การวางแผนการเงิน เป็นสิ่งที่ทำให้เราเตรียมความพร้อมในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสภาพคล่อง การที่เรามีเงินสำรองเผื่อฉุกเฉินไว้ ทำให้เรายังสามารถใช้จ่ายได้แม้ไม่มีรายได้ เรื่องชีวิต และสุขภาพ การที่เรามีทำประกันชีวิต และประกันสุขภาพไว้ เวลาที่เราเจ็บป่วยต้องเข้าโรงพยาบาล ก็จะมีบริษัทประกันจ่ายค่ารักษาให้กับเรา หรือแม้กระทั่งในวันที่เกิดเหตุไม่คาดฝันในชีวิตเรา ก็ยังมีเงินก้อนส่งต่อให้กับคนข้างหลัง
แต่...สิ่งที่จะเป็นตัววัดว่าแผนการเงินของเรานั้นมีประสิทธิภาพแล้วหรือยัง จะสามารถวัดได้จากอัตราส่วนการเงินส่วนบุคคล (Personal Financial Ratio) บทความนี้จะพาทุกคนไปรู้จักกับ 6 อัตราส่วน ใน 3 มิติที่คนที่อยากวางแผนการเงินต้องรู้จัก จะมีอะไรบ้าง ไปติดตามกันเลย
มิติที่ 1 รายได้
อัตราส่วนความอยู่รอด (Survival Ratio)
อัตราส่วนความอยู่รอด (Survival Ratio) = รายได้รวม/ค่าใช้จ่าย |
รายได้รวมในที่นี้หมายถึง รายได้จากการทำงาน และรายได้จากทรัพย์สิน เป็นอัตราส่วนที่บอกว่าเราสามารถดำรงชีวิตให้อยู่รอดในแต่ละเดือนได้หรือไม่ อัตราส่วนนี้ถ้ามีค่ามากกว่า 1 แปลว่าอยู่รอด
เช่น ถ้ามีเงินเดือนเป็นรายได้ทางเดียวอยู่ที่ 20,000 บาท และมีรายจ่าย 15,000 บาท จะคำนวณออกมาได้เท่ากับ 20,000/15,000 = 1.33 ซึ่งมีค่ามากกว่า 1 หมายความว่าเรายังใช้จ่ายไม่เกินรายได้ สามารถดำรงชีวิตให้อยู่รอดได้
อัตราส่วนความมั่งคั่ง (Wealth Ratio)
อัตราส่วนความมั่งคั่ง (Wealth Ratio) = รายได้จากทรัพย์สิน/ค่าใช้จ่าย |
อีกหนึ่งอัตราส่วนที่ต้องรู้จักคือ อัตราส่วนความมั่งคั่ง เป็นอัตราส่วนที่บอกว่าเราเป็นคนที่มั่งคั่ง และมีอิสรภาพทางการเงินแล้วหรือยัง เพราะรายได้จากทรัพย์สินคือ Passive Income อัตราส่วนนี้ถ้ามีค่ามากกว่า 1 แปลว่าเราเป็นคนที่มีอิสรภาพทางการเงินแล้ว
เช่น เรามีคอนโดปล่อยเช่า 15,000 บาทต่อเดือน มีเงินปันผลจากหุ้น และกองทุนรวม 2,000 บาท รวมเป็น 17,000 บาท แต่เรามีรายจ่าย 15,000 บาท ซึ่งคำนวณออกมาได้เท่ากับ 17,000/15,000 = 1.13 มีค่ามากกว่า 1 หมายความว่าเราเป็นคนที่มีอิสรภาพทางการเงินแล้ว
มิติที่ 2 สภาพคล่อง
อัตราส่วนสภาพคล่องพื้นฐาน (Basic Liquidity Ratio)
อัตราส่วนสภาพคล่องพื้นฐาน (Basic Liquidity Ratio) = สินทรัพย์สภาพคล่องรวม/ค่าใช้จ่ายต่อเดือน |
สินทรัพย์สภาพคล่อง คือ สินทรัพย์ที่มีความรวดเร็วในการนำมาใช้ใกล้เคียงเงินสด เช่น เงินสด เงินฝากธนาคาร กองทุนรวมตลาดเงิน เป็นอัตราส่วนที่ดูว่าเราจะสามารถมีเงินใช้จ่ายไปได้อีกกี่เดือน หรือหมายถึงเงินสำรองฉุกเฉินนั่นเอง ที่ควรมีเงินส่วนนี้ประมาณ 3-6 เดือน
หากเรามีเงินสด เงินฝาก และเงินในกองทุนรวมตลาดเงินที่ 60,000 บาท และมีค่าใช้จ่ายต่อเดือนอยู่ที่ 15,000 บาท เท่ากับว่าเรามีเงินสำรองฉุกเฉินอยู่ที่ 4 เดือน หากยังรู้สึกไม่อุ่นใจ ก็สามารถเก็บเพิ่มจนครบ 6 เดือนได้
อัตราส่วนสภาพคล่อง (Liquidity Ratio)
อัตราส่วนสภาพคล่อง (Liquidity Ratio) = สินทรัพย์สภาพคล่องรวม/หนี้สินระยะสั้น |
หนี้สินระยะสั้น คือ หนี้สินที่มีระยะเวลาในการชำระหนี้น้อยกว่า 1 ปี เช่น หนี้บัตรเครดิต หนี้สำหรับผ่อนจ่ายสินค้าต่างๆ เป็นอัตราส่วนที่ดูว่าสินทรัพย์สภาพคล่องที่มี จะสามารถจ่ายหนี้ระยะสั้นได้หรือไม่ หากมีค่ามากกว่า 1 หมายความว่าเรายังมีความสามารถในการชำระหนี้ระยะสั้นอยู่
มิติที่ 3 หนี้สิน
อัตราส่วนหนี้สินต่อสินทรัพย์ (Debt to Asset Ratio)
อัตราส่วนหนี้สินต่อสินทรัพย์ (Debt to Asset Ratio) = หนี้สิน/สินทรัพย์ |
เป็นอัตราส่วนที่ไม่ควรมากกว่า 0.5 หรือหมายความว่าเราไม่ควรมีหนี้สินมากกว่า 50% ของสินทรัพย์ที่มี
อัตราส่วนแสดงความสามารถในการชำระหนี้ (Debt Service Ratio)
อัตราส่วนแสดงความสามารถในการชำระหนี้ (Debt Service Ratio) = จำนวนหนี้ที่ต้องชำระ/รายได้ |
เป็นอัตราส่วนที่ไม่ควรมากกว่า 0.4 หรือหมายความว่าไม่ควรมีจำนวนหนี้ที่ต้องชำระมากกว่า 40% ของรายได้เพราะอาจทำให้มีปัญหาเรื่องสภาพคล่องได้ ไม่ว่าจะเป็นค่าผ่อนโทรศัพท์มือถือ ค่าผ่อนรถ ผ่อนบ้าน รวมแล้วไม่ควรเกิน 40%
เมื่อเพื่อนๆ ได้ดูจักกับอัตราส่วนการเงินส่วนบุคคลแล้ว สามารถนำไปคำนวณได้เลย เพื่อดูว่าเราวางแผนการเงินได้มีประสิทธิภาพมากแค่ไหน ทีมงานหวังว่าบทความนี้จะช่วยให้เพื่อนๆ สามารถมีอิสรภาพการเงินกันทุกคน