การลงทุนกองทุนรวมนอกจากจะนึกถึงผลตอบแทนแล้ว นักลงทุนควรคำนึงถึงค่าธรรมเนียมกองทุนด้วย เพราะค่าธรรมเนียมเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อผลตอบแทนของกองทุนรวมด้วยเหมือนกัน เพื่อนๆ ที่ยังสงสัยว่าค่าธรรมเนียมของกองทุนรวมที่ต้องเสียมีอะไรบ้าง? ต้องดูอย่างไร? และซื้อกองทุนยังไงให้ประหยัดค่าธรรมเนียม? บทความนี้มีคำตอบ
ค่าธรรมเนียมกองทุน ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อผลตอบแทนกองทุน
ค่าธรรมเนียมเป็นรายได้ที่กองทุนหักจากเงินลงทุนเริ่มต้นของผู้ลงทุนและสินทรัพย์สุทธิ (NAV) ของกองทุน รายได้จากค่าธรรมเนียมจะถูกแบ่งให้กับทุกหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการขายและการบริหารกองทุน ซึ่งในโลกของการลงทุนทุกประเภทจะมีค่าใช้จ่ายที่เรียกว่าค่าธรรมเนียมอยู่แล้ว แต่การลงทุนผ่านกองทุนรวมจะมีข้อแตกต่างกันเล็กน้อย เช่น มีค่าธรรมเนียมที่หักจากสินทรัพย์สุทธิซึ่งเรียกเก็บเป็นรายปี
ดังนั้นเรื่องค่าธรรมเนียมจึงเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อผลตอบแทนกองทุน ยกตัวอย่างเช่น มีกองทุน A และ B ลงทุนสินทรัพย์เดียวกัน แต่กองทุน A เรียกเก็บค่าธรรมเนียมสูงกว่าอีกกองทุน B ดังนั้นกองทุน A มีแนวโน้มให้ผลตอบแทนต่ำกว่ากองทุน B ทำให้การคัดเลือกกองทุนต้องคำนึงถึงค่าธรรมเนียมด้วย
แต่ก่อนอื่นต้องไปรู้จักกับค่าธรรมเนียมกองทุนกันก่อน..
ทำความรู้จักค่าธรรมเนียมกองทุนในหนังสือชี้ชวน (Fund Fact Sheet)
ในหนังสือชี้ชวนส่วนสรุปข้อมูลสำคัญ (Fund Fact Sheet) จะเปิดเผยค่าธรรมเนียมกองทุนซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภท
- ค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บจากผู้ถือหน่วย
- ค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บจากกองทุนรวม
ประเภทที่ 1 ค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บจากผู้ถือหน่วย
ค่าธรรมเนียมส่วนนี้เกิดขึ้นตอนซื้อและขายหน่วยลงทุน คิดเป็น % ของมูลค่าการซื้อขาย และจะหักออกจากมูลค่าเงินลงทุน หลังบลจ. ยืนยันคำสั่งซื้อขายเรียบร้อย เช่น ซื้อกองทุน 1,000 บาท มีค่าธรรมเนียมซื้อ 1% จำนวนเงินที่ปรากฏในพอร์ตลงทุนหลังจาก บลจ. ยืนยันคำสั่งจะเป็น 990 บาท
ค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บจากผู้ถือหน่วย ประกอบด้วย
-
ค่าธรรมเนียมขาย (Front-End) : ค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บตอนนักลงทุนซื้อกองทุน
-
ค่าธรรมเนียมการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนเข้า (Switching-In) : ค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บตอนที่นักลงทุนย้ายเงินลงทุนจากกองทุนอื่นใน บลจ. เดียวกัน เข้ามายังกองทุน
-
ค่าธรรมเนียมซื้อ (Back-End ): ค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บตอนนักลงทุนขายกองทุน
-
ค่าธรรมเนียมการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนออก (Switching-Out) : ค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บตอนที่นักลงทุนย้ายเงินลงทุนออกจากกองทุนไปยังกองทุนอื่นใน บลจ. เดียวกัน
-
ค่าธรรมเนียมการโอน (Transfer Fee) : ค่าธรรมเนียมการโอนสิทธิ์ในหน่วยลงทุนของกองทุนให้บุคคลอื่น
-
ค่าใช้จ่ายในการซื้อขายหลักทรัพย์ เมื่อมีการซื้อ ขาย สับเปลี่ยน (Transaction Fee) : ค่าใช้จ่ายที่กองทุนใช้ในการซื้อขายหลักทรัพย์ เช่น ค่าธรรมเนียมการซื้อหุ้น
-
ค่าปรับกรณีขายคืนและสับเปลี่ยนออกก่อนระยะเวลาที่กำหนด (Exit Fee) : บางกองทุนจะมีการกำหนดระยะเวลาถือครองหน่วยลงทุน หากผู้ถือหน่วยลงทุนขายก่อนเวลาที่กำหนดจะถูกเก็บค่าปรับ
-
บางครั้งกองทุนอาจไม่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมขายหรือซื้อ แต่จะเก็บในรูปส่วนต่างราคาระหว่างราคาเสนอขาย (Offer) และราคาเสนอซื้อ (Bid) เรียกว่า Spread
ประเภทที่ 2 ค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บจากกองทุนรวม
ค่าธรรมเนียมส่วนนี้จะไม่เรียกเก็บจากเงินลงทุนของผู้ถือหน่วยลงทุนโดยตรง กองทุนจะหักจากสินทรัพย์สุทธิ (NAV) ทุกวัน โดยจะคิดเป็น % ต่อปี เช่น กองทุนเก็บค่าบริหารจัดการปีละ 2% ต่อปี เท่ากับ 2%/365 จะได้ 0.0055% ต่อวัน โดย NAV ที่นักลงทุนเห็นรายวันนั้นจะหักสุทธิจากส่วนนี้แล้ว
Fund Fact Sheet กองทุนรวม B-INNOTECH เดือนเมษายน 2565
ค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บจากกองทุนรวม ประกอบด้วย
- ค่าธรรมเนียมการจัดการ (Management Fee) : เป็นรายได้ของผู้จัดการกองทุน กองทุนที่มีนโยบายการบริหารแบบ Active จะมีค่าธรรมเนียมส่วนนี้สูงกว่าแบบ Passive
- ค่าธรรมเนียมผู้ดูแลผลประโยชน์ (Trustee Fee) : ค่าธรรมเนียมสำหรับผู้ดูแลผลประโยชน์ที่รับรองสินทรัพย์สุทธิ (NAV) ของกองทุน รวมไปถึงดูแลผลประโยชน์ตามนโยบายของกองทุน
- ค่าธรรมเนียมนายทะเบียน (Registrar Fee) : ค่าธรรมเนียมสำหรับผู้ดูแลรายชื่อผู้ถือหน่วยลงทุนและสิทธิประโยชน์ และยังมีค่าใช้จ่ายอื่นที่นำไว้ใช้สำหรับค่าโฆษณาประชาสัมพันธ์กองทุน ค่าผู้สอบบัญชี ค่าใช้จ่ายในการจัดทำและแจกจ่ายหนังสือชี้ชวน
เลือกลงทุนยังไงให้ประหยัดค่าธรรมเนียม
- เลือกกองทุนรวมที่ค่าธรรมเนียมต่ำเมื่อเทียบกับกองทุนรวมประเภทเดียวกัน : ต้องเปรียบเทียบกองทุนรวมที่มีนโยบายการบริหารและลงทุนในสินทรัพย์ที่คล้ายกัน เช่น กองทุนรวม SET50 ควรเปรียบเทียบกองทุนในกลุ่มที่มีนโยบายการบริหารแบบ Passive ซึ่งลงทุนให้มีผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนีอ้างอิง SET50 ไม่ควรเปรียบเทียบกับกองทุนที่มีนโยบายการบริหารแบบ Active ซึ่งต้องการสร้างผลตอบแทนให้ดีกว่าดัชนีอ้างอิง SET50 เพราะมีนโยบายการบริหารที่ต่างกัน ค่าธรรมเนียมจะแตกต่างกันอย่างแน่นอน
- เปรียบเทียบค่าธรรมเนียมกับผลตอบแทน : ต้องเปรียบเทียบผลตอบแทนต่อปีว่าคุ้มค่ากับค่าธรรมเนียมหรือไม่
- ไม่ควรซื้อขายบ่อยจนเกินไป : ผู้ลงทุนจะต้องเสียค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บจากผู้ถือหน่วยทุกครั้งที่มีการซื้อขาย ดังนั้นยิ่งซื้อขายบ่อยจะยิ่งเสียค่าธรรมเนียมส่วนนี้มากขึ้น
และนี่ก็คือประเภทของค่าธรรมเนียมทั้งหมด ที่ทีมงานนำมาฝากเพื่อนๆ กัน หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้เพื่อนๆ เข้าใจค่าธรรมเนียมที่ต้องจ่ายมากขึ้น และนำไปประยุกต์ใช้ในการเลือกกองทุนให้ประหยัดค่าธรรมเนียมมากที่สุด