เดินทางมาถึงไตรมาสสุดท้ายของปี 2022 แล้ว เป็นช่วงเวลาที่ทั้งมนุษย์เงินเดือน และเจ้าของกิจการต่างมองหากองทุนประหยัดภาษี ซึ่งบทความนี้จะรวบรวมกองทุนประหยัดภาษีทั้ง SSF และ RMF สำหรับนักลงทุนสายประหยัดภาษีได้เลือกลงทุน
เกณฑ์การลดหย่อนภาษีกองทุน SSF และ RMF ปี 2022
กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) เน้นการออมระยะยาวและออกมาแทนกองทุน LTF สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ 30% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท
กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เป็นกองทุนที่ส่งเสริมการออมเงินไว้ใช้ยามเกษียณ นำมาลดหย่อนภาษีได้ 30% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท
สำหรับค่าลดหย่อนกลุ่มประกันชีวิต และการลงทุนในการวางแผนเกษียณ ประกอบด้วย กองทุน RMF, กองทุน SSF, กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, กบข., กองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน, กองทุนการออมแห่งชาติ, ประกันชีวิตแบบบำนาญ เมื่อรวมกันทั้งหมดต้องไม่เกิน 500,000 บาท
ที่สำคัญกรมสรรพากรออกกฎใหม่ให้นักลงทุนที่ต้องการประหยัดภาษีจากองทุน RMF และ SSF ปี 2022 ต้องแจ้งความประสงค์ขอใช้สิทธิลดหย่อนภาษีกับ บลจ. เนื่องจากกรมสรรพากรจะยอมรับหลักฐานการซื้อหน่วยลงทุนจาก บลจ. โดยตรงเท่านั้น
กองทุน SSF และ RMF เลือกยังไง กองไหนดี
การคัดเลือกกองทุน SSF และ RMF รวมไปถึงกองทุนรวมทั่วไป ควรเริ่มจากข้อมูลสถิติย้อนหลังในระยะเวลา 1, 3 และ 5 ปี ได้แก่
- Maximum Drawdown หรือจุดขาดทุนสูงสุด เพื่อพิจารณาผลตอบแทนในสถานการณ์ที่แย่ที่สุด
- Sharpe Ratio เพื่อพิจารณาผลตอบแทนจากการลงทุนหักด้วยผลตอบแทนปราศจากความเสี่ยงเทียบกับความผันผวน ยิ่งมีค่าสูง ยิ่งดี
- Total Return เพื่อพิจารณาผลตอบแทนจากการลงทุน โดยเหตุผลที่ต้องพิจารณาสถิติในหลายช่วงเวลาเพื่อพิจารณาความสม่ำเสมอของกองทุน
หลังจากนั้นต้องพิจารณาแนวทางการลงทุนของผู้จัดการกองทุน (Fund Manager) กรอบแนวคิดการเลือกสินทรัพย์ในพอร์ตกองทุน ประกอบกับการปรับพอร์ตการลงทุนในอดีตและสัดส่วนสินทรัพย์ในปัจจุบัน ว่ามีความสอดคล้องกับแนวทางการลงทุนหรือไม่ เพราะเหตุใด
สุดท้ายหากกองทุนที่คัดเลือกมามีความคล้ายกัน นักลงทุนต้องพิจารณาค่าธรรมเนียมที่ต่ำที่สุด เพราะกองทุน SSF และ RMF มีระยะเวลาลงทุนที่ยาวนาน ดังนั้นค่าธรรมเนียมจึงมีนัยสำคัญต่อการลงทุน
ข้อมูล และจุดเด่นแต่ละกองทุน
B-INNOTECHSSF / B-INNOTECHRMF : ลงทุนใน Fidelity Funds - Global Technology Fund เป็นกองทุนหุ้นเทคโนโลยีทั่วโลก มีนโยบายแบบ Active ด้วยกลยุทธ์การลงทุนหลากหลาย ทั้งลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีตามมุมมอง ลงทุนหุ้นวัฏจักรหรือหุ้นสถานการณ์พิเศษ รวมถึงมีหุ้นที่มีความแข็งแกร่ง และความผันผวนต่ำ เพื่อสร้างผลตอบแทนสม่ำเสมอ พร้อมความผันผวนที่ต่ำกว่ากองทุนหุ้นเทคโนโลยีอื่น ด้านผู้จัดการกองทุนมีความเชี่ยวชาญด้วยประสบการณ์ลงทุนในกลุ่มเทคโนโลยีอย่างยาวนาน
PRINCIPAL iPROPEN-SSF : กองทุนรวมที่ลงทุนในสินทรัพย์ประเภท REITs และกองทุนรวมอสังหาฯ รวมถึงหน่วยลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทั้งในประเทศ และต่างประเทศ โดยกองทุนจะเน้นลงทุนในประเทศไทย และสิงคโปร์ ซึ่งมีอัตราการปันผลสูงเมื่อเทียบกับทั่วโลก ความสัมพันธ์กับตลาดหุ้นทั่วโลกต่ำช่วยกระจายความเสี่ยงให้พอร์ตลงทุน
KTMEE-SSF : กองทุนรวมผสมทั่วโลกจัดสรรสัดส่วนลงทุนไปยังหน่วยลงทุนกองทุนอื่นโดยผู้จัดการกองทุนจากบลจ. กรุงไทย เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยง และควบคุมความผันผวน
UGIS-SSF / UGISRMF : ลงทุนผ่านกองทุน PIMCO GIS Income Fund จาก บลจ. PIMCO ที่เชี่ยวชาญการลงทุนตราสารหนี้มาอย่างยาวนาน กองทุนหลักบริหารด้วยนโยบาย Active มีกลยุทธ์การลงทุนที่หลากหลาย ปรับสัดส่วนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ตลาดตราสารหนี้
K-FIXEDPLUS-SSF : กองทุนรวมตราสารหนี้ระยะกลางที่เน้นลงทุนตราสารหนี้ในประเทศไทย ส่วนใหญ่จะเป็นพันธบัตรและหุ้นกู้ Investment Grade โดยอาจมีหุ้นกู้ Non-Investment Grade/Unrated ไม่เกิน 20% ของ NAV จึงเหมาะกับการกระจายความเสี่ยง และลดความผันผวนของพอร์ตลงทุน
B-IF-FOFRMF : กองทุนรวมที่ลงทุนในสินทรัพย์ประเภท REITs และกองทุนรวมอสังหาฯ บริหารแบบ Active โดยประเมินทั้งระดับมูลค่า และแนวโน้มการเติบโตของอัตราการปันผลในแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม ซึ่งที่ผ่านมาควบคุมความผันผวนได้โดดเด่น และผลตอบแทนดีกว่ากองทุนรวมอื่น สำหรับ REITs และกองทุนรวมอสังหาฯ มีอัตราการปันผลสูงเมื่อเทียบกับทั่วโลก ความสัมพันธ์กับตลาดหุ้นทั่วโลกต่ำช่วยกระจายความเสี่ยงให้พอร์ตลงทุน
KVIETNAMRMF : ลงทุนในหุ้นรายตัว และหน่วยลงทุนของกองทุน ETF โดยบริหารแบบ Active มุ่งหวังสร้างผลตอบแทนเหนือดัชนี MSCI Vietnam Net Total Return USD Index ซึ่งตลาดหุ้นเวียดนามมีแนวโน้มเติบโตโดดเด่นในระยะยาว รับเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติ และมีประชากรวัยทำงานในสัดส่วนที่สูงพร้อมรับโอกาสในอนาคต
KFIRMF : กองทุนรวมตราสารหนี้ระยะกลางที่เน้นลงทุนตราสารหนี้ในประเทศไทย ส่วนใหญ่จะเป็นพันธบัตร และหุ้นกู้ Investment Grade โดยอาจมีหุ้นกู้ Non-Investment Grade/Unrated ไม่เกิน 20% ของ NAV จึงเหมาะกับการกระจายความเสี่ยง และลดความผันผวนของพอร์ตลงทุน
จากบทความนี้เชื่อว่านักลงทุนสายประหยัดภาษีอาจไปพบกองทุนที่น่าสนใจ และเหมาะสมกับตนเองแล้ว อย่างไรก็ตามการลงทุนมีความเสี่ยง ตลาดการเงินอาจเกิดความผันผวนได้ตลอดเวลา ดังนั้นนักลงทุนจึงควรกระจายความเสี่ยงของพอร์ตลงทุนอย่างสม่ำเสมอ มากกว่านั้นนักลงทุนควรศึกษากฎเกณฑ์การลดหย่อนภาษีเพื่อจะได้ใช้สิทธิ์อย่างเหมาะสม และคุ้มค่าที่สุดนะครับ