ปัจจุบันเรานิยมทำธุรกรรมทางออนไลน์หรือว่าเปิดบัญชีเงินฝากดิจิทัลกันมากขึ้น และเพื่อความปลอดภัยทั้งเรื่องเงินในบัญชีธนาคารและข้อมูลส่วนตัว เรื่องของ "การยืนยันตัวตน" จึงเป็นเรื่องสำคัญ หลายคนอาจเคยได้ยิน KYC ซึ่งก็คือการยืนยันตัวลูกค้าที่ทำธุรกรรมนั่นเอง... วันนี้พาไปทำความรู้จัก KYC และ e-KYC ให้มากขึ้นกว่าเดิมกันค่ะ
KYC คืออะไร KYC ย่อมาจาก Know Your Customer เป็นกระบวนการที่องค์กรหรือธนาคารใช้ตรวจสอบและรู้จักลูกค้าอย่างละเอียดผ่านเอกสารข้อมูลต่าง ๆ เพื่อทราบข้อมูลเกี่ยวกับตัวตน และกิจกรรมทางการเงินของลูกค้า
ทำไม KYC จึงสำคัญ ช่วยป้องกันและลดการกระทำที่ผิดกฎหมาย เช่น การติดสินบน หรือการฟอกเงินได้ รวมไปถึงช่วยให้ผู้ให้บริการ และผู้ใช้บริการในระบบนั้นปลอดภัยมากขึ้นด้วย
ใครต้องทำ KYC บ้าง ในประเทศไทยธุรกิจที่เกี่ยวกับการเงินรวมถึง e-Payment และผู้ให้บริการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลจะต้องทำ KYC ซึ่งอยู่ภายใต้พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
e-KYC คืออะไร ย่อมาจากคำว่า Electronic Know Your Customer เป็นการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการยืนยันและตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลและตัวตนของลูกค้าในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์
KYC กับ e-KYC ต่างกันอย่างไร e-KYC คือการยืนยันตัวตนที่ยกระดับมาจาก KYC ในรูปแบบของเทคโนโลยีมีความล้ำสมัยมากขึ้น โดยลูกค้าสามารถทำทุกขั้นตอนผ่านแอปพลิเคชันเป็นหลัก เน้นยืนยันตัวตนแบบออนไลน์ และทำได้ทุกที่ ในขณะที่ KYC ยังต้องเดินทางไปยืนยันตัวตนที่สาขาธนาคาร
ทั้ง 2 แบบนี้ คือระบบการยืนยันตัวตนของลูกค้าเหมือนกัน แต่ว่า KYC เป็นกระบวนการที่มีการตรวจสอบและยืนยันตัวตนของลูกค้าโดยใช้เอกสารยืนยันตัวตน แต่ e-KYC จะใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการยืนยันตัวตนของลูกค้า ต้องบอกระบบการธุรกรรมทางการเงินในปัจจุบันก้าวกระโดดไปอย่างรวดเร็วมาก มือใหม่ด้านเทคโนโลยีอาจงง ๆ บ้าง และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งช่องโหว่ที่ทำให้มิจฉาชีพแฝงตัวเข้ามาด้วย ดังนั้นหากจะทำธุรกรรมทางการเงินอะไร ต้องเช็กข้อมูลให้ดี ไม่คลิกลิงก์มั่ว ๆ นะคะ พาไปรู้จักอีกหนึ่งการยืนยันตัวตนที่เราคุ้นเคยกันเพิ่มเติมค่ะ คลิกเลย
NDID ระบบยืนตัวตนก่อนเปิดบัญชีเงินฝากดิจิทัล คืออะไร
ขอบคุณข้อมูล : Dittothailand, Rabbitcare