BIZCUIT Solution เปิดเผยว่า Generative AI หรือ Gen AI ยังเป็นกระแสที่มาแรงที่สุดในปีนี้ ส่งผลภาคธุรกิจและองค์กรตื่นตัวเรียนรู้ หาแนวทางนำมาประยุกต์ใช้ ยกระดับศักยภาพธุรกิจอย่างมาก เพื่อไม่ให้ถูกเทคโนโลยีดิสรัปชันอีกครั้ง นับตั้งแต่ OpenAI เปิดตัว Chat GPT ที่สามารถพูดคุยได้ใกล้เคียงมนุษย์ และมีความรอบรู้ รวมไปถึง Midjourney ปัญญาประดิษฐ์สายภาพประกอบที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อปีที่ผ่านมา ให้คนได้ลองสร้างภาพด้วย AI สร้างความตื่นตัวให้กับทั้งโลก และตั้งตารอการที่ AI จะเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของมนุษย์ แต่บางส่วนก็ยังคงมีความกังวลว่า AI จะเข้ามาแทนที่มนุษย์
ในขณะที่ BIZCUIT Solution มองว่าในปี 2567 นี้ Gen AI กำลังเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงอีกระดับ ซึ่งจะกระทบต่อการนำ Gen AI มาใช้ โดย พบ 5 เทรนด์ที่ควรจับตามอง ดังนี้
1. More Open Source AI
ในปีที่ผ่านมา บริการ Gen AI ถูกพัฒนาจากบริษัทใดบริษัทหนึ่ง และมีค่าใช้จ่าย เมื่อใช้งานปริมาณมาก ก็จะมีค่าใช้จ่ายสูงยิ่งขึ้น หากไม่ใช่องค์กรขนาดใหญ่ก็จะไม่สามารถใช้ให้เกิดความคุ้มทุนได้ ในครึ่งปีหลังของปี 2566 ที่ผ่านมา มีบริษัทยักษ์ใหญ่ที่กระโดดลงมาทำ Gen AI และมุ่งหวังให้เป็น AI แบบ Open Source ให้ผู้พัฒนาสามารถนำไปใช้หรือพัฒนาต่อได้อย่างอิสระ อย่าง Meta เจ้าของ Facebook ซึ่ง Meta เองก็เคยทำ Open Source Language Model อย่าง Fast Text ให้ทั้งโลกได้นำไปขยายผลต่อมาแล้ว ซึ่ง BIZCUIT Solution ก็มีการนำ Fast Text มาใช้ในการพัฒนา NLP ของบริษัทฯ เองด้วย ดังนั้น Gen AI จะถูกใช้ในวงกว้างมากขึ้นอย่างแน่นอน และจะมาในรูปแบบของบริการที่ผู้พัฒนาอิสระต่าง ๆ นำไปต่อยอดจากเทคโนโลยี Open Source เหล่านี้ภายใต้บริการของตนเอง ปัจจัยเหล่านี้จะทำให้เกิดปริมาณการใช้งาน Gen AI แบบก้าวกระโดดในปี 2567
2. Multimodal Gen AI
การสร้าง AI แบบ Multi Modal จะสอน AI ด้วยภาพ ตัวอักษร เสียง หรือแม้แต่อุณหภูมิ พร้อม ๆ กัน AI ที่ถูกสร้างขึ้นจากข้อมูลหลายประเภท จะมีความสามารถในการคิดวิเคราะห์ได้ใกล้เคียงกับมนุษย์มากยิ่งขึ้น เพื่อให้ AI ประมวลผลหาคำตอบด้วยบริบทของข้อมูลหลายมิติ ไม่ใช่แค่ข้อมูลประเภทใดประเภทหนึ่ง เหมือนที่ ChatGPT หรือ Google Bard ซึ่งเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น Gemini ในปัจจุบัน ต่างถูกสอนด้วยข้อมูลที่เป็นตัวอักษรเพียงอย่างเดียวก่อนหน้านี้ โดย AI ในสาขา Computer Vision นั้นต่างเริ่มสร้าง AI ด้วยวิธี Multi Modal นี้มาระยะหนึ่งแล้ว
3. AI Governance
ในปี 2567 นี้ จะมีความชัดเจนทั้งในแง่ข้อบังคับ ข้อปฏิบัติมากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าจะมีทั้งผู้ที่ได้ประโยชน์และเสียประโยชน์จากการมีข้อบังคับเหล่านี้ โดยกฎระเบียบ ข้อบังคับ ผลทางกฎหมายของการนำ AI ไปใช้ หรือการได้มาซึ่ง AI จะมีการพัฒนาและมีผลบังคับใช้ที่ชัดเจนขึ้น ซึ่งในปี 2565 - 2566 ต่างเห็นข้อพิพาททางกฎหมาย การคว่ำบาททางธุรกิจ ซึ่งเป็นผลจากการนำ AI ไปใช้หลายกรณี แต่ทั้งหมดยังไม่มีกฎหมาย หรือข้อบังคับที่เกี่ยวกับ AI โดยตรง
4. AI Enhanced Work Force
สิ่งที่กำลังจะได้เห็นกันในปี 2567 คือการที่แต่ละสาขาวิชาชีพจะถูกเพิ่มศักยภาพแบบก้าวกระโดดด้วย AI โลกเคยพบกับการก้าวกระโดดในผลผลิตของสายการผลิตด้วยการนำหุ่นยนต์มาช่วยมนุษย์มาแล้ว และสิ่งที่กำลังจะเห็นในอนาคตคือ AI จะมาช่วยอาชีพต่าง ๆ ในแง่การเพิ่มประสิทธิภาพ เช่น พนักงานดูแลลูกค้าหาคำตอบในเรื่องของการช่วยลูกค้าคำนวนเบี้ยประกันที่เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้าให้ได้ในไม่กี่วินาที อัยการใช้เวลาในการเขียนสำนวนน้อยลงโดยมี AI ช่วยเข้าไปดูประมวลกฎหมายและร่างสำนวนให้ หรือบริษัทโฆษณาใช้เวลาในการสร้างชิ้นงานโฆษณาเพื่อไปเสนอลูกค้าที่สั้นลง โดยให้ AI สร้างตัวอย่างขึ้นมาก่อน ดังนั้นมนุษย์จำเป็นจะต้องเรียนรู้การใช้งาน Gen AI เช่นเดียวกับการเรียนรู้ใช้คอมพิวเตอร์หรือเครื่องพิมพ์ดีด จากการเก็บข้อมูลของ CBINSIGHTS เงินลงทุนกว่า 2,500 ล้านเหรียญถูกทุ่มให้กับการพัฒนา AI เพื่อเป็นผู้ช่วยของมนุษย์
5. Deep Science Powered by AI
AI กำลังเข้ามามีบทบาทเป็นอย่างมาก ทั้งด้านการแพทย์ ในเรื่องของพันธุกรรม ไปจนถึงการคิดค้นยาใหม่ ๆ หรือด้านวัสดุศาสตร์ (Material Science) ที่ AI ชั้นนำอย่าง GNoME ซึ่งขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี Deep Learning สามารถสร้างแนวคิดของวัสดุรูปแบบใหม่มากถึง 380,000 รายการ เทียบเท่าการที่มนุษย์ต้องใช้เวลากว่า 800 ปีในการทดลอง ซึ่งแน่นอนว่ามนุษย์จะมีวัสดุที่มีคุณสมบัติใหม่ ๆ ที่สามารถนำมาผลิตเพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ได้มากยิ่งขึ้นไปอีก
ในยุคที่ Gen AI สร้างแรงกระเพื่อมต่อทุกธุรกิจ ธุรกิจควรตื่นตัว นำเทรนด์ที่เกิดขึ้นไปต่อยอดทางธุรกิจ โดยนำมาใช้ให้เหมาะสมกับบริบทขององค์กร ซึ่งตัวเลือกของ AI และต้นทุนในการใช้บริการจะมีความหลากหลายมากขึ้นหลายเท่าตัว องค์กรวันนี้ควรหันมาสร้างความคุ้นชินกับการนำ AI หรือ Gen AI มาใช้ใน Work Flow ขนาดเล็กในองค์กร เพื่อจะได้ทดลองปรับตัวและควบคุมค่าใช้จ่าย ขณะเริ่มทดลองทำให้การใช้ AI กลายเป็นเรื่องปกติในองค์กร โดยมีเครื่องมือในชีวิตประจำวันมากมายที่มี AI ติดตั้งมาอยู่ในตัวบริการโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม เช่น การค้นหาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต ก็สามารถถามจาก AI แทนการค้นหาแบบปกติได้ ทั้งจากค่าย Microsoft อย่าง Bing หรือ ค่าย Google อย่าง Gemini ฝึกพิมพ์สร้างคำถามป้อน AI ก่อนการถามหาคำตอบจากคนรอบข้าง เพื่อฝึกทักษะการใช้ Prompt ซึ่งเป็นข้อความที่เขียนขึ้นเพื่อให้ AI สร้างเนื้อหา หรือคำตอบตามที่กำหนด เพื่อให้สามารถสั่งงาน AI ได้ตรงกับความต้องการ โดยเมื่อ Open Source Gen AI มีความแพร่หลายมากขึ้น จะยิ่งมีเครื่องมือมาให้ใช้มากขึ้น ซึ่งผู้ที่คุ้นเคยก็จะมีข้อได้เปรียบในการสร้าง Productivity ให้กับองค์กรได้ดีกว่านั้นเอง
ขอบคุณข้อมูลจาก BIZCUIT Solution