ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า ประกันสุขภาพ และประกันโรคร้ายแรงนั้นแตกต่างกันนะคะ ถึงแม้จะเป็นเรื่องประกันที่เกี่ยวกับสุขภาพเหมือนกัน แต่การเคลม หรือรูปแบบความคุ้มครองจะแตกต่างกันชัดเจนเลยค่ะ
ประกันสุขภาพ คือ ประกันที่คุ้มครองค่ารักษาพยาบาลครอบคลุมและคุ้มครองโรคทั่วไป โรคร้ายแรง และอุบัติเหตุต่างๆ เช่น ไข้หวัด กระเพาะ ลำไส้อักเสบ (ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแบบประกันสุขภาพที่ทำ) เคลมค่ารักษาได้ตามที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งจะครอบคลุมเรื่องค่าห้อง ค่าพยาบาล ค่าแพทย์ ค่าผ่าตัด และอื่นๆ โดยขึ้นอยู่กับวงเงินที่เราทำเอาไว้ ถ้าเกินวงเงิน เราจะต้องรับผิดชอบเองค่ะ
เบี้ยประกัน ประกันสุขภาพแบบเหมาจ่าย 1 ล้านบาท ของผู้ชายอายุ 30 ปี จะอยู่ที่ประมาณ 15,000 บาท ต่อปี จ่ายทิ้ง
ส่วนประกันโรคร้ายแรง จะมีลักษณะเป็นเงินชดเชย ซึ่งจะจ่ายเป็นเงินก้อนเมื่อเราตรวจเจอโรคร้ายตามแบบและเงื่อนไขประกันที่เราได้ทำเอาไว้ เช่น เราได้ทำประกันโรคร้ายครอบคลุม 44 โรคร้ายแรง ไว้ 1 ล้านบาท เมื่อตรวจเจอโรคร้ายจะสามารถเคลมเงิน 1 ล้านบาท โดยเงินก้อนนี้จะเอาไว้ใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในการรักษาตัวต่อ หรืออื่นๆ ตามที่เราต้องการ เป็นค่าชดเชยเมื่อเจอโรคร้ายค่ะ
เบี้ยประกัน ประกันโรคร้ายแรง มีหลายหลายแบบมากในตลาด ยกตัวอย่าง ที่ครอบคลุม 44 โรคร้ายแรงทุนประกัน 1 ล้านบาท ของผู้ชายอายุ 30 ปี จะอยู่ที่ประมาณ 2,000 บาท ต่อปี จ่ายทิ้งนะคะ ไม่เคลมไม่ได้คืน
ตัวอย่างกลุ่มโรคร้ายแรง เช่น กลุ่มโรคมะเร็งและเนื้องอก กลุ่มโรคหัวใจและระบบการหายใจ กลุ่มโรคหลอดเลือดสมองระบบประสาทและกล้ามเนื้อ กลุ่มโรคอวัยวะและระบบการทำงานที่สำคัญของร่างกาย เช่น ตับวาย ไตวาย ลำไส้อักเสบ กลุ่มโรคภาวะติดเชื้อการบาดเจ็บร้ายแรงและภาวะทุพพลภาพ ซึ่งจะครอบคลุมโรคหลักๆ ที่คนไทยเป็นกันบ่อยๆค่ะ
มีประกันสุขภาพแล้ว จำเป็นต้องซื้อประกันโรคร้ายแรงหรือไม่?
จากความแตกต่างเรื่องความคุ้มครองที่ได้เล่าไปแล้วข้างต้น จะเห็นว่า การทำประกันโรคร้ายแรงกับประกันสุขภาพจะไม่เหมือนกัน อยากลองแชร์มุมมองแนวความคิดให้เห็นภาพดังนี้ค่ะ
มุมมองแรก
ทำเฉพาะประกันสุขภาพอย่างเดียว จะครอบคลุมค่ารักษาพยาบาลที่จะเกิดขึ้น ไม่ว่าเราจะเป็นโรคอะไร ประกันจะคุ้มครองอยู่แล้ว อาจจะยังไม่จำเป็นต้องทำประกันโรคร้ายที่เป็นค่าชดเชยเพิ่มเติมก็ได้ ข้อเสีย คือ พลาดโอกาสได้รับเงินชดเชยก้อนใหญ่ ในขณะที่เบี้ยประกันไม่ได้แพงมาก หลักพันต่อปี
มุมมองที่สอง
ทำเฉพาะประกันโรคร้ายแรงอย่างเดียว สำหรับทางเลือกนี้ อาจจะเหมาะกับคนที่ยังไม่พร้อมจะจ่ายเบี้ยประกันสุขภาพที่มีราคาค่อนข้างสูงกว่าแบบโรคร้ายแรงอยู่ไม่น้อย ข้อเสียคือ จะได้เพียงค่าชดเชย แต่ไม่ได้คุ้มครองค่ารักษาพยาบาลที่เกิดขึ้นจริง
มุมมองที่สาม
ทำทั้งประกันสุขภาพและประกันโรคร้ายแรง ทางเลือกนี้ จะช่วยให้เราเบาใจ ทั้งเรื่องค่ารักษาพยาบาล และแถมยังได้เงินชดเชยกลับมาด้วย เจ็บป่วยแบบไหนก็พร้อมสู้ มั่นใจ ไม่ต้องกังวลเรื่องเงินค่ะ ข้อเสียคือ ต้องจ่ายเบี้ยที่เพิ่มขึ้น ตามโรคที่เราต้องการความคุ้มครองค่ะ
ยกตัวอย่าง นาย A อายุ 30 ปี เป็นโรคโรคมะเร็งปอด ค่ารักษาเฉลี่ยประมาณ 150,000 บาท และหากรักษาแบบพุ่งเป้า หรือ Targeted Therapy จะมีค่ารักษาเพิ่มประมาณ 1,700,000 บาท
ถ้านาย A ทำประกันสุขภาพแบบเหมาจ่ายไว้ทุน 1 ล้านบาท จ่ายเบี้ยเพียงปีละ 15,000 บาท ก็จะสามารถครอบคลุมการรักษาได้ แต่อาจจะไม่สามารถครอบคลุมการรักษาแบบพุ่งเป้าทั้งหมด เพราะราคาจะเกินทุนประกัน แต่ถ้านาย A ได้ทำประกันโรคร้ายแรงไว้อีก 1 ล้านบาท เป็นค่าชดเชย ก็จะสามารถนำค่าชดเชยนั้นมาจ่ายค่ารักษาแบบพุ่งเป้าได้ นาย A ก็จะรู้สึกสบายใจมากขึ้นที่ไม่ต้องแบกรับค่ารักษาที่สูงไว้เอง
หมายเหตุ : ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลง
อย่างไรก็ตาม การทำประกันสุขภาพสักเล่มนึง เป็นสิ่งที่แนะนำอย่างยิ่งเลยนะคะ เพราะจะช่วยให้เราอุ่นใจ สบายใจมากยิ่งขึ้นในยามที่เราเจ็บป่วย ถือว่าเป็นการแบ่งเบา และกระจายความเสี่ยงได้ดีอีกทางหนึ่งค่ะ