เนื่องจากกรมธรรม์ประกันชีวิต ให้ความคุ้มครองในหลายๆ เรื่องกรมธรรม์บางฉบับอาจมีสัญญาเพิ่มเติมในเรื่องของความคุ้มครองการรักษาพยาบาลเพิ่มเติมเข้ามาด้วย อาจทำให้ค่าเบี้ยประกันที่ต้องจ่ายต่อปีค่อนข้างสูง ตอนเราซื้อประกัน เราก็อยากได้รับความคุ้มครองที่ครอบคลุม ค่าเบี้ยก็จะแพงขึ้น แต่พอถึงตอนจ่ายบางปีเราหมุนเงินไม่ทัน หรือถึงรอบที่ต้องจ่ายแล้วยังไม่สามารถจ่ายได้ก็มีค่ะ ซึ่งปัญหาที่พบบ่อยสำหรับเรื่องการจ่ายค่าเบี้ยประกัน คือ
ปัญหาข้อที่ 1) กรณีที่ผู้เอาประกันภัยยังคงต้องการถือกรมธรรม์ประกันชีวิตฉบับนั้นๆ อยู่ แต่มีความจำเป็นที่จะต้องลดการจ่ายเบี้ยประกันลง
ปัญหาข้อที่ 2) กรณีที่ผู้เอาประกันภัยไม่สามารถที่จะชำระเบี้ยประกันภัยต่อไปได้แล้ว ต้องการขอยกเลิก หรือหยุดจ่ายเบี้ยประกัน
ซึ่งแต่ละปัญหาก็มีทางออก หลายทางที่ผู้ถือกรมธรรม์เองก็อาจจะไม่เคยทราบมาก่อน วันนี้เราจะมาสรุปไว้ให้ที่นี่เลยค่ะ
ทางออกสำหรับปัญหาข้อที่ 1
กรณีที่ผู้เอาประกันภัยยังคงต้องการถือกรมธรรม์ประกันชีวิตฉบับนั้นๆ อยู่ แต่มีความจำเป็นที่จะต้องลดการจ่ายเบี้ยประกันลง หรือหาเงินมาจ่ายได้ไม่ทันกำหนดเวลา สามารถขอดำเนินการได้หลายวิธี ดังนี้ค่ะ
1. ชำระเบี้ยประกันในระยะเวลาผ่อนผัน
ในกรณีที่เราหาเงินมาจ่ายค่าเบี้ยประกันไม่ทันกำหนดเวลา เราสามารถเลื่อนกำหนดมาชำระในช่วงระยะเวลาผ่อนผันได้ ซึ่งปกติแล้วระยะเวลาผ่อนผันการชำระเบี้ยประกันจะอยู่ที่ 31 วันนับตั้งแต่วันที่ครบกำหนดชำระเบี้ย ซึ่งในระหว่างระยะเวลาผ่อนผันกรมธรรม์ยังคงมีผลบังคับ และถ้าระหว่างนั้นเราเสียชีวิต บริษัทจะหักเบี้ยประกันที่ยังไม่ได้จ่ายออกจากทุนประกันชีวิต
2. นำมูลค่าเวนคืนมาชำระเบี้ยประกันภัยโดยอัตโนมัติ
เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาผ่อนผันชำระเบี้ยประกันแล้ว เรายังไม่ได้จ่ายเบี้ยประกัน บริษัทประกันจะนำมูลค่าเวนคืนในกรมธรรม์มาชำระเบี้ยประกันโดยอัตโนมัติในลักษณะของการกู้ยืม ซึ่งคิดดอกเบี้ยทบต้นในอัตราดอกเบี้ยที่ระบุในกรมธรรม์และบวกเพิ่มดอกเบี้ยอีกร้อยละ 2 ต่อปี
โดยมีเงื่อนไขว่าถ้ามูลค่าเวนคืนเพียงพอจ่ายเบี้ยประกัน บริษัทจะกู้ยืมไปเรื่อย ๆ ทุกปี จนกว่ามูลค่าจะเหลือไม่พอ แต่ถ้ามูลค่าเวนคืนไม่พอจ่ายเบี้ยประกัน บริษัทจะแปลงกรมธรรม์เดิมเป็น "กรมธรรม์ใช้เงินสำเร็จ" หรือ "กรมธรรม์แบบขยายเวลา" (*ตามรายละเอียดทางออกสำหรับปัญหาข้อที่ 2 ข้อ 2) โดยอัตโนมัติ ส่วนการชำระคืนเงินกู้นั้น สามารถนำเงินมาจ่ายคืนได้ภายหลังพร้อมดอกเบี้ยตามที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์
3. ขอเปลี่ยนงวดการชำระเบี้ยประกัน
ผู้เอาประกันภัยสามารถขอเปลี่ยนจากชำระเงินเบี้ยประกันแบบรายปี มาเป็นแบ่งชำระทุกเดือน ทุก 3 เดือน หรือ 6 เดือน ได้ แต่...ค่าเบี้ยประกันที่ต้องจ่ายเมื่อรวมทุกงวดในรอบปีเดียวกันจะสูงกว่าการชำระเบี้ยเป็นรายปี และหากปีไหนเรามีความพร้อมในด้านการเงินมากขึ้น เราก็สามารถกลับมาจ่ายเบี้ยรายปีตามเดิมได้
4. ลดจำนวนเงินเอาประกันภัยลง
การลดจำนวนเงินเอาประกันลง จะช่วยให้เบี้ยประกันที่ต้องจ่ายลดลงตามไปด้วย แต่ทั้งนี้ จำนวนเงินเอาประกันที่ขอลดต้องไม่ต่ำกว่าทุนประกันขั้นต่ำที่กำหนด และผู้เอาประกันภัยต้องไม่มีหนี้กับบริษัทประกันชีวิตนั้นขณะขอลดทุนประกัน
5. เปลี่ยนแบบกรมธรรม์
หากเราพิจารณาแล้วพบว่าแบบประกันที่ทำอยู่ไม่ตรงกับความต้องการ เราสามารถขอเปลี่ยนแบบประกันภัยเป็นแบบอื่นตามที่บริษัทกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขไว้ได้ หากมีระบุไว้ในกรมธรรม์หรือได้รับความเห็นชอบจากบริษัท และหากมีส่วนต่างของเบี้ยประกันหรือเงินค่าเวนคืนกรมธรรม์ บริษัทจะคืนเงินให้หลังหักด้วยหนี้สินที่มี หรือเก็บเงินเพิ่มแล้วแต่กรณี
ทางออกสำหรับปัญหาข้อที่ 2
กรณีที่ผู้เอาประกันภัยไม่สามารถที่จะชำระเบี้ยประกันภัยต่อไปได้แล้ว ซึ่งสามารถขอดำเนินการได้ 3 วิธี คือ ขอเวนคืนกรมธรรม์ ขอเปลี่ยนเป็นกรมธรรม์ใช้เงินสำเร็จ หรือขอเปลี่ยนเป็นการประกันภัยแบบขยายเวลา โดยมีรายละเอียด ดังนี้ค่ะ
1. ขอเวนคืนกรมธรรม์
การขอเวนคืนกรมธรรม์ เป็นอีกหนึ่งทางออกเพื่อช่วยให้เราสามารถบริหารรายจ่ายของเราได้ ในกรณีที่เราไม่สามารถจ่ายค่าเบี้ยประกันต่อไปได้แล้ว เพราะประกันชีวิตเปรียบเสมือนสัญญาการออมเงินระยะยาว ที่จะมีกำหนดยอดเงิน และระยะเวลาในการจ่ายเบี้ยประกันที่ชัดเจน หากเรามีรายได้ไม่แน่นอน หรือเกิดปัญหาเงินช็อต จนทำให้ไม่สามารถจ่ายค่าเบี้ยประกันต่อได้ จนถึงขั้นต้องทิ้งสัญญากรมธรรม์ฉบับนั้นไป นอกจากจะเสียเวลาที่เราทำประกันมาแล้ว ยังสูญเงินค่าเบี้ยที่จ่ายไปอีกด้วย ดังนั้น หากเราไม่สามารถจ่ายค่าเบี้ยประกันต่อไปได้แล้วจริงๆ หรือแม้แต่กรมธรรม์ฉบับนั้นๆ ไม่ตอบโจทย์ หรือไม่ตรงกับความต้องการของเราแล้ว การเลือกที่จะเวนคืนกรมธรรม์ ก็จะทำให้เราได้รับเงินกลับคืนมาบางส่วน ตามเงื่อนไขในสัญญาแนบท้ายของกรมธรรม์ฉบับนั้นๆ ค่ะ
2. เปลี่ยนเป็น "กรมธรรม์ใช้เงินสำเร็จ" หรือเป็น "กรมธรรม์แบบขยายเวลา"
ในกรณีที่เราไม่สามารถจ่ายค่าเบี้ยประกันต่อไปได้ แต่ยังต้องการรับความคุ้มครองจากกรมธรรม์ฉบับนั้นอยู่ เราสามารถแปลงเป็นกรมธรรม์ใช้เงินสำเร็จหรือเป็นกรมธรรม์แบบขยายเวลาได้ ซึ่งทั้ง 2 วิธีนี้ ผู้เอาประกันจะไม่ต้องชำระเบี้ยประกันอีกต่อไป แต่มีความแตกต่างกันคือ
2.1 การแปลงเป็นกรมธรรม์ใช้เงินสำเร็จ ระยะเวลาคุ้มครองเท่าเดิมแต่ทุนประกันลดลง โดยเราจะยังได้รับความคุ้มครองตลอดระยะเวลาที่เราตกลงกับบริษัทไว้ เช่น เดิมในกรมธรรม์ตกลงที่ทุนประกัน 1,000,000 บาท เมื่อเราไม่ได้ชำระเบี้ยแต่เราแปลงกรมธรรม์เป็นมูลค่าใช้เงินสำเร็จ จำนวนเงินคุ้มครองหรือทุนประกันอาจจะลดลง โดยเราสามารถคำนวณได้ตามตารางในกรมธรรม์ฉบับนั้นๆ
2.2 การแปลงเป็นกรมธรรม์ขยายเวลา เงินเอาประกันเท่าเดิม แต่ระยะเวลาคุ้มครองลดลง โดยเราไม่ต้องชำระค่าเบี้ยประกันอีกต่อไป เช่น เดิมกรมธรรม์คุ้มครอง 20 ปี เมื่อแปลงกรมธรรม์เป็นขยายระยะเวลา อาจจะเหลือความคุ้มครอง 10 ปี หากเสียชีวิต ก็จะได้รับเงินตามทุนประกันเดิมที่ระบุไว้ แต่หากมีชีวิตอยู่จนครบเวลาที่ขยายจะไม่มีเงินคืนให้
การทำประกันชีวิต ถือเป็นตัวช่วยในการลดความเสี่ยงเรื่องสุขภาพร่างกายได้เป็นอย่างดี แต่ก่อนจะซื้อประกันชีวิตสัก 1 กรมธรรม์ เราควรเลือกศึกษาข้อมูลให้รอบคอบ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของความคุ้มครองที่ควรตอบโจทย์ และตรงกับความต้องการของเรา รวมไปถึงค่าเบี้ยประกันที่ต้องจ่ายต่อปี ว่าเราสามารถรับภาระตรงนี้ได้จริงๆ หรือไม่ หรือแม้แต่ หากเกิดปัญหาการเงินสะดุดขึ้นมา เราจะมีวิธีการรับมือ หรือมีทางออกสำหรับปัญหาเหล่านั้นได้อย่างไรนะคะ :)
ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน (ศคง.)