สมัครบัตรเครดิตอย่างไร ถึงจะอนุมัติง่าย อนุมัติเร็ว?
มีเพื่อนของผู้เขียนอยู่สองคน คนแรกไม่มีงานประจำเพราะ Early Retire ไปตั้งแต่เรียนจบมหาวิทยาลัยมาใหม่ๆ!! ส่วนอีกคนก็เปลี่ยนงานตามอารมณ์ศิลปินตลอด เงินเดือนเลยไปไม่ถึงไหน แต่สองคนนี้อยากมีบัตรเครดิตไว้รูดซื้อของ หรือเที่ยวต่างประเทศ คำถามคือจะทำยังไงที่จะช่วยเพื่อนรักสองคนนี้ให้มีบัตรเครดิตได้ วันนี้ เรามีข้อแนะนำที่อาจจะพอช่วยเพื่อนสองคนนี้ได้มาฝากครับ
หลักเกณฑ์ของแบงค์ชาติ
ธุรกิจบัตรเครดิตอยู่ภายใต้การควบคุมของธนาคารแห่งประเทศไทย (เรามักเรียกกันง่ายๆ ว่า 'แบงค์ชาติ') ซึ่งแบงค์ชาติก็เพียงแค่กำหนดคุณสมบัติของคนที่จะได้รับอนุมัติบัตรเครดิตได้ เป็นแค่กรอบกว้างๆ เท่านั้น ตามนี้
- มีรายได้จากแหล่งที่มาต่างๆ ไม่ต่ำกว่า 15,000 บาทต่อเดือน หรือ 180,000 บาทต่อปี หรือ
- มีเงินฝากเป็นหลักประกันเต็มวงเงินของบัตรเครดิตที่อนุมัติ หรือ
- มีเงินฝากประจำกับธนาคารไม่น้อยกว่า 500,000 บาท เป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 6 เดือน หรือ
- มีเงินฝากออมทรัพย์ ลงทุนในตราสารหนี้ หรือลงทุนในกองทุนรวม อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือรวมกันไม่น้อยกว่า 1,000,000 บาท เป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 6 เดือน
ข้อแนะนำที่จะขอบัตรเครดิตได้ง่ายหรือเร็ว
ในชีวิตจริง แม้เราจะเข้าหลักเกณฑ์ของแบงค์ชาติตามที่พูดมาข้างต้น ในบางกรณี แต่ละธนาคารก็อาจมีนโยบายภายใน หรือดุลพินิจบางอย่างที่จะไม่อนุมัติบัตรเครดิตให้เราก็ได้ ดังนั้น นอกเหนือจากการทำตัวให้เข้าคุณสมบัติข้างต้นให้มากที่สุดแล้ว CheckRaka.com มีข้อแนะนำเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มโอกาสให้เราได้รับอนุมัติบัตรเครดิต ดังนี้
1. ประวัติทางการเงินต้องขาวสะอาด
นี่คือข้อแรก และเป็นข้อหลักเลยก็ว่าได้ ปัจจุบันนี้ เวลาสมัครสินเชื่อบัตรเครดิต ทางสถาบันการเงินจำเป็นที่จะต้องตรวจสอบประวัติทางการเงินของคุณ ไม่ว่าจะเป็นการผ่อนบ้าน รถ หรืออื่นๆ กับศูนย์เครดิตแห่งชาติ (หรือที่เราเรียกกันว่า "เครดิตบูโร" ซึ่งถ้าชื่อเป็นทางการแบบเต็มๆ ก็คือบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด) นั่นก็หมายความว่า ถ้าเรามีหนี้เสียอยู่ในระบบ หรือค้างชำระค่างวดของไฟแนนซ์ต่างๆ แล้วละก็ เราก็จะไม่สามารถสมัครบัตรเครดิตได้ค่อนข้างแน่ ดังนั้น ข้อแนะนำแรกคืออย่ามีหนี้เสีย หรือค้างจ่ายกับสถาบันการเงินใดๆ ทั้งสิ้น
2. ควรมีรายได้ที่แน่นอน
ตามหลักเกณฑ์ของแบงค์ชาติไม่ได้บังคับว่าผู้สมัครจะต้องมีรายได้ประจำ (กฎแบงค์ชาติใช้คำว่า "รายได้จากแหล่งที่มาต่างๆ") แต่ในทางปฏิบัติสิ่งที่พิสูจน์ความสามารถในการชำระหนี้ได้ดี และตรงไปตรงมาที่สุดอย่างหนึ่งก็คือ ผู้สมัครควรมีรายได้ที่แน่นอน ซึ่งหมายถึงว่า ทุกๆเดือนนั้น เราจะต้องมีเงินเข้าบัญชีตลอด ซึ่งสิ่งต่อไปนี้จะช่วยยืนยันให้เราได้
- ควรจะมีงานประจำที่มั่นคงแน่นอน และมีเงินเดือนมากกว่า 15,000 บาท หากเป็นพนักงานบริษัท ก็ควรมีอายุงานเกินเกณฑ์ที่สถาบันการเงินที่รับสมัครบัตรเครดิตกำหนด เช่น 6 เดือน หรือ 1 ปี (ไม่ใช่อยู่ในช่วงทดลองงาน) ถ้าเป็นเจ้าของกิจการ ก็แนะนำว่าต้องเปิดกิจการมาแล้วไม่ต่ำกว่า1 ปี
- ควรมีสลิปเงินเดือนแสดงว่าใครเป็นนายจ้าง และรายได้สม่ำเสมอจ่ายตรงวันทุกเดือนในแต่ละเดือน และเวลายื่นให้สถาบันการเงินพิจารณา ควรยื่นสลิปดเงินเดือนของเดือนล่าสุด
- ควรรับเงินเดือนผ่านธนาคาร นั่นก็หมายความว่า หากเป็นพนักงานบริษัท แต่รับเงินเดือนเป็นเงินสด หรือเอาเงินเดือนไปฝากเข้าบัญชีเอง อันนี้ก็แล้วแต่ทางสถาบันการเงินเจ้าของบัตรจะพิจารณา แต่โดยส่วนใหญ่แล้วไม่น่าจะผ่านเกณฑ์อนุมัติบัตรให้ได้ (เพราะเขาจะดูรหัสการฝากเงินที่หน้าสมุดบัญชีธนาคารออกว่า รหัสไหนคือฝากเงิน รหัสไหนคือเงินเดือน) ถ้าเป็นเจ้าของกิจการ ก็ต้องนำสมุดบัญชีไปเป็นเอกสารประกอบการพิจารณาด้วย เพราะสถาบันการเงินที่ออกบัตร ต้องการดูสถานภาพการเงินย้อนหลัง ดูความมั่นคงทางการเงินด้วย
- โดยทั่วไปถ้าท่านเป็นข้าราชการ หรือพนักงานรัฐวิสาหกิจ จะมีโอกาสสูงกว่าพนักงานเอกชนที่จะได้รับอนุมัติ เพราะสถาบันการเงินมองว่าหน่วยงานราชการ หรือรัฐวิสาหกิจมีความมั่นคงกว่า และมีสถานที่เป็นหลักเป็นแหล่งกว่าบริษัทเอกชน (บริษัทเอกชนจะเจ๊ง เลิกกิจการ หรือเปลี่ยนสถานที่อยู่เมื่อใดก็ได้ง่ายกว่า) และก็ไม่น่าจะโดนไล่ออก หรือให้ออกกันง่ายๆ เหมือนบริษัทเอกชน
3. ถ้าไม่มีรายได้ที่แน่นอนให้ใช้วิธีฝากเงินเป็นประกันแทน
คำถามต่อเนื่องจากข้อ 2 คือถ้าไม่มีงานประจำ หรือไม่มีรายรับที่สม่ำเสมอแน่นอนละ เช่นเป็นฟรีแลนซ์จะทำอย่างไร ในทางปฏิบัติมีคนลองมาหลายวิธี เช่น ลองสมัครในช่วงที่มีการส่งเสริมการขายเยอะๆ หรือมีโปรโมชั่นเยอะๆ ด้วยความหวังว่าสถาบันการเงินจะอนุมัติง่ายกว่าปกติ หรือลองสมัครกับพวกที่ไม่ใช่ธนาคาร ("Non-Bank" เช่น อิออน) ด้วยความหวังว่า นโยบายการอนุมัติอาจไม่เข้มงวดเท่าธนาคาร หรือลองสมัครแบบเฉพาะกลุ่ม เช่น เป็นเด็กเก่ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ก็สมัครบัตรเครดิตที่อิงกับมหาวิทยาลัยนี้ ด้วยความหวังว่าความเป็นกลุ่มพวกเดียวกันอาจได้รับอนุมัติง่ายกว่า ซึ่งวิธีเหล่านี้ก็อาจสำเร็จบ้าง หรืออาจไม่สำเร็จบ้าง ไม่มีกฎตายตัว แต่วิธีหนึ่งที่โอกาสสำเร็จสูงมาก และตรงไปตรงมาที่สุดก็คือ การฝากเงินแบบเงินฝากประจำ (Fixed Deposit) กับสถาบันการเงินที่เราอยากได้บัตรเครดิตจากเขา เช่นฝากประจำเป็นเวลา 6 เดือน หรือ 1 ปี โดยจำนวนอย่างต่ำที่สุดก็อาจเป็นไม่น้อยกว่า 50,000 บาท (ซึ่งถ้าฝาก 50,000 ก็มักจะได้วงเงินบัตรเครดิต 50,000 บาท) โดยหลักการก็คือเงินฝากประจำจำนวนนี้ ก็จะเป็นการค้ำประกันหนี้บัตรเครดิตที่เราจะเอาไปรูดนั่นเอง ธนาคารที่อาจรับเงินฝากค้ำประกัน และอนุมัติบัตรเครดิตแบบนี้ให้ได้ก็เช่น ธนาคารไทยพาณิชย์สำหรับบัตร Family Plus หรือธนาคารกสิกรไทยสำหรับบัตร Premier เป็นต้น
4. เอกสารต้องครบถ้วนชัดเจน
เรื่องต่อมาคือเรื่องที่ผู้สมัครตกม้าตายกันบ่อยทีเดียว นั่นก็คือเรื่องเอกสารประกอบการสมัครบัตรเครดิต ปัญหาที่พบบ่อยก็เช่นเอกสารไม่ครบ ซึ่งเกิดขึ้นได้ 2 กรณี คือเป็นที่ Call Center หรือเจ้าหน้าที่ที่แนะนำนั้นบอกผิด หรือบอกไม่ครบ อย่างที่สอง ก็คือผู้สมัครยื่นไม่ครบ หรือบกพร่องเอง ซึ่งปัญหานี้แก้ไขไม่ยาก เพียงแค่ติดต่อไปหาเจ้าหน้าที่อีกครั้ง และส่งเอกสารให้ครบก็จะแก้ปัญหาไปได้ ปัญหาอีกแบบก็คือ เอกสารไม่ชัดเจน ปัญหานี้อยู่ที่ผู้สมัคร 100% เช่น สำเนาบัตรประชาชนดำจนไม่เห็นหน้าผู้สมัคร สำเนาเล่มบัญชีจางจนไม่เห็นตัวเลข ดังนั้นจึงควรแก้ปัญหาโดยการถ่ายเอกสารให้ภาพชัดเจน หรือตรวจสอบให้ดีก่อนยื่นให้เจ้าหน้าที่ เป็นต้น
5. ควรให้ที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์ที่เป็นหลักแหล่ง
หลักอย่างหนึ่งของสถาบันการเงินในการพิจารณาอนุมัติคือ ผู้สมัครต้องมีความน่าเชื่อถือ สิ่งหนึ่งที่จะช่วยพิสูจน์ความน่าเชื่อถือได้คือ เราต้องไม่เป็นบุคคลล่องลอย ไร้หลักแหล่ง และเวลาธนาคารต้องติดตามหนี้จะมีที่อยู่ซึ่งชัดเจนถาวรให้ติดตามได้ ดังนั้น เวลาให้ที่อยู่ ควรจะให้ที่อยู่ซึ่งถาวร เช่น ตรงกับบัตรประชาชน ตรงกับที่อยู่ส่งใบแจ้งหนี้ค่าน้ำ ค่าไฟ หรือค่าโทรศัพท์ และในส่วนของเบอร์โทรศัพท์ก็ควรเป็นหมายเลขโทรศัพท์บ้าน ไม่ใช่แค่หมายเลขโทรศัพท์มือถือ โทรไปแล้วมีคนรับ ซึ่งถ้าเป็นญาติพี่น้องเรารับโทรศัพท์ได้ยิ่งดี (ไม่ใช่เจ้าของห้องเช่าเป็นคนรับ) ซึ่งเอกสาร หรือข้อมูลพวกนี้จะเป็นตัวช่วยที่ดีในการเพิ่มโอกาสให้สถาบันการเงินอนุมัติบัตรเครดิตให้เรา
ท้ายที่สุดนี้ เราเชื่อว่าพวกเราชาว CheckRaka.com ซึ่งมีงานประจำ หรือรายได้สม่ำเสมอกันทุกคน คงจะไม่ค่อยมีปัญหา หรือโดนปฏิเสธการอนุมัติบัตรเครดิตกันสักเท่าไหร่ แต่ถ้าดันเจอเข้ามาจริงๆ ละก็ ลองทำตามข้อแนะนำข้างต้นดูนะครับ หรือถ้าลองแล้วยังไม่ได้อีก ก็ลอง Search หาบัตรอื่น หรือธนาคารอื่นกันในเว็บไซต์เราเลยละกัน มีบัตรเครดิตให้ลองเลือกยื่นสมัครกันได้เพียบครับ