3. ข้อมูลได้มาจากไหน?
ข้อมูลจะได้จาก "สมาชิก" ของเครดิตบูโร ซึ่งสมาชิกก็เป็นพวกเจ้าหนี้ทั้งหลายของพวกเราล่ะค่ะ มีทั้งธนาคารพาณิชย์ ธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ (เช่น ออมสิน) บริษัทเงินทุน บริษัทหลักทรัพย์ บริษัทเครดิตฟองซิเอร์ บริษัทประกัน (ทั้งวินาศภัยและประกันชีวิต) และผู้ให้บริการบัตรเครดิต เป็นต้น ทั้งนี้ ในทางปฏิบัติหากเราขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน หรือ Non-Bank ที่อยู่ในระบบแทบจะทุกที่ (ซึ่งก็คือสถาบันที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจอย่างถูกต้อง) ก็จะมีข้อมูลเชื่อมโยงไปที่เครดิตบูโรหมด แต่ผู้ให้บริการสาธารณูปโภค เช่น การประปานครหลวง การไฟฟ้านครหลวง ค่ายบริษัทมือถือ ผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต พวกนี้ไม่ได้เป็นสมาชิกของเครดิตบูโร ดังนั้น ถ้ามีใครมาทวงหนี้เราบอกว่า เราไม่จ่ายค่าโทรศัพท์มือถือจะทำให้ติด Blacklist ของเครดิตบูโรนั้น พวกนี้ไม่เป็นความจริงทั้งสิ้นนะคะ เพราะเครดิตบูโรไม่ได้มีการเก็บข้อมูลเกี่ยวกับประวัติการจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์มือถือ หรืออินเตอร์เน็ตใดๆ ทั้งสิ้น
4. ใครขอดูข้อมูลได้บ้าง?
คนที่ขอดูข้อมูลได้มี 2 ประเภทคือ "สมาชิก" (ซึ่งก็คือที่พูดถึงในข้อ 3 ข้างต้น) และบุคคลทั่วไปอย่างเราๆ ท่านๆ โดยวัตถุประสงค์ในการขอดูนั้นจะดูได้เพื่อประโยชน์ในการวิเคราะห์สินเชื่อ และการออกบัตรเครดิตเท่านั้น ดังนั้น ถ้าเราจะยื่นขอกู้แบงค์ A และเรามีหนี้ค้างชำระกับแบงค์ B อยู่ เวลาเรายื่นขอกู้กับแบงค์ A ทางแบงค์ A ก็จะเข้าไปดูข้อมูลสินเชื่อในเครดิตบูโรที่เรามีอยู่กับแบงค์ B ได้ว่าประวัติการชำระหนี้เราเป็นอย่างไร สำหรับกรณีของบุคคลทั่วไปอย่างเราๆ ที่ไม่ได้เป็นสมาชิกเครดิตบูโรนั้น เราจะสามารถขอดูข้อมูลของตัวเองได้เท่านั้น (โดยเสียค่าบริการตั้งแต่ 100-150 บาท) จะไปขอแอบดูข้อมูลเครดิตบูโรของสามี ภรรยา เพื่อนที่เราเกลียด หรือคนอื่นไม่ได้เลยถ้าคนพวกนี้เขาไม่ได้ทำหนังสือมอบอำนาจมาให้เราขอดูแทนได้
5. เราจะขอดูข้อมูลเครดิตบูโรที่ไหนได้บ้าง?
พวกเรา (ในฐานะบุคคลธรรมดาที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน หรือธนาคารที่เป็นสมาชิกเครดิตบูโร) สามารถขอดูข้อมูลเครดิตบูโรเกี่ยวกับตัวเราเองได้ที่ธนาคาร ศูนย์ตรวจเครดิตบูโร หรือตรวจผ่านแอปพลิเคชันธนาคารต่างๆ ได้ดังต่อไปนี้
โดยสำหรับการตรวจเครดิตบูโรที่ศูนย์ตรวจเครดิตบูโร มีเอกสารที่ต้องเตรียมคือ (กรณีบุคคลธรรมดา) บัตรประจำตัวประชาชน หรือหนังสือเดินทาง หรือบัตรประจำตัวบุคคลต่างด้าวตัวจริงนำมาแสดง แต่หากเราไปไม่ได้ก็สามารถให้คนอื่นทำให้ก็ได้ โดยต้องเตรียมเอกสารคือ หนังสือมอบอำนาจ (กรอกรายละเอียดและลงนามให้สมบูรณ์ครบถ้วน) สำเนาพร้อมตัวจริงบัตรประชาชนของผู้มอบอำนาจ และสำเนาพร้อมตัวจริงบัตรประชาชนของผู้รับมอบอำนาจ
ตามกฎหมายเครดิตบูโร ไม่มีกำหนดเวลาชัดเจนว่าสมาชิกเครดิตบูโรจะต้องส่งข้อมูลลูกค้าเข้าไปที่เครดิตบูโรเมื่อใดบ้าง เพียงแค่กำหนดเป็นหลักการไว้ว่า สมาชิกจะต้องส่งข้อมูลที่ถูกต้อง และทันสมัยอยู่เสมอ ถ้ารู้ว่ามีความไม่ถูกต้อง สมาชิกต้องแก้ไข และจัดส่งข้อมูลที่ถูกต้องให้แก่เครดิตบูโรต่อไป ในทางปฏิบัติส่วนใหญ่เมื่อกฎหมายไม่ได้กำหนดเวลาชัดเจนไว้ ธนาคาร หรือสถาบันการเงินเจ้าหนี้เราก็มักจะส่งกันเดือนละ 1 ครั้ง ซึ่งหมายความว่า หากเราติดหนี้ค้างชำระอยู่ตอนต้นเดือน และในระหว่างกลางเดือนเราชำระหนี้ครบหมดแล้วไม่มีหนี้ค้างชำระอีกต่อไป มีความเป็นไปได้ว่าใน Record ของเครดิตบูโรในช่วงกลางเดือนนั้น ยังอาจแสดงข้อมูลอยู่ว่าเรายังเป็นหนี้ธนาคารอยู่ก็ได้ถ้าธนาคารนั้นยังไม่ได้ Update ข้อมูลล่าสุดเข้าไปที่เครดิตบูโร
7. ข้อมูลเครดิตบูโรไม่ถูกต้อง ควรทำอย่างไร?
ตามที่พูดถึงในข้อ 6 มาแล้วว่า มีความเป็นไปได้ว่าเมื่อเราได้รับจดหมาย หรือรายงานข้อมูลเครดิตบูโรมาแล้ว เราอาจจะเจอว่าข้อมูลนั้นไม่ถูกต้อง หรือไม่ Update เราควรจะทำอย่างไรบ้าง? เราสามารถดำเนินการได้ 2 วิธีพร้อมกันคือ
- ติดต่อธนาคารหรือสถาบันการเงินเจ้าของบัญชี (ผู้ส่งข้อมูล) เพื่อตรวจสอบความถูกต้อง ถ้าข้อมูลไม่ถูกต้องธนาคารหรือสถาบันการเงินจะแจ้งให้เครดิตบูโรแก้ไขข้อมูลให้ถูกต้องตามความเป็นจริงและแจ้งผลการตรวจสอบให้เจ้าของข้อมูลทราบภายใน 30 วัน หากสถาบันการเงินยืนยันว่าข้อมูลถูกต้องแล้วไม่สามารถแก้ไขตามที่เจ้าของข้อมูลร้องขอได้ เจ้าของข้อมูลมีสิทธิขอให้เครดิตบูโรบันทึกโต้แย้งไว้ในระบบข้อมูลเครดิตและสามารถยื่นอุทธรณ์ ข้อโต้แย้งต่อคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลเครติตเพื่อพิจารณาได้
- ติดต่อศูนย์ตรวจเครดิตบูโร โดยกรอกแบบคำขอแก้ไขข้อมูลพร้อมยื่นสำเนาบัตรประชาชน สำเนา รายงาน เครดิตบูโร ที่ต้องการแก้ไข และหลักฐานที่เกี่ยวข้องเครดิตบูโรจะแจ้งสถาบันการเงินผู้ส่งข้อมูลให้ตรวจสอบความถูกต้อง และแจ้งผลการตรวจสอบให้เจ้าของข้อมูลทราบภายใน 30 วันนับจากวันที่ยืนคำขอ
ถ้าข้อมูลไม่ถูกต้องจริงและสถาบันการเงินได้แก้ไขแล้ว เครดิตบูโรจะส่งรายงานข้อมูลเครดิตฉบับที่แก้ไขแล้วให้กับเจ้าของข้อมูล
แต่หากสถาบันการเงินยืนยันว่าข้อมูลถูกต้องแล้วไม่สามารถแก้ไขตามที่เจ้าของข้อมูลร้องขอได้ เจ้าของข้อมูลมีสิทธิขอให้เครดิตบูโร บันทึกโต้แย้งไว้ในระบบข้อมูลเครดิตและสามารถยื่นอุทธรณ์ ข้อโต้แย้งต่อคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลเครติตเพื่อพิจารณาได้
หรือสามารถ Download แบบคำขอได้ที่ https://www.ncb.co.th/check-your-credit-bureau/form_download และส่งเอกสารคำขอพร้อมหลักฐาน มาทางไปรษณีย์ ถึง บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด ส่วนบริการเจ้าของข้อมูล ชั้น 2อาคารเดอะไนน์ ทาวเวอร์ส แกรนด์ พระรามเก้า เลขที่ 33/4 ถ.พระราม 9 เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร 10310
8. จ่ายหนี้ครบแล้วควรทำอะไรหรือไม่กับข้อมูล?
หากเราไม่ได้มีการขอสินเชื่อ หรือขอบัตรเครดิตเป็นประจำ เมื่อเราจ่ายหนี้ครบแล้ว เราอาจรอให้ธนาคาร หรือสถาบันการเงิน (อดีต) เจ้าหนี้เราส่งข้อมูลอัพเดตเข้าไปที่เครดิตบูโรก็ได้ ซึ่งโดยปกติเขาก็จะส่งข้อมูลรายงานกันเป็นรายเดือน แต่ถ้าเราเป็นคนที่ขอสินเชื่อ หรือสมัครบัตรเครดิตเป็นประจำ หรือเราปิดบัญชีเงินกู้แบงค์ A แล้วอยากกู้ต่อกับแบงค์ B เลย กรณีแบบนี้ ข้อมูลเราอาจอัพเดตไม่ทันสถานการณ์ หรือชื่อเราอาจยังเป็นหนี้ค้างชำระกับแบงค์ A อยู่ ดังนั้น เราควรจะต้องช่วยตัวเองโดยการเดินเรื่องตามวิธีการในข้อ 7 เพื่อให้ข้อมูลเราอัพเดตทันกับสถานการณ์ เช่น ก่อนที่เราจะยื่นขอกู้แบงค์ B เราอาจเดินเรื่องโต้แย้งความถูกต้องของข้อมูลเข้าไปที่เครดิตบูโรเลยเพื่อความรวดเร็วหลังจากที่เราชำระหนี้แบงค์ A เสร็จ เมื่อแบงค์ B เข้าไปดูข้อมูลก็จะเห็นว่าข้อมูลเราไม่อัพเดต หรืออยู่ในขั้นตอนการโต้แย้ง หรือแก้ไขข้อมูลให้ Update อยู่
9. ติด Blacklist คืออะไร?
ในระบบเครดิตบูโร จะไม่มีคำว่า "Blacklist" หรือคำว่า "ติดเครดิตบูโร" คำเหล่านี้เป็นภาษาพูดที่ใช้กันจนชินปาก เช่น โดยพวกรับจ้างทวงหนี้ที่มักชอบอ้าง หรือใช้คำนี้ หรือเจ้าหน้าที่สินเชื่อที่ปฏิเสธไม่ให้สินเชื่อเรา ในระบบการรายงานข้อมูลเครดิตคำว่า Blacklist ก็คือการที่เรามีหนี้ค้างชำระ เช่นที่เขียนว่า "สถานะบัญชี: หนี้ค้างชำระเกิน 90 วัน" เป็นต้น ซึ่งถ้าเจอแบบนี้โอกาสขอสินเชื่อ หรือบัตรเครดิตก็น่าจะเป็นศูนย์ โดยหลักการแล้ว เครดิตบูโรให้ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติการขอ และชำระสินเชื่อของเราเท่านั้น แต่ไม่ได้ทำหน้าที่พิจารณาให้ หรือไม่ให้สินเชื่อ การให้หรือไม่ให้สินเชื่อเป็นเรื่องของดุลพินิจ และนโยบายของแต่ละสถาบันการเงิน ซึ่งก็จะแตกต่างกันออกไปสำหรับแต่ละสถาบันการเงินด้วย นอกจากนี้ การที่จะอนุมัติ หรือไม่อนุมัตินั้น สถาบันการเงินจะพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ประกอบด้วย เช่น รายได้ของผู้สมัคร หลักประกัน เป็นต้น แต่หากผู้ขอสินเชื่อมีประวัติการชำระสินเชื่อดี ตรงเวลา ข้อมูลเครดิตก็จะมีส่วนช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้สถาบันการเงินพิจารณาอนุมัติสินเชื่อให้ง่ายขึ้น
และเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2557 ที่ผ่านมา ทางคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลเครดิต ได้ประกาศลงในหนังสือราชกิจจานุเบกษา เรื่องอายุข้อมูลในการประมวลผลข้อมูล การประมวลผลข้อมูลของบริษัทข้อมูลเครดิต และการส่งข้อมูลของสมาชิก โดยระบุว่า อายุข้อมูลในการประมวลผลของบริษัทข้อมูลเครดิต มีกำหนดไม่เกิน 3 ปี นับแต่วันที่บริษัทข้อมูลเครดิตได้รับข้อมูลจากสถาบันการเงินที่เป็นสมาชิก และกรณีที่ลูกหนี้มีการผิดนัดชำระหนี้สินเชื่อ ให้สถาบันการเงินที่เป็นสมาชิกนำส่งข้อมูลของลูกหนี้ต่อไปเป็นเวลา 5 ปี โดยให้เริ่มนับระยะเวลา 5 ปี ในวันถัดจากวันที่ลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้ครบ 90 วัน และกรณีที่ข้อมูลของลูกหนี้อยู่ระหว่างการประมวลผลของบริษัทข้อมูลเครดิตมีอายุของข้อมูลเกินกว่า 8 ปี นับแต่วันที่ลูกค้าผิดนัดชำระหนี้เกิน 90 วัน ให้บริษัทข้อมูลเครดิตหยุดการประมวลผลข้อมูล
(คลิกเพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติม)
อย่างไรก็ตามเครดิตบูโรก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลง หรือลบประวัติให้ต่างไปจากความเป็นจริงได้ แต่คนที่เคยมีประวัติ Blacklist ก็ยังได้รับโอกาสครั้งใหม่ในการขอสินเชื่อหรือทำธุรกรรมทางการเงินอื่นๆ ซึ่งผู้ขอสินเชื่อก็ควรตระหนักไว้เสมอว่าควรสร้างวินัยทางการเงินให้กับตนเอง เพื่อที่จะได้ไม่ต้องติด Blacklist อีกในครั้งต่อไปนะคะ
10. รายงานข้อมูลเครดิต (Consumer Credit Report) หน้าตาเป็นอย่างไร?
สุดท้ายนี้ ขอให้พวกเรา CheckRaka.com ทุกคนโชคดีเฮงๆ ในการขอสินเชื่อ หรือสมัครบัตรเครดิตนะคะ หากเราเข้าใจระบบการทำงานของเครดิตบูโรนี้แล้ว เราคงเข้าใจมากขึ้นว่าเครดิตบูโรไม่ได้เป็นคนปฏิเสธสินเชื่อเรา ธนาคาร หรือสถาบันการเงินต่างหากที่จะเป็นคนปฏิเสธเราโดยอาศัยข้อมูลของเครดิตบูโรมาประกอบการพิจารณา หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ consumer@ncb.co.th