ตู้เย็นถือเป็นหนึ่งในเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใช้พลังงานไฟฟ้าและสร้างค่าใช้จ่ายภายในครัวเรือนแต่ละเดือนมากที่สุด เพราะแต่ละบ้านมักมีตู้เย็นอย่างน้อยบ้านละหนึ่งเครื่อง แถมยังทำงานตลอด 24 ชั่วโมง อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าเราจำเป็นต้องเสียบปลั๊กไฟและปล่อยให้ตู้เย็นทำงานอย่างต่อเนื่องเพื่อคงความสดใหม่ให้กับอาหารและวัตถุดิบต่างๆ แอลจี ในฐานะผู้นำด้าน "นวัตกรรมเพื่อชีวิตที่ดีกว่า" ตามสโลแกน "Life's Good" จึงได้รวบรวมเคล็ดลับน่ารู้เกี่ยวกับการใช้ตู้เย็นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่าที่สุด ด้วยปริมาณไฟฟ้าที่ลดลง แต่ยังคงความสามารถในการเก็บรักษาเอาไว้ได้อย่างเต็มที่ ซึ่งนอกจากจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในบ้านมากขึ้นแล้ว ยังเป็นอีกหนึ่งวิธีการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่เราสามารถเริ่มทำได้ด้วยตัวเองที่บ้านอีกด้วย
อัพเกรดมาใช้ตู้เย็นที่มีฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5
ถึงแม้จะดูเหมือนเป็นเรื่องทุกคนรู้กันอยู่แล้ว แต่วิวัฒนาการด้านการใช้พลังงานไฟฟ้าของตู้เย็นได้มีการพัฒนามากขึ้นจากอดีตเป็นอย่างมาก โดยตู้เย็นรุ่นที่มีประสิทธิภาพสูงเมื่อ 5-10 ปีที่แล้ว อาจจะกินไฟและส่งผลให้เราต้องเสียค่าไฟมากขึ้นกว่าการเปลี่ยนมาใช้ตู้เย็นรุ่นใหม่เป็นเท่าตัว โดยตู้เย็นสองประตู LG New Smart Inverter รุ่นล่าสุดของแอลจี โดดเด่นด้วยคุณสมบัติประหยัดไฟเบอร์ 5 ระดับ 3 ดาว พร้อมเทคโนโลยี Door Cooling+ และเทคโนโลยี Linear CoolingTM ที่ช่วยทำความเย็นเร็วขึ้น และรักษาอุณหภูมิให้คงที่ ซึ่งนอกจากจะช่วยคงความสดใหม่ของอาหารแล้ว ยังช่วยให้เครื่องดื่มเย็นเร็วยิ่งขึ้นโดยใช้เวลาแช่น้อยลง พร้อมฟังก์ชั่น Auto Ice Maker ระบบทำน้ำแข็งอัตโนมัติ อีกทั้งยังช่วยมอบความสะดวกสบายมากขึ้นด้วยที่กดน้ำบนบานประตู จึงเป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าและคุณภาพของเครื่องใช้ไฟฟ้า
เว้นพื้นที่ให้ตู้เย็นหายใจ ห่างไกลแสงแดดและความร้อน
อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงานของตู้เย็น ซึ่งรวมถึงอัตราการใช้พลังงานไฟฟ้า นั่นคือพื้นที่ที่ถูกเลือกในการติดตั้งตู้เย็น ควรเว้นพื้นที่ระหว่างตู้เย็นและผนัง รวมถึงสิ่งของอื่น ๆ อย่างน้อย 50 มิลลิเมตรขึ้นไป เพื่อให้ตู้เย็นสามารถถ่ายเทความร้อนได้สะดวก นอกจากนื้ บริเวณที่ติดตั้งตู้เย็นยังควรอยู่ในที่ที่ไม่โดนแสงแดดในระหว่างวัน รวมถึงแหล่งความร้อนอื่น ๆ ซึ่งขั้นตอนนี้จะช่วยรักษาประสิทธิภาพในการทำงานของตู้เย็นให้คงที่ โดยไม่ต้องเสียค่าไฟเพิ่ม
จัดการน้ำแข็งที่เกาะบริเวณช่องแช่แข็งหรือผนังตู้เย็น
เมื่อใช้งานตู้เย็นไปสักพัก อาจมีน้ำแข็งเกาะอยู่ตามบริเวณช่องแช่แข็งหรือผนังตู้เย็น ซึ่งไม่เพียงแต่สร้างความหงุดหงิดในการใช้งาน แต่ที่จริงแล้ว การที่มีน้ำแข็งเกาะอยู่ตามช่องแช่แข็งและข้างผนังตู้เย็นเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงปัญหาบางอย่างเกี่ยวกับระบบการทำงาน เช่น เครื่องควบคุมการทำงานชำรุด หรือช่องลมหมุนเวียนอากาศภายในตู้เย็นเกิดการอุดตัน ยิ่งมีปริมาณน้ำแข็งมากขึ้น ตู้เย็นยิ่งต้องทำงานหนักขึ้นและส่งผลต่อการสิ้นเปลืองพลังงาน ดังนั้นจึงควรรีบส่งตู้เย็นไปซ่อมแซมให้เหมาะสม
ทำความสะอาดคอยล์คอนเดนเซอร์อย่างสม่ำเสมอ
คอยล์คอนเดนเซอร์เป็นส่วนที่อยู่ด้านหลังของตู้เย็น มีหน้าที่หลักคือการสร้างความเย็นภายในตู้เย็น ซึ่งจำเป็นต้องระบายความร้อนไปในขณะเดียวกัน แต่คอยล์คอนเดนเซอร์จะไม่สามารถถ่ายเทความร้อนได้อย่างเหมาะสม หากถูกปกคลุมที่ฝุ่นที่ก่อตัวมากขึ้นเรื่อยๆ เราจึงควรถอดปลั๊กตู้เย็นเพื่อทำความสะอาดคอยล์คอนเดนเซอร์ด้วยแปรงปัดฝุ่นหรือเครื่องดูดฝุ่นที่ปรับแรงดูดต่ำอย่างน้อย 2-3 ครั้งต่อปี วิธีนี้นอกจากจะช่วยให้ตู้เย็นทำความเย็นได้เร็วขึ้นและประหยัดพลังงานมากขึ้นแล้ว ยังช่วยยืดอายุการใช้งานของตู้เย็นให้ยาวนานขึ้นอีกด้วย
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ข้อมูลแอลจี 02-057-5757