ขนาดหน้าจอ
- ขนาด 6.1 - 6.2 นิ้ว: ถ้าต้องการมือถือจอเล็กเพื่อความสะดวกสบายในการพกพา หรือสาวๆ ที่มือถือ จะได้จับถือสะดวก แต่ในยุคนี้ก็มีน้อยรุ่นแล้วครับที่จะผลิตขนาดนี้ออกมา ซึ่งปัจจุบันก็จะมีแบรนด์
Apple รุ่น iPhone 14, iPhone 14 Pro, iPhone 15, iPhone 15 Pro ที่มีขนาด 6.1 นิ้ว
Samsung รุ่น Samsung Galaxy S23 มีขนาด 6.1 นิ้ว , Samsung Galaxy S24 มีขนาด 6.2 นิ้ว
Google Pixel 8 มีขนาด 6.2 นิ้ว
- ขนาด 6.5 - 6.8 นิ้ว: ถือว่าเป็นขนาดมาตรฐานของมือถือในยุคนี้ครับ โดยจะมีเริ่มต้นที่ 6.5 นิ้ว จนไปถึง 6.8 นิ้ว ส่วนนี้ก็สามารถเลือกได้ตามความชอบและความถนัดในการจับถือได้เลยครับ
พาเนลหน้าจอ
IPS LCD: เป็นพาเนลหน้าจอที่อยู่ในมือถือระดับเริ่มต้น สามารถใช้งานทั่วไปได้ เช่น เล่นแอบโวเชียล ดูหนัง ดู Youtube ได้ แต่สีสันจะไม่สดใส หรือสว่างเท่ากับพาเนล AMOLED ครับ ซึ่งจะเป็นมือถือในช่วงงบราคาไม่เกิน 7,000 - 8,000 บาทครับ
AMOLED: สำหรับพาเนล AMOLED เป็นหน้าจอมาตรฐานของมือถือยุคนี้ไปแล้ว ด้วยการแสดงผลสีสันที่สดใส ขอบเขตสีที่กว้าง รวมถึงความสว่างที่มากกว่า ทำให้รับชมคอนเทนต์ต่างๆ ในอรรถรสมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการดูภาพยนตร์หรือ Netflix ครับ
LTPO AMOLED: จะเป็นพาเนลเหมือนกับ AMOLED ครับ แต่เพิ่มเติมคือสามารถปรับ Refresh rate ของหน้าจอได้แบบ Adaptive เช่น หากเราไม่ได้ใช้งาน แล้วจอจะอยู่นิ่งๆ หน้าจอก็จะปรับ Refresh rate ให้เหลือ 1Hz เพื่อประหยัดพลังงานได้ ซึ่งจะพบในมือถือรุ่นเรือธงครับ
Refresh rate
คือ อัตราจำนวนครั้งที่หน้าจอจะแสดงภาพได้ต่อวินาที ถ้าให้เข้าใจง่ายๆ คือ ยิ่งจำนวนภาพต่อวินาทีมีมากเท่าไร การแสดงผลของหน้าจอก็จะเคลื่อนไหวได้ไหลลื่นมากเท่านั้น โดยมือถือในยุคก่อน หรือรุ่นเริ่มต้นในยุคนี้ที่ราคาหลักพัน จะมี Refresh rate ที่ 60Hz ซึ่งเป็นค่ามาตรฐานเริ่มต้น หรือบางรุ่นก็อาจมีที่ 90Hz หากใครที่ต้องการใช้มือถือราคาประหยัดก็แนะนำที่ 90Hz ครับ
แต่ถ้ามีงบขึ้นมาเล็กน้อยจริงในยุคนี้ผู้เขียนอยากแนะนำไปที่ Refresh rate 120Hz มากกว่าครับ ซึ่งจะแสดงผลได้ไหลลื่น เนียนตามากกว่า 60Hz และ 90Hz อย่างเห็นได้ชัดเลย จะมีตั้งแต่มือถือราคาหลักพันปลายๆ ไปถึงหลายหมื่นเลยครับ
ด้านกล้อง
ด้านกล้องก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ใครหลายๆ คนเลือกซื้อมือถือแบรนด์นั้นๆ เลยครับ ซึ่งถ้าให้ดูจากตัวเลขของพิกเซลเฉยๆ ก็คงจะตัดสินไม่ได้ว่ากล้องของมือถือรุ่นนั้นดีหรือไม่ได้ เช่น กล้องหลังความละเอียด 50MP ซึ่งมีตั้งแต่ในรุ่นเริ่มต้น รุ่นกลาง จนถึงเรือธง ถ้าจะให้ดูว่ากล้องตัวนั้นถ่ายภาพออกมาได้คุณภาพดีมากแค่ไหน อาจต้องดูไปถึงเซนเซอร์กล้องที่ใช้และขนาดของเซนเซอร์ครับ อาจยากไปสำหรับผู้ใช้งานทั่วไป หากให้ดูง่ายๆ ก็แนะนำดูจากการใช้งานของตัวเองครับว่าจริงจังกับการใช้งานกล้องมากแค่ไหน
- ใช้งานไม่จริงจังมาก: ใช้ถ่ายงานเอกสาร, VDO Call, ถ่ายเก็บภาพไปเที่ยว ทั่วๆ ไป, งบประหยัด ก็หามือถึอในงบ หลักพันถึง 1 หมื่น ก็พอใช้ได้ครับ
- ต้องการกล้องคุณภาพดี: ใช้ถ่ายภาพลง Social Media, ต้องการกล้องหลังและ Ultrawide ที่คมชัดขึ้น, ถ่ายวิดีโอ 1080p@60fps - 4K ได้, กล้องหน้าคมชัดมากขึ้น, ถ่ายสินค้า, มีกล้องซูมระดับ 2 เท่า หรือไม่จำเป็นต้องใช้กล้องซูมไกล ก็มองหามือถือหลัก 1 หมื่น - 2 หมื่น ก็ได้ครับ เพราะกล้องในราคาระดับนี้จะใช้งานจริงได้ดีมากขึ้นครับ
- ต้องการคุณภาพกล้องระดับดีมาก: ใช้ถ่าย VDO Vlog, ทำคอนเทนต์หรือถ่ายงานแบบจริงจัง, ต้องการกล้องคุณภาพคมชัดระดับสูง, ถ่ายวิดีโอความละเอียด 4K-8K ได้, มีกล้องซูมระยะ 3 เท่า ขึ้นไป และใช้งานในระยาวได้ดี แนะนำเป็นมือถือราคา 2 หมื่น ขึ้นไปครับ เพราะจะเริ่มเป็นมือถือระดับเรือธงกันแล้ว ทำให้แบรนด์ต่างๆ จะใส่สเปกกล้องคุณภาพดีใส่เข้ามาให้ครับ
ด้านประเภทกล้องหลักๆ
- กล้องหลัก (Wide) : สำคัญที่สุดเพราะเป็นกล้องหลัก
- กล้องมุมกว้าง (Ultrawide) : เป็นกล้องสำหรับถ่ายภาพมุมกว้าง เช่น ถ่ายวิว ถ่ายภาพหมู่
- กล้องซูม (Telephoto) : เป็นกล้องที่ใช้งานซูมภาพระยะไกลมากขึ้น ซึ่งถ้าเป็นระยะ 2x จะได้ทางยาวโฟกัสประมาณ 50mm, 3x จะได้ทางยาวโฟกัสประมาณ 75mm ทำให้เราได้มุมภาพเมื่อถ่าย Potrait ได้สวยมากขึ้น หากต้องการนำไปซูมงานคอนเสิร์ต หรืองานศิลปิน ต้องใช้ระยะซูมไกลๆ อย่าง 5x, 10x ครับ
กล้องเสริมต่างๆ
- กล้อง Macro : ใช้สำหรับถ่ายภาพระยะใกล้มากๆ เช่น ถ่ายดอกไม้เล็กๆ, ถ่ายพื้นผิววัตถุ
- กล้อง Depth : ใช้สำหรับช่วยวัดระยะเมื่อถ่ายภาพ Portrait
ส่วน Character ของภาพจากกล้องมือถือก็ขึ้นอยู่กับความชอบได้เลยครับ ถ้าอยากได้แบบเรียลๆ ก็คงต้องไป iPhone เพราะจะเน้นเก็บรายละเอียด หรือ Samsung แต่ยังคงมีความบิวตี้อยู่บ้าง แต่ถ้าอยากได้แบบสายบิวตี้มากๆ หน้าเนียน ถ่ายจบหลังกล้อง ก็คงต้องไปมือถือแบรนด์จีน เช่น vivo, OPPO, HONOR เพราะจะจัดเต็มเรื่องกล้องสวยครับ