แม้ว่าโลกจะเผชิญกับเทคโนโลยี/นวัตกรรมใหม่ที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องและความไม่ชัดเจนทางเศรษฐกิจในระยะเวลาตลอด 3 ปี แต่เมื่อพูดถึงเรื่องความยืดหยุ่น ผู้บริหารจำนวนถึง 53% ยอมรับว่าบริษัทของตนไม่อยู่ในจุดที่ควรจะเป็น ซึ่งถือเป็นผลการวิจัยจากการสำรวจธุรกิจทั่วโลกโดย SAS ผู้นำด้านระบบวิเคราะห์ได้ค้นพบในลำดับต้นๆ โดย กฎแห่งความยืดหยุ่น หรือ Resiliency Rules จะช่วยสำรวจสถานะปัจจุบันของความยืดหยุ่นของแต่ละธุรกิจ รวมถึงวิธีการที่บริษัทในหลายอุตสาหกรรม เช่น บริการทางการเงิน การค้าปลีก การผลิต การดูแลสุขภาพ และรัฐบาลใช้สนับสนุนการเปลี่ยนแปลงและคว้าโอกาส
นอกเหนือจากรายงานดังกล่าวแล้ว SAS ได้พัฒนาเครื่องมือประเมินความยืดหยุ่นชุดใหม่ โดยเป็นเครื่องมือการประเมินออนไลน์ที่ไม่คิดมูลค่า ซึ่งจะช่วยให้ผู้นำทางธุรกิจสามารถประเมินความชาญฉลาดทางความยืดหยุ่นของบริษัทของตนเองได้ตาม "กฎแห่งความยืดหยุ่น" 5 ประการตามที่สำรวจในการวิจัย
วาทศิลป์กับความเป็นจริง
SAS ได้สำรวจผู้บริหารระดับสูง 2,414 คนในหลากหลายบริษัททั่วโลกที่มีพนักงานมากกว่า 100 คน ในบรรดาผู้ตอบแบบสอบถาม 70% มองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับอนาคตของเศรษฐกิจของประเทศ และ 80% กำลังลงทุนในการวางแผนและกลยุทธ์เพื่อความยืดหยุ่น อย่างไรก็ตาม งานวิจัยชี้ให้เห็นถึงช่องว่างด้านความยืดหยุ่น (Resiliency gap) ระหว่างผู้บริหารที่ให้ความสำคัญกับความยืดหยุ่น กับความยืดหยุ่นที่เกิดขึ้นจริงในองค์กร
โดยข้อมูลการสำรวจได้ระบุไว้ดังต่อไปนี้
- ผู้บริหารเกือบทั้งหมด (97%) เชื่อว่าความยืดหยุ่นมีความสำคัญมากหรือค่อนข้างสำคัญ แต่น้อยกว่าครึ่ง (47%) มองว่าบริษัทของตนมีความยืดหยุ่น
- ประมาณครึ่งหนึ่ง (46%) ยอมรับว่าพวกเขาไม่มีความพร้อมอย่างเต็มที่ที่จะเผชิญกับเทคโนโลยี/นวัตกรรมใหม่ที่เข้ามาเปลี่ยนแปลง และภาวะความยากลำบากในการจัดการกับความท้าทายต่างๆ เช่น ความปลอดภัยของข้อมูล (48%) ประสิทธิภาพการทำงาน (47%) และการขับเคลื่อนนวัตกรรมเทคโนโลยี (46%)
แม้ว่าช่องว่างด้านความยืดหยุ่นจะเกิดขึ้นจริงในปัจจุบัน แต่ 81% ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่าพวกเขาเชื่อว่าความยืดหยุ่นนั้นสามารถสร้างให้เกิดขึ้นได้ด้วยคำแนะนำและเครื่องมือที่เหมาะสม และมากกว่า 90% ของผู้ตอบแบบสอบถามเห็นว่าข้อมูลและการวิเคราะห์เป็นเครื่องมือที่สำคัญสำหรับกลยุทธ์ความยืดหยุ่น
คุณ Jay Upchurch รองประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายสารสนเทศของ SAS กล่าวว่า "เราต้องการช่วยผู้บริหารในอุตสาหกรรมต่างๆ ให้สามารถอยู่เหนือคู่แข่งได้โดยใช้ข้อมูลและการวิเคราะห์เพื่อสร้างกลยุทธ์ความยืดหยุ่นอย่างยั่งยืน การใช้ดัชนีความยืดหยุ่น (Resiliency Index) ซึ่งเป็นเครื่องมือวิจัยและการประเมินที่เราเปิดตัวในวันนี้ องค์กรจะสามารถระบุจุดแข็งที่มีอยู่และช่องทางที่ธุรกิจสามารถเติบโตได้ดีขึ้น ข้อมูลเชิงลึกนั้นจะช่วยให้พวกเขาปิดช่องว่างรวมถึงเสริมสร้างเครื่องมือและระบบเชิงกลยุทธ์ให้แข็งแกร่งกว่าเดิม ซึ่งจะช่วยให้คล่องตัวเมื่อเผชิญกับความท้าทายและเทคโนโลยี/นวัตกรรมใหม่เข้ามาเปลี่ยนแปลงได้"
กฎความยืดหยุ่น 5 ข้อและความจำเป็นของข้อมูลและการวิเคราะห์
SAS ระบุหลักการ 5 ประการที่เป็นเครื่องมือในการรักษาและเสริมสร้างความแข็งแกร่งของความยืดหยุ่นทางธุรกิจ
- ความเร็วและความว่องไว
- นวัตกรรม
- ความเสมอภาคและความรับผิดชอบ
- วัฒนธรรมข้อมูลและทักษะทางด้านข้อมูล
- ความอยากรู้อยากเห็น
ในงานวิจัยของ SAS ได้เรียกทั้งหมดว่า กฎแห่งความยืดหยุ่นห้าประการ โดยการวิจัยได้ตรวจสอบวิธีที่ผู้บริหารจัดลำดับความสำคัญและดำเนินการแต่ละข้อ สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนก็คือ ผู้บริหารที่มีความยืดหยุ่นสูงให้ความสำคัญกับมูลค่าที่สูงกว่าและลงทุนมากกว่าผู้บริหารที่มีความยืดหยุ่นต่ำในแต่ละด้าน สิ่งนี้สอดคล้องกันในการตอบสนองทั่วประเทศและการแบ่งกลุ่มอุตสาหกรรม ซึ่งบ่งชี้ว่าผู้บริหารมองว่าสิ่งเหล่านี้เป็นองค์ประกอบพื้นฐานสำหรับกลยุทธ์ความยืดหยุ่น
ประเด็นสำคัญจากการสำรวจผู้บริหารคือบทบาทสำคัญด้านข้อมูลและการวิเคราะห์ในการนำกฎความยืดหยุ่นไปใช้ ผู้บริหารที่มีความยืดหยุ่นสูงเกือบทั้งหมด (96%) ใช้ข้อมูลทั้งภายในและภายนอก และการวิเคราะห์ เพื่อช่วยตัดสินใจ ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการนำทางการเปลี่ยนแปลง และช่วยให้เกิดความต่อเนื่องทางธุรกิจ ผู้บริหารธุรกิจที่มีความยืดหยุ่นสูงอ้างว่าใช้เครื่องมือข้อมูลมากกว่าเครื่องมืออื่นๆ ที่มีความยืดหยุ่นน้อย (93% เทียบกับ 22% ที่มีความยืดหยุ่นต่ำ)
เบื้องหลังการวิจัย: SAS นำเสนอดัชนีความยืดหยุ่น
สำหรับการศึกษาครั้งนี้ SAS ได้สร้างวิธีการประเมินที่เรียกว่า ดัชนีความยืดหยุ่น เพื่อทำความเข้าใจว่าความยืดหยุ่นเหมาะสมกับลำดับความสำคัญและการลงทุนของผู้บริหารเมื่อใด โดย SAS แบ่งประเภทผู้ตอบแบบสอบถามออกเป็นสามประเภทดังนี้
- ความยืดหยุ่นสูง: 26%
- ความยืดหยุ่นปานกลาง: 54%
- ความยืดหยุ่นต่ำ: 20%
เมื่อเปรียบเทียบแนวปฏิบัติจากธุรกิจของแต่ละคน ผู้บริหารที่มีความยืดหยุ่นสูงมองว่าควรผสานรวมกลยุทธ์ที่มีโครงสร้างเข้าไปเป็นส่วนสำคัญในแผนด้วย เนื่องจากเป็นมากกว่าการจัดการเรื่องเทคโนโลยี/นวัตกรรมใหม่ที่เข้ามาเปลี่ยนแปลง แต่มีส่วนในความมั่นคงของธุรกิจ กลยุทธ์ความยืดหยุ่นส่งผลกระทบต่อตัวชี้วัดทางธุรกิจที่สำคัญ รวมถึงประสิทธิภาพการทำงานและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคอีกด้วย
เรียนรู้จากผู้บริหารที่มีความยืดหยุ่นสูง
การช่วยบริษัทปิดช่องว่างด้านความยืดหยุ่นเริ่มต้นด้วยการได้รับข้อมูลและการวิเคราะห์ที่ถูกต้องในมือของผู้บริหาร ด้วยเหตุนี้ SAS จึงได้เปิดตัว Resiliency Assessment Tool เป็นเครื่องมือที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายที่อ้างอิงจาก Resiliency Index เพื่อให้ทุกคนสามารถดำเนินการประเมินธุรกิจและวางแผนการดำเนินการของตนเองได้ โดยเครื่องมือมาพร้อมกับข้อมูลเชิงลึกจากผู้บริหารที่มีความยืดหยุ่นสูงจากงานวิจัยรายงานและมอบแนวทางปฏิบัติงานเพื่อส่งเสริมความยืดหยุ่นทางธุรกิจที่มากขึ้น
คุณ Steve Bakalar รองประธานฝ่ายการเปลี่ยนแปลงด้านดิจิทัล ไอที แห่ง Georgia-Pacific กล่าว "แพลตฟอร์ม AI/ML ของ SAS ยังคงมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งที่เป็นตัวช่วยเราขณะที่กำลังเปลี่ยนรูปแบบการผลิตและการพาณิชย์ โดยงานวิจัย Resiliency Assessment Tool ของ SAS ได้สะท้อนถึงวิธีการและกลยุทธ์ที่เรากำลังผลักดันอย่างมาก อีกทั้งหลักการทั้งห้าประการยังเป็นองค์ประกอบสำคัญในการปลูกฝังเรื่องทรัพยากรและความยืดหยุ่นให้แก่องค์กรที่พยายามเติบโตในสภาพธุรกิจที่มีความท้าทายและกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างฉับไว"
ท่านสามารถศึกษารายละเอียดของรายงานกฎความยืดหยุ่นฉบับเต็มและใช้ Resiliency Assessment Tool ได้ที่
blogs.sas.com/content/resiliency เกี่ยวกับระเบียบวิธีวิจัย
- SAS ดำเนินการสัมภาษณ์เชิงลึกกับกลุ่มผู้นำธุรกิจในประเทศบราซิล ฝรั่งเศส เยอรมนี อินเดีย ญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร เบเนลักซ์ ไอบีเรีย และสหรัฐอเมริกา ในเดือนพฤศจิกายน เพื่อทำความเข้าใจมุมมองของผู้บริหารระดับสูงเกี่ยวกับความยืดหยุ่นทางธุรกิจและแนวทางของพวกเขาในการเป็นผู้นำในช่วงเวลาที่มีความผันผวน
- แบบสำรวจออนไลน์ที่เป็นกรรมสิทธิ์ดำเนินการกับผู้บริหารระดับสูง 2,414 คนที่ทำงานเต็มเวลาในบริการทางการเงิน การค้าปลีก/สินค้าอุปโภคบริโภค การผลิต การดูแลสุขภาพ/วิทยาศาสตร์เพื่อชีวิต หรือรัฐบาล ตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคม 2565 ถึง 4 มกราคม 2566 ตามที่ประเทศที่ได้กล่าวมาข้างต้น