เมื่อก้าวสู่ยุคดิจิทัล มีอะไรหลายอย่างที่ต้องเรียนรู้เพิ่มเติม และต้องปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะเรื่องของการเงินดิจิทัล ที่เป็นเรื่องสำคัญที่เกี่ยวพันกับการดำเนินชีวิตของทุกคน ไม่ว่าจะกินใช้ ลงทุน ทำธุรกิจ ก็จะมีวิธีการ และคำศัพท์ใหม่ๆ เกิดขึ้นอยู่เสมอ วันนี้…เราจะพามารู้จัก 13 ศัพท์การเงินดิจิทัล ที่เราจำเป็นต้องรู้ ว่ามีอะไรบ้าง และแต่ละคำหมายความว่าอย่างไร
1. Open Banking คือการที่ผู้ให้บริการทางการเงิน สามารถใช้ข้อมูลการเงินของลูกค้าจากสถาบันการเงินต่างๆ ได้อย่างสะดวก โดยมี API เป็นช่องทางเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างกัน ทำให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงบริการข้ามธนาคารได้สะดวกขึ้น
ทั้งนี้ เจ้าของข้อมูลจะเป็นผู้ให้สิทธิอนุญาตให้ธนาคารส่งข้อมูลของตนเองให้แก่บุคคลอื่น เช่น ผู้ให้บริการทางการเงินรายอื่น บริษัท FinTech หรือหน่วยงานภาครัฐต่างๆ เพื่อให้นำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ทั้งในแง่การให้บริการหรือการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของตนเองในฐานะเจ้าของข้อมูลได้ดีขึ้น โดยต้องดำเนินการภายใต้หลักธรรมาภิบาลข้อมูลที่ดี และมีการรักษาความลับของข้อมูลอย่างเคร่งครัดด้วย
2. API Standard (Application Programming Interface) เป็นการเชื่อมต่อ และรับส่งข้อมูลจากระบบหนึ่งไปยังอีกระบบหนึ่ง โดยมีมาตรฐานกลางร้วมกัน ซึ่งธนาคารหลายแห่งกำลังพัฒนา เช่น Bank Statement รูปแบบดิจิทัลเพื่อขอสินเชื่อ เป็นต้น
3. Metaverse คือ เทคโนโลยีดิจิทัลเสมือนจริงที่ผสมผสานโลกแห่งความจริง และเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน เช่น การไปทำธุรกรรมที่ธนาคารบนโลกเสมือนจริง แต่ตัวนั่งอยู่ที่บ้าน
4. DeFi (Decentralized Finance) คือ ระบบการเงินแบบไม่มีศูนย์กลางในการทำธุรกรรมทางการเงินต่างๆ ผ่านระบบ Blockchain ไม่ต้องผ่านตัวกลางที่เป็นธนาคาร
5. NFT (Non - Fungible Token) เป็นสินทรัพย์ดิจิทัลประเภทหนึ่งอยู่ในเทคโนโลยี Blockchain ใช้แสดงความเป็นเจ้าของของสินทรัพย์ดิจิทัลนั้น มีเพียงชิ้นเดียว ไม่สามารถทำซ้ำ หรือทดแทนกันได้
6. Blockchain เป็นเทคโนโลยีเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่สามารถประมวลผลและบันทึกข้อมูลแบบไม่จำเป็นต้องมีตัวกลางควบคุม มีกลไกการบันทึกข้อมูลที่สามารถป้องกันการปลอมแปลงได้ ซึ่งผลลัพธ์คือข้อมูลในระบบ Blockchain จะมีความโปร่งใสและตรวจสอบได้ ส่งผลให้สามารถลดขั้นตอน และต้นทุนในการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลได้อย่างมาก ยกตัวอย่างเช่น การโอนเงินระหว่างประเทศจากเดิมที่เคยใช้เวลา 3 – 5 วันกว่าเงินจะถึงมือผู้รับ หากเป็นระบบ Blockchain จะลดลงมาเหลือ 3 – 5 นาทีเท่านั้น และยังเสียค่าธรรมเนียมถูกลงอีกด้วย ดังนั้นเทคโนโลยี Blockchain จึงเป็นที่คาดหวังว่าจะเป็นสิ่งที่จะสามารถสร้างนวัตกรรมการเงินใหม่ๆ และสร้างประโยชน์ให้กับเศรษฐกิจของโลก
7. CBDC (Central Bank Digital Currency) เป็นสกุงเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง หรือธนบัตรในรูปแบบดิจิทัล มีมูลค่าคงที่ สามารถใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย ช่วยลดค่าธรรมเนียมที่ไม่จำเป็น ปลอดภัย และมีความน่าเชื่อถือสูง
8. BIN attack เป็นการตัดเงินผ่านบัตรเดบิต และบัตรเครดิต ดดยที่เจ้าของบัตรไม่ได้ทำรายการเอง โดยใช้วิธีหลอกขอข้อมูล สุ่มเลขบัตร หรือการรั่วไหลจากแพลตฟอร์มเสี่ยง
9. e-KYC (Electronic Know Your Customer) เป็นการทำความรู้จักกับลูกค้าผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ ในการระบุตัวตน และพิสูจน์ตัวตนลูกค้า ให้ปลอดภัย ป้องกันการสวมรอย โดยทำได้หลายรูปแบบ เช่น NDID การจดจำใบหน้า สแกนลายนิ้วมือ เป็นต้น
ดูข้อมูลเพิ่มเติม >>
ทำไม KYC ถึงสำคัญกับบัตรเครดิตดิจิทัล 10. NDID (National Digital ID) คือ การยืนยันตัวตนรูปแบบดิจิทัล เพื่อขอสมัครหรือใช้บริการต่างๆ ผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น การเปิดบัญชีเงินฝาก สะดวก รวดเร็ว ไม่ต้องเดินทางไปแสดงตัวตนที่สาขา และปลอดภัยตามมาตรฐานสากล
11. Digital factoring เป็นใบแจ้งหนี้ดิจิทัล ใช้เป็นหลักประกันเพื่อขอสินเชื่อ ลดปัญหาการขอสินเชื่อซ้ำซ้อนโดยใช้ใบแจ้งหนี้เดียวกัน และการปลอมแปลงเอกสาร
12. SLA (Service Level Agreement) เป็นข้อตกลงเกี่ยวกับระยะเวลาการให้บริการทางการเงินในด้านต่างๆ เช่น การใช้บริการแก้ไขเหตุขัดข้อง ติดต่อธนาคารแล้วจะได้รับการติดต่อกลับ หรือได้รับการช่วยเหลือ จะต้องอยู่ภายในระยะเวลาที่กำหนด
13. OTP (One Time Password) คือ รหัสผ่านที่สามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียวต่อการเข้าสู่ระบบหนึ่งครั้ง ภายในระยะเวลาที่กำหนด มักใช้เพื่อยืนยันตัวตนก่อนทำธุรกรรมทางการเงินออนไลน์
ขอบคุณข้อมูลจาก ธนาคารแห่งประเทศไทย