยที่ได้มาตรฐานจะถูกออกแบบให้วัสดุภายนอกมีความแข็งแรงสามารถปกป้องศีรษะจากการกระแทกพื้นถนนได้ หมวกนิรภัยที่มีมาตรฐานดังกล่าวจะช่วยดูดซับ และกระจายแรงกระแทกไม่ให้ส่งต่อไปยังศีรษะด้านในด้วยวัสดุที่มีคุณสมบัตินุ่ม และยืดหยุ่นพิเศษในการซับแรงในกรณีเกิดอุบัติเหตุจากการใช้รถจักรยานยนต์
กลไกการทำงานของหมวกกันน็อค
การป้องกันและลดแรงกระแทกขั้นแรกของหมวกกันน็อค เริ่มที่ส่วนเปลือกนอกของหมวกซึ่งจะออกแบบให้ผลิตจากวัสดุที่มีความแข็งแรงทนทานต่อแรงกระแทก และสามารถจัดการกับพลังงานที่เกิดขึ้นจากการชน จากนั้นจะเป็นหน้าที่ของวัสดุภายในหมวกกันน็อคซึ่งมักทำจากโฟมซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษ สามารถยืดหยุ่นได้เมื่อถูกกระแทก โดยสามารถดูดซับ และกระจายแรงกระแทกอันจะช่วยยืดช่วงเวลาก่อนที่ศีรษะจะหยุดการเคลื่อนไหวออกไปอีกประมาณ 6 มิลลิวินาที ซึ่งแม้จะเป็นระยะเวลาที่สั้นมากแต่ก็มีประโยชน์มาก เพราะสามารถช่วยลดแรงกระแทกไม่ให้ไปรวม ณ พื้นที่เล็กๆ ส่วนใดส่วนหนึ่งของกะโหลกศีรษะ ลดแรงกระแทกต่อเนื้อสมองโดยรวม ลดแรงหมุน ตลอดจนลดความตึงเครียดภายในได้
เปลือกนอก - ทำจากวัสดุชนิดพิเศษ จะต้องแข็งแรง น้ำหนักเบา เพื่อสามารถทนแรงกระแทกจากของแข็ง และของมีคมได้โดยไม่แตก หรือทะลุได้ง่าย
รองใน - เป็นชั้นบุที่ทำมาจากวัสดุที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเป็นพิเศษ มีคุณสมบัติอ่อนนุ่ม ยืดหยุ่น ความหนาแน่นสูง สามารถรับและกระจายแรงกระแทกได้ดี ส่วนใหญ่ทำจากแผ่นโฟมชนิดโพลีสไตรีนที่ยืดออก หรือเรียกว่า "สไตโรโฟม"
แผ่นกันลม - ติดอยู่ด้านหน้าของหมวกกันน็อค สำหรับป้องกันแสง ฝุ่น ฝน แมลง ฯลฯ ที่จะเข้าตาในขณะขับขี่รถจักรยานยนต์ มีทั้งชนิดใส เพื่อใช้ในเวลากลางคืน และชนิดทึบเพื่อใช้ในเวลากลางวันที่มีแดดจัด สามารถถอดเปลี่ยนได้
เบาะหุ้มภายใน - ส่วนประกอบที่เพิ่มความอ่อนนุ่มขณะสวมใส่ สามารถถอดออกได้เพื่อทำความสะอาด
สายรัดคาง - ทำหน้าที่รัดให้หมวกกันน็อคติดแนบกับศีรษะไม่หลุดง่าย แต่ต้องรัดให้ถูกวิธี หากรัดไว้หลวมๆ หรือไม่รัด หมวกอาจหลุดออกจากศีรษะโดยง่ายเป็นเหตุให้ศีรษะยังคงเสี่ยงที่จะได้รับอันตราย และบาดเจ็บเสมือนไม่ได้สวมหมวก
ช่องระบายอากาศ - ทำหน้าที่ถ่ายเทความร้อนภายในหมวกให้ผู้สวมใส่รู้สึกสบายขณะที่สวมใส่ จะต้องมีขนาดไม่เกิน 1 เซ็นติเมตร และต้องออกแบบอยู่ในตำแหน่งที่ปลอดภัย
1. หมวกเต็มใบ
สามารถป้องกันศีรษะทั้งด้านหน้า ด้านหลัง และบริเวณคาง โดยทั่วไปจะมีน้ำหนัก ตั้งแต่ 1.2 ถึง 1.5 กิโลกรัม
2. หมวกเปิดหน้า
สามารถปกป้องศีรษะทั้งส่วนบนส่วนล่าง และบริเวณส่วนหลัง ตลอดจนบริเวณกกหู มีน้ำหนักปานกลางประมาณ 700 กรัมถึง 1 กิโลกรัม
3. หมวกครึ่งใบ
มีลักษณะคล้ายหมวกเจ้าหน้าที่ตำรวจ มีน้ำหนักเบา ปกป้องได้แค่ครึ่งบนของศีรษะ
- หมวกกันน็อคแบบปิดเต็มหน้าดีที่สุด บังลม กันฝุ่น ให้ความปลอดภัยทั้งศีรษะ ไม่ต้องกลัวหายใจไม่ออกหรือไม่ได้ยินเสียง เพราะมีการเจาะรูระบายอากาศไว้ให้เรียบร้อยแล้ว
- เลือกหมวกกันน็อคที่มีตรามาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก.369-2539) ที่อยู่ของผู้ผลิตที่มีรายชื่อว่าได้รับมาตรฐานของสมอ. และคำแนะนำวิธีใช้
- หมวกมีมาตรฐานแต่ละแบบน้ำหนักจะมากกว่าหมวกกันน็อคที่ไม่ได้มาตรฐานเล็กน้อย ไม่ถึงกับทำให้หนักศีรษะ
- ของแถมของฟรีที่ได้มาจากร้านขายรถจักรยานยนต์ อาจเป็นหมวกที่ไม่มีมาตรฐาน ใช้แล้วอาจยุบ หรือเจ็บตัวได้แม้เกิดอุบัติเหตุไม่รุนแรงก็ตาม
- เลือกสีที่มองออกได้เด่นชัด เช่น สีเหลือง ส้ม แดง เพราะสามารถมองเห็นได้แต่ไกล
หมวกกันน็อคมีเวลาหมดอายุไขการใช้งาน โดยปกติแล้วจะมีอายุการใช้งานประมาณ 3 ปี เกินกว่านั้นควรหาซื้อใหม่จะดีกว่า เพราะหากเกิดอุบัติเหตุจะไม่คุ้ม เนื่องจากการเสื่อมสภาพของพลาสติก และโฟมจนไม่สามารถรับแรงกระแทกแทนศีรษะได้ และหมวกที่เคยตก เคยกระแทกมาแล้ว อายุการใช้งานก็จะน้อยลงไปด้วยเช่นกัน
หวังว่าทุกท่านคงจะขับขี่อย่างปลอดภัย ใช้ความเร็วตามที่กฏหมายกำหนด และใช้หมวกกันน็อคที่ถูกต้องได้มาตรฐานเพื่อความปลอดภัยของทุกคนนะครับ