สถานการณ์เศรษฐกิจในช่วงนี้ต่างเจอปัญหาเงินเฟ้อกันทั่วโลก ดังนั้นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นสิ่งที่ธนาคารกลางทั่วโลกต้องทำเพื่อหยุดยั้งเงินเฟ้อ ทำให้เป็นการกดดันหุ้นกลุ่ม Growth โดยเฉพาะหุ้นเทคโนโลยีขนาดกลาง และเล็ก ขณะเดียวกันสภาพเศรษฐกิจก็เริ่มส่งสัญญาณความอ่อนแอ ทำให้ธนาคารกลางทั่วโลกต่างขึ้นดอกเบี้ยได้ยากขึ้น หากกำหนดนโยบายผิดพลาด จะมีโอกาสส่งผลให้เศรษฐกิจหดตัว หากเจอภาวะเช่นนั้นธนาคารกลางก็ต้องปรับลดดอกเบี้ยอีกครั้ง ซึ่งตลาดหุ้นจะได้รับประโยชน์โดยเฉพาะหุ้น Growth
แต่ถึงแม้ว่าในช่วงนี้ผู้เชี่ยวชาญจะแนะนำให้เน้นลงทุนกองทุนหุ้น Value และ Defensive แต่เป็นโอกาสดีสำหรับนักลงทุนที่ต้องการเตรียมตัวรอรับโอกาสในการลงทุนอย่างกองทุนหุ้นเทคโนโลยีเช่นกัน บทความนี้เลยรวบรวมกองทุนเทคโนโลยีที่น่าสนใจมาให้เพื่อนๆ เลือกตามความเหมาะสมกับเป้าหมายการลงทุนกัน เนื่องจากหุ้น Growth ที่มีหุ้นเทคโนโลยีเป็นสัดส่วนหลัก มีจุดเด่นที่การเติบโตสูงกว่าค่าเฉลี่ยตลาดหุ้น ทำให้น่าสนใจและควรมีสัดส่วนในพอร์ตการลงทุนระยะยาว
จากตารางข้างต้น แม้ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี จะติดลบ แต่หากมองถึงผลตอบแทนในอดีต จะพบว่าหุ้นเหล่านี้มีการเติบโตที่โดดเด่นกว่ากลุ่มอื่นมาตลอด อีกทั้งโลกเข้าสู่ยุคดิจิทัล ชีวิตประจำวันทุกคนอยู่กับโลกออนไลน์แทบตลอดเวลา หุ้นเทคโนโลยีเลยมีแนวโน้มที่จะเติบโตโดดเด่นกว่ากลุ่มอื่นต่อไปในอนาคต ช่วงที่ราคาปรับตัวลงจึงน่าสนใจ เป็นโอกาสดีในการทยอยเข้าสะสม
B-INNOTECH
ลงทุนใน Fidelity Funds - Global Technology Fund เป็นกองทุนหลัก ซึ่งผู้จัดการกองทุนใช้แนวทาง bottom-up เน้นบริษัทที่มีคุณภาพ ซึ่งมีแนวโน้มการเติบโตที่ยั่งยืนในราคาที่เหมาะสม โดยมองหาโอกาสที่แบ่งเป็น 3 ประเภท ประกอบด้วย การเติบโต วัฏจักร และโอกาสพิเศษ ทำให้กองทุนมีสัดส่วนทั้งหุ้นที่เติบโต หุ้นที่อยู่ในช่วงที่มีความแข็งแกร่งกว่าตลาด และหุ้นที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าที่เหมาะสม
กองทุนมีสัดส่วนหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ เป็นสัดส่วนหลัก เช่น MICROSOFT, APPLE ตามด้วยหุ้นเทคโนโลยีจีน สหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ โดยภาพรวมจะเน้นเป็นหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ ดังนั้นเรื่องความผันผวนต่ำกว่ากองทุนเทคโนโลยีอื่นชัดเจน
KKP TECH-H
ลงทุนใน iShares Expanded Tech Sector ETF ซึ่งเป็นกองทุน ETF ที่มุ่งเน้นทำผลตอบแทนตามดัชนีที่ประกอบด้วยหุ้นเทคโนโลยีในภูมิภาคอเมริกาเหนือ หุ้นที่น่าสนใจในพอร์ต เช่น MICROSOFT, APPLE, AMAZON และ GOOGLE เป็นต้น โดยมีกลุ่ม Semiconductors, Interactive Media & Services และ Systems Software เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมหลัก 3 อันดับแรก
T-ES-GTech
มีกองทุน POLAR CAPITAL FUNDS PLC – GLOBAL TECHNOLOGY FUND เป็นกองทุนหลัก เน้นค้นหาหุ้นด้วยหลักการ bottom-up ให้ความสำคัญกับการเติบโตของกำไรและกระแสเงินสด กระจายการลงทุนไปทั้งหุ้นขนาดใหญ่ กลาง และเล็ก ส่งให้มีสัดส่วนทั้งหุ้นที่เติบโตอย่างรวดเร็ว และเติบโตอย่างยั่งยืนไปพร้อมกระแสโลก เช่น APPLE, AMD, TSMC
WE-GTECH
เน้นลงทุนในกองทุน POLAR CAPITAL FUNDS PLC – GLOBAL TECHNOLOGY FUND เป็นหลัก โดยมีกองทุน ISHARES U.S. TECHNOLOGY ETF และ ARK INNOVATION ETF อยู่ในสัดส่วนรวมกัน 11.24% ทำให้กองทุน WE-GTECH จะมีสัดส่วนหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ มากขึ้นกว่าการลงทุนในกองทุน POLAR CAPITAL FUNDS PLC – GLOBAL TECHNOLOGY FUND เพียงกองเดียว
LHROBOTE-A
ลงทุนในกองทุน Credit Suisse (Lux) Robotics Equity Fund เป็นกองทุนที่มุ่งเน้นลงทุนใน 3 แนวโน้มที่เติบโตสูง ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาประสิทธิภาพการทำงาน การพัฒนาคุณภาพชีวิต และการทำงานที่อันตราย ซึ่งแน่นอนว่าบริษัทที่เกี่ยวข้องกับ 3 แนวโน้มนี้ จะต้องทำธุรกิจด้านหุ่นยนต์และ AI
MATECH-A
ลงทุนในกองทุน Wellington Asia Technology Fund ที่ 77.16% และกองทุน Invesco China Technology ETF 19.20% เป็นกองทุนที่ครอบคลุมหุ้นเทคโนโลยีชั้นนำในภูมิภาคเอเชียไม่ว่าจะเป็นจากจีน ไต้หวัน เกาหลีใต้ เช่น TSMC, SK Hynix, Tencent, Meituan
LHESPORT-A
มีกองทุน VanEck Video Gaming and eSports ETF เป็นกองทุนหลักซึ่งมุ่งเน้นให้ผลตอบแทนใกล้เคียงดัชนี MVIS Global Video Gaming & eSports โดยเป็นดัชนีหุ้นที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมเกม และ eSport เช่น TAKE-TWO, Tencent, ELECTRONIC ARTS
KFHTECH-A
ลงทุนในกองทุน BGF World Technology Fund เป็นกองทุนหลัก ซึ่งเป็นกองทุนที่ลงทุนหุ้นเทคโนโลยีทั่วโลก เน้นกระจายการลงทุน ทำให้มีหุ้นในพอร์ตมากถึง 90 บริษัท แต่จะเห็นว่ากลุ่มหุ้นที่มีสัดส่วนมากที่สุดก็ยังเป็นบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ ดังนั้นจึงได้ทั้งการกระจายการลงทุนและบริษัทใหญ่ที่มีความผันผวนไม่สูงมาก แต่ยังเกาะไปกับกระแสการเติบโตในระยะยาว
และนี่ก็คือกองทุนรวมหุ้นเทคโนโลยีที่นำมาฝากเพื่อนๆ กัน แต่อย่าลืมว่าเศรษฐกิจมีขึ้นลงเป็นวัฏจักร หุ้นแต่ละประเภทก็เหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้นจะต้องติดตามการเปลี่ยนแปลงและเตรียมตัวให้พร้อม สิ่งสำคัญที่สุดนั่นก็คือต้องกระจายการลงทุนอยู่เสมอ