จากข่าวที่กลุ่มมิจฉาชีพดูดเงินจากบัญชีเงินฝากในรูปแบบต่างๆ โดยที่ผู้เสียหายไม่ทันได้ระวังตัว ด้วยการใช้หลักจิตวิทยาหลอกล่อให้ผู้เสียหายหลงเชื่อ หรือคล้อยตาม และมักใช้การสร้างบัญชีโซเชียลออนไลน์เป็นเครื่องมือในการหลองลวง วันนี้...เราจะมาย้ำเตือนกันอีกครั้ง เพื่อให้ได้ระวัง และจะได้ไม่สูญเงินไปโดยไม่สามารถตามคืนมาได้อีก
5 รูปแบบบัญชีโซเชียลออนไลน์ที่พึงระวัง
สำหรับรูปแบบบัญชีโซเชียลออนไลน์ที่พึงระวัง ว่าหากกดเข้าไป หรือดำเนินการใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับบัญชีเหล่านี้ เราอาจสูญเงินเก็บที่มีโดยไม่รู้ตัวได้ คือบัญชี ดังต่อไปนี้
1. บัญชีโซเชียลที่ตั้งโปรไฟล์เป็นรูปหลุ่มหล่อ สาวสวย
บัญชีเหล่านี้ มักจะขอแอดเป็นเพื่อนโดยที่ไม่ได้รู้จักกันมาก่อน และอาจพยายามสานสัมพันธ์ต่างๆ ให้หลงเชื่อ และจะนำไปสู่การหลอกเอาทรัพย์สิน หรืออาจจะเป็นการหลอกให้ส่งภาพลามกอนาจารก็เป็นได้
2. บัญชีโซเชียลที่หน้าฟีดมีแต่อวดความร่ำรวย
เช่นอาจมีการโพสต์ประมาณว่าได้เงินมากๆ จากการลงทุน หรือทำธุรกิจบางอย่างที่ช่วยให่ได้ผลตอบแทนสูง ไม่ต้องลงแรงมากก็ได้เงินมาง่ายๆ ซึ่งจะนำไปสู่การหลอกลวง ชวนให้ลงทุน หรือ Hybrid Scam
3. บัญชีโซเชียลที่โปรไฟล์เป็นชาวต่างชาติวัยเกษียณ
กลุ่มคนเหล่านี้จะทัก หรือขอแอดเป็นเพื่อนเพื่อสานสัมพันธ์เชิงชู้สาว และจะมีการอ้างว่าจะย้ายมาอยู่ที่ประเทศไทย จะส่งทรัพย์สินมาให้ แต่ติดอยู่ที่ศุลกากร หลอกให้เหยื่อหลงเชื่อ และโอนเงินไปให้
4. แอบอ้างว่าจะให้ความช่วยเหลือจากหน่วยงานรัฐ (ปลอม)
มักมีการลงโฆษณาผ่านช่องทางต่างๆ โดยแอบอ้างเป็นหน่วยงานรัฐ เปิดให้ความช่วยเหลือ หรือรับแจ้งความ เพื่อช่วยติดตามทรัพย์สินที่ถูกหลอกโอนไป จากนั้นก็ให้ดำเนินการตามขั้นตอน โดยจะหลอกให้เหยื่อโอนเงิน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการติดตามคดี เป็นต้น
5. ใช้แอคหลุม แอคปลอม
มักเป็นแอคเคาน์ที่แชร์ข่าว ร้านอร่อย ที่เที่ยวสวยๆ แล้วขอแอดมาเป็นเพื่อน บัญชีพวกนี้อาจฉวยโอกาสใช้ภาพจากบัญชีออนไลน์ของเราไปสร้างบัญชีปลอมของมิจฉาชีพได้
ทั้งนี้ ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แนะนำให้ "ไม่รับแอด ไม่คุยแชต ไม่โอนเงิน" ให้กับบัญชีโซเชียลออนไลน์ตาม 5 ลักษณะข้างต้น เพื่อลดโอกาสที่จะตกเป็นเหยื่อของกลุ่มมิจฉาชีพ และปิดโอกาสที่จะสูญเงินไปโดยไม่รู้ตัว แต่...หากได้รับความเสียหายจากอาชญากรรมทางเทคโนโลยีแล้ว สามารถแจ้งความร้องทุกข์ได้ที่ศูนย์แจ้งความออนไลน์ที่ www.thaipoliceonline.go.th หรือสายด่วน 1441 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
ขอบคุณข้อมูลจาก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ