เปิดตัว iPhone 13 Pro และ iPhone 13 สีเขียวอัลไพน์และสีเขียวใหม่ สวยสะดุดตา พร้อมให้พรีออเดอร์ 18 มี.ค. นี้

Apple ประกาศเปิดตัวสีใหม่ 2 สี คือ สีเขียวอัลไพน์และสีเขียว สำหรับ iPhone 13 Pro และ iPhone 13 ที่มาพร้อมกับดีไซน์ขนาดกะทัดรัด เสริมให้ทนทานยิ่งขึ้นด้วยด้านหน้าแบบ Ceramic Shield ชิปเซ็ต A15 Bionic สุดล้ำ ประสบการณ์การใช้งาน 5G ขั้นสูง ระบบกล้องเพื่อการถ่ายภาพและวิดีโอที่สวยสะดุดตา และระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่ที่ยาวนานขึ้น iPhone 13 และ iPhone 13 mini ยังมากับจอภาพ Super Retina XDR ที่ให้สีสันสดใส ในขณะที่ iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max มาพร้อมจอภาพ Super Retina XDR พร้อม ProMotion สีสันสดใส โดยมีอัตราการดึงข้อมูลใหม่แบบปรับได้ตั้งแต่ 10Hz จนถึงสูงสุด 120Hz iPhone 13 Pro สีเขียวอัลไพน์ และ iPhone 13 สีเขียวใหม่ จะเปิดให้สั่งซื้อล่วงหน้าในวันศุกร์ที่ 18 มีนาคม และจะเริ่มวางจำหน่ายในวันศุกร์ที่ 25 มีนาคม 2565 นี้

iPhone 13 Pro และ iPhone 13 มาพร้อมกับดีไซน์ที่กะทัดรัดและทนทาน iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max สีเขียวอัลไพน์แบบใหม่ รังสรรค์โดยการนำเซรามิกโลหะหลายชั้นที่บางระดับนาโนเมตรมาเคลือบลงบนพื้นผิว เข้ากับขอบสแตนเลสสตีลเกรดเดียวกับที่ใช้ทำเครื่องมือศัลยกรรมและด้านหลังแบบกระจกผิวด้านได้เป็นอย่างดี ทั้งสองรุ่นมาพร้อมจอภาพ Super Retina XDR ที่มี ProMotion มีให้เลือกในขนาด คือ 6.1 นิ้ว และ 6.7 นิ้ว สำหรับ iPhone 13 และ iPhone 13 mini สีเขียว มาพร้อมกรอบอะลูมิเนียมหรูหราที่สีเข้ากัน และกระจกด้านหลังที่ได้รับการตัดแต่งอย่างแม่นยำ จอภาพ Super Retina XDR ให้สีสดใส และมีให้เลือกในขนาด 6.1 นิ้ว และ 5.4 นิ้ว iPhone 13 Series ทั้งหมด ได้รับการปกป้องด้วยด้านหน้าแบบ Ceramic Shield ที่มีความแข็งแกร่งและสามารถกันฝุ่นและน้ำในระดับ IP68

iPhone 13 Pro และ iPhone 13 ขับเคลื่อนด้วยชิปประมวลผล A15 Bionic มอบสุดยอดประสบการณ์และทำงานร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับ iOS 15 โดย A15 Bionic สามารถจัดการกับงานที่ต้องใช้พลังการประมวลผลอย่างหนักหน่วงที่สุดได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังสามารถประมวลผลการเรียนรู้ของระบบได้รวดเร็วยิ่งขึ้น และเมื่อมีโปรเซสเซอร์รับสัญญาณภาพ (ISP) ที่สร้างมาแบบเฉพาะและฮาร์ดแวร์กล้องอันทรงพลัง จึงสามารถใช้คุณสมบัติกล้อง HDR อัจฉริยะ 4 สไตล์ภาพถ่าย และอีกมากมายได้ พร้อมทั้งยังช่วยยืดระยะเวลาการทำงานของแบตเตอรี่ที่ยาวนานขึ้นทั้งบน iPhone 13, iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max

iPhone 13 Pro และ iPhone 13 มาพร้อมฮาร์ดแวร์กล้องระดับท็อปที่ได้รับการปรับปรุงประสิทธิภาพให้ทำงานร่วมกับ iOS 15 ได้อย่างลื่นไหล ส่วน iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max มาพร้อมกับกล้องไวด์, อัลตร้าไวด์ และเทเลโฟโต้ใหม่ที่สามารถถ่ายภาพและวิดีโอได้สวยสะดุดตา รวมถึงมอบความสามารถของกล้องระดับโปรทั้งการถ่ายภาพและวิดีโอมาโคร โดยระบบกล้องคู่บน iPhone 13 และ iPhone 13 mini มาพร้อมกล้องไวด์ที่มีเซ็นเซอร์ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในระบบกล้องคู่ของ iPhone, กล้องอัลตร้าไวด์ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ และระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคัล iPhone 13 Pro และ iPhone 13 ขับเคลื่อนด้วย Neural Engine ที่ว่องไวกว่าเดิมใน A15 Bionic สามารถประมวลผลภาพถ่าย HDR อัจฉริยะ 4, Deep Fusion, โหมดกลางคืน, โหมดภาพถ่ายบุคคลพร้อมการจัดแสงภาพถ่ายบุคคล และสไตล์ภาพถ่ายได้ดียิ่งขึ้น โดย iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max ยังมีโหมด Apple ProRAW อีกด้วย

iPhone 13 Pro และ iPhone 13 สามารถบันทึกวิดีโอคุณภาพสูงที่สุดในสมาร์ทโฟน มาพร้อมโหมดภาพยนตร์ที่สามารถสร้างเอฟเฟ็กต์โบเก้ในวิดีโอ พร้อมสามารถปรับโฟกัสทั้งในระหว่างและหลังการถ่ายได้ ซึ่ง iPhone เป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกในโลกที่มีเวิร์กโฟลว์ Dolby Vision HDR เต็มรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการถ่าย ตัดต่อ และแชร์ นอกจากนี้ iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max ยังสามารถใช้งานการบันทึกวิดีโอในรูปแบบ ProRes ได้อีกด้วย

iPhone 13 Pro ในสีเขียวอัลไพน์ และ iPhone 13 สีเขียว จะจัดส่งพร้อม iOS 15.4 เพิ่มความสามารถในการใช้ Face ID ขณะสวมหน้ากากอนามัย, ตัวเลือกเสียง Siri ใหม่, การขยายความช่วยเหลือด้านภาษาสำหรับค้นดูจากภาพ, อิโมจิใหม่ และอีกมากมาย

ยกระดับประสบการณ์การใช้งาน iPhone ด้วยวิธีการต่างๆ ที่เพิ่มขึ้น พร้อมคุณสมบัติอันชาญฉลาดที่จะช่วยให้ทำสิ่งต่างๆ ได้มากขึ้นด้วย เช่น การโทร FaceTime ที่ให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติยิ่งขึ้นด้วยระบบเสียงตามตำแหน่งและโหมดภาพถ่ายบุคคลใหม่, SharePlay การแชร์ประสบการณ์ร่วมกันให้ผู้ใช้ขณะพูดคุยกับเพื่อนๆ ด้วย FaceTime และมีโหมดโฟกัสใหม่ที่ช่วยลดสิ่งรบกวนสมาธิ รวมถึงการแจ้งเตือนโฉมใหม่ และคุณสมบัติ "ข้อความในรูปภาพ" ที่ใช้ระบบอัจฉริยะบนอุปกรณ์เพื่อตรวจหาข้อความในรูปภาพและให้ผู้ใช้ทำสิ่งต่างๆ กับข้อความนั้นได้, Apple Maps มาพร้อมวิธีการนำทางและสำรวจโลกด้วยการขับขี่ในเมืองแบบ 3D และเส้นทางการเดินในแบบความจริง ส่วนแอปสภาพอากาศก็ได้รับการออกแบบใหม่ โดยมีทั้งแผนที่เต็มหน้าจอและการแสดงข้อมูลสภาพอากาศในแบบกราฟิกมากยิ่งขึ้น และสำหรับแอปกระเป๋าสตางค์ สามารถรองรับกุญแจบ้าน ใบขับขี่ และบัตรประจำตัวของรัฐได้แล้ว และยังมีการควบคุมด้านความเป็นส่วนตัวใน Siri, เมล และอีกหลายที่ทั่วทั้งระบบเพื่อช่วยปกป้องข้อมูลของผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น

iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max มีวางจำหน่ายในสีเซียร์ร่าบลู, สีกราไฟต์, สีทอง และสีเงิน และจะมีจำหน่ายในสีเขียวอัลไพน์ใหม่ โดยมีพื้นที่จัดเก็บข้อมูลให้เลือก 128GB, 256GB, 512GB และ 1TB ในราคาเริ่มต้นที่ 38,900 บาท และ 42,900 บาท ตามลำดับ iPhone 13 และ iPhone 13 mini มีวางจำหน่ายในรุ่น (PRODUCT)RED, สีสตาร์ไลท์, สีมิดไนท์, สีน้ำเงิน และสีชมพู และจะมีวางจำหน่ายในสีเขียวใหม่ โดยมีพื้นที่จัดเก็บข้อมูลให้เลือก 128GB, 256GB และ 512GB ในราคาเริ่มต้นที่ 29,900 บาท และ 25,900 บาท ตามลำดับ

iPhone 13 และ iPhone 13 mini ในดีไซน์แบบอะลูมิเนียม มาพร้อม 6 สีให้เลือก ได้แก่
(PRODUCT)RED, สีสตาร์ไลท์, สีมิดไนท์, สีน้ำเงิน, สีชมพู และสีเขียวใหม่

สามารถสั่งซื้อ iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max ล่วงหน้าในสีเขียวอัลไพน์ และ iPhone 13 และ iPhone 13 mini ในสีเขียว ได้ในวันศุกร์ที่ 18 มีนาคม 2565 ตั้งแต่เวลา 9:00 น.​ ตามเวลาในประเทศไทย และจะเริ่มวางจำหน่ายตั้งแต่วันศุกร์ที่ 25 มีนาคม 2565