Fitbit Charge 5 เป็น Fitness Tracking รุ่นท็อปของ Fitbit ประเทศไทย ในเวลานี้ ซึ่งทาง Fitbit ตั้งใจวาง Position ของโปรดักส์ในกลุ่มของ Fitness Traking อย่าง Charge 5 ไว้เป็นอุปกรณ์ผู้ช่วยในการแนะนำ (Wellness Guidance) หรือสร้างแรงบันดาลใจให้กับกลุ่มคนที่อยากเริ่มต้นออกกำลังกายหรือดูแลสุขภาพไปจนถึงระดับที่เริ่มออกกำลังกายหรือคุ้นเคยกับการดูแลสุขภาพในระดับหนึ่งเลยทีเดียว
สำหรับจุดเด่นของ Fitbit Charge 5 ที่เห็นได้ชัดเลยคงจะเป็นการมาของหน้าจอแสดงผลแบบสีเป็นครั้งแรกของซีรีย์ "Charge" และงานออกแบบไม่ว่าจะเป็นสายรัดหรือตัวเรือนที่ออกแบบได้หรูหรามาก ๆ ในขณะที่ตัวซอฟต์แวร์แอปพลิเคชั่นก็เป็นจุดที่ผมสัมผัสได้เลยว่า ทำออกมาได้ตรงโจทย์ในการออกกำลังกายได้ดีมาก ๆ และเป็นแอปพลิเคชั่นที่ส่วนตัวมองว่าดีที่สุดของตลาด "Fitness Tracking Band" ในเวลานี้เลยก็ว่าได้ครับ
อุปกรณ์ภายในกล่อง (Unbox)
- Fitbit Charge 5 พร้อมสายรัดแบบปัดขนาดได้
- สายชาร์จ Pogo pin - USB
- สายรัด (ฝั่งรูปัดขนาด) 1 เส้น
- คู่มือการใช้งาน
Design (งานออกแบบ)
Fitbit Charge 5 มีงานออกแบบที่เรียบหรูมาก ๆ ไล่ตั้งแต่สายรัดที่ใช้เลือกใช้วัสดุซิลิโคนคุณภาพดี น้ำหนักเบา เมื่อสวมใส่แล้วรู้สึกสบาย และเป็นมิตรกับผิวหนังไม่เกิดอาการระคายเวลาเหงื่อออก ไปจนถึงตัวเรือนที่ทองเงาวาบ ซึ่งใช้วัสดุเป็นสแตนเลสเกรดทางการแพทย์ผสมกับอลูมิเนียมชุบด้วยอะโนไดซ์ มาพร้อมหน้าจอแสดงผลแบบสี AMOLED ขนาด 1.04 นิ้ว รองรับการแตะสัมผัส และรองรับการแสดงผลแบบ Always on Display ด้วย
สำหรับการปลดสายรัดเพื่อเปลี่ยนสายใหม่ของ Fitbit Charge 5 สามารถทำได้ง่าย ๆ เพียงแค่ดันสลักล็อคที่อยู่ด้านหลังตัวเรือน พร้อมกับสไลด์ตัวสายรัดออกในแนวตั้งก็เป็นอันเสร็จครับ ซึ่งในกล่องจะมีสายรัดอีกเส้นให้มาด้วย ถ้าหากสายติดตัวเรือนสั้นไป
ด้านหลังตัวเรือนจะเป็นตำแหน่งของชุดเซ็นเซอร์ทั้งหมด ซึ่งประกอบด้วย เซ็นเซอร์ accelerometer แบบ 3 แกน (x,y,z), ตัวรับสัญญาณ GPS ในตัว + GLONASS, เซ็นเซอร์ตรวจวัดและติดตามอัตราการเต้นของหัวใจแบบออปติคัล (Optical Heart rate Tracker, เซ็นเซอร์ Ambient light, เซ็นเซอร์ตรวจวัดปริมาณระดับออกซิเจนในเลือด (SpO2) และมอเตอร์สั่น (Vibration motor)
นอกจากนี้บริเวณด้านข้างตัวเรือนซ้าย-ขวาของ Charge 5 ยังมีแถบเซ็นเซอร์ Multipurpose electrical ใช้ทำงานควบคู่กับเซ็นเซอร์ตัวอื่น เพื่อวัดค่า EDA ที่เป็นค่าการเปลี่ยนแปลงไฟฟ้าอิเล็กโทรดในระดับโมเลกุลของเหงื่อเมื่อร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลง เช่น เข้าสู่สภาวะเครียด ซึ่งคุณสมบัตินี้เป็นตัวชูโรงของรุ่นนี้เลยทีเดียว
รูปแบบการใช้งาน
สำหรับการสั่งการด้วยการแตะบนหน้าจอของ Fitbit Charge 5 จะเป็นการปัดหน้าจอทิ้งจากซ้ายไปขวา หรือ บนลงล่าง ส่วนจากหน้าจอหลักถ้าเราปัดจากบนลงล่างจะเป็นการเรียกเมนูการตั้งค่าขึ้นมา
ถ้าจากหน้าจอหลักปัดจากล่างหน้าจอขึ้นข้างบนจะเป็นการเข้าเมนูการออกกำลังกาย
ในขณะที่ถ้าปัดจากซ้ายไปขวาหรือขวาไปซ้ายก็จะเป็นหน้าเมนู Widget ที่จะแสดงรายการของแอปพลิเคชั่นหรือโหมดต่าง ๆ ที่เราเลือกการแสดงผลไว้จากแอปฯ บนสมาร์ตโฟน
รายละเอียดสเปกของ Fitbit Charge 5
- จอแสดงผล AMOLED ขนาด 1.04 นิ้ว รองรับการแสดงผล Always on Display
- รองรับการเชื่อมต่อผ่าน Bluetooth และ NFC
- รองรับการเชื่อมต่อกับสมาร์ตโฟน Android OS แบบรวดเร็วด้วย Google Fast Pair
- เซ็นเซอร์ตรวจวัด ประกอบด้วย
- 3-axis accelerometer
- Built-in GPS + GLONASS Red
- infrared sensors for oxygen saturation (SpO2)
- monitoring Device temperature sensor (skin temperature variation available in the Fitbit app)
- Vibration motor
- Ambient light sensor
- Multipurpose electrical sensors compatible with ECG app & EDA Scan app
- Built in GPS + GLONASS
- รองรับการตรวจวัดอัตราการเต้นของหัวใจแบบเรียลไทม์
- EDA Scanner ตรวจวัดความเครียดจากไฟฟ้าบนผิวหนัง
- ตรวจวัดอุณหภูมิบนผิวหนัง
- ตรวจวัดระดับออกซิเจนในเลือด SpO2
- ติดตามการนอนหลับ, หายใจ และความเครียด
- ติดตามสุขภาพรอบเดือนของคุณผู้หญิง
- ติดตามและตรวจวัดการออกกำลังกายผ่านโหมดออกกำลังกาย 20 รูปแบบ
- ติดตามการว่ายน้ำ
- กันน้ำได้ลึกระดับ 50 เมตร
- รองรับการใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ Android OS ตั้งแต่เวอร์ชั่น 8.0 ขึ้นไป
- รองรับการใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ iOS ตั้งแต่เวอร์ชั่น 12.2 ขึ้นไป
- แบตเตอรี่ Lithium-polymer รองรับการใช้งานนานสูงสุด 7 วัน โดยไม่ชาร์จ และถ้าหากชาร์จกลับใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมงเต็ม
เริ่มต้นใช้งาน (Fitbit Application)
การเริ่มต้นใช้งาน Fitbit Charge 5 ตัวเครื่องจำเป็นต้องกระตุ้นไฟก่อนนะครับ เพราะฉะนั้นให้เรานำตัวเครื่องไปชาร์จกับสายชาร์จที่แถมมาให้ในกล่อง เสียบไว้สัก 1 นาที หน้าจอจะติดขึ้นมาและแสดงไอคอนการเชื่อมต่อ เมื่อหน้าจอเชื่อมต่อแอปพลิเคชั่น Fitbit ปรากฏ ก็ให้นำสมาร์ตโฟนมาถือใกล้ ๆ ได้เลย จะมีป็อปอัปเด้งขึ้นบนสมาร์ตโฟนให้เราดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่นทันที
เพราะตัว Charge 5 รองรับฟีเจอร์ Google Fast Pair ซึ่งจะรองรับการทำงานร่วมกับสมาร์ตโฟน Android OS เวอร์ชั่น 8.0 ขึ้นไป และ iOS เวอร์ชั่น 12.0 ขึ้นไป หลังจากดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่น Fitbit เสร็จแล้ว ก็ให้ทำการสมัครบัญชีเพื่อใช้งาน ส่วนใครมีแล้วก็ทำตามขั้นตอนที่ตัวแอปฯ นำทางไปเรื่อย ๆ ได้เลยครับ แค่นี้ก็พร้อมใช้งานแล้ว
หน้าเมนูการใช้งาน Fitbit Application
ครบเครื่องเรื่องการดูแลสุขภาพ
เห็นขนาดเล็กแบบนี้ แต่ Fitbit Charge 5 เป็นแบรนด์ที่มีความสามารถในด้านสุขภาพที่ครบเครื่องมาก ๆ มีคุณสมบัติในการตรวจจับและวัด Health Metric ต่าง ๆ ได้ครบเครื่อง รวมทั้งยังสามารถแสดงผลลัพธ์ของ Health Metric ได้ค่อนข้างละเอียด ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้เราสามารถวิเคราะห์หรือประเมินการออกกำลังกายของเราให้ละเอียดมากขึ้นและตรงตามแพลนที่เราตั้งไว้นั่นเอง
เริ่มกันความสามารถตัวแรกและเป็นคุณสมบัติทีเด็ดที่เป็นจุดขายของ Fitbit เลย กับ EDA (Electrodermal Activity) Scanner การตรวจวัดการเปลี่ยนแปลงของไฟฟ้าที่อยู่บริเวณผิวหนัง ซึ่งตามหลักทฤษฎีแล้วการเปลี่ยนแปลงของไฟฟ้าที่อยู่บริเวณผิวหนังของคนเรานั้น จะมาจากต่อมเหงื่อที่อยู่ใต้ผิวหนังที่ถูกควบคุมโดยระบบประสาทสัมผัสอีกที่ ดังนั้นถ้าหากร่างกายเราเกิดการเปลี่ยนแปลง เช่น เกิดความเครียด เหงื่อก็จะออกสู่ผิวหนังมากขึ้น และทำให้ไฟฟ้าบริเวณผิวหนังมีการเปลี่ยนแปลงไปจากปกติ และนำไปสู่การอ่านค่าของฟีเจอร์นี้นั่นเองครับ
การใช้งาน EDA Scanner สามารถทำได้ด้วยการแตะนิ้วไปที่แป้นสัมผัสที่อยู่บริเวณด้านข้างของตัวเรือน Fitbit Charge 5 แตะค้างไว้นาน 2 นาทีเป็นอย่างน้อย จากนั้นตัวระบบก็จะทำการอ่านค่าโดยนำเอาผลจากการตรวจวัด Heart rate และ SpO2 มาแสดงให้พร้อมกันทีเดียว ซึ่งความสามารถนี้ทาง Fitbit เผยว่ามีผู้ใช้งานมากกว่า 70-80% เมื่อได้ลองใช้ฟีเจอร์นี้แล้ว สามารถลดระดับความเครียดลงได้จากการควบคุมการหายใจผ่านความสามารถของ EDA Scanner
- วัดระดับออกซิเจนในเลือด (SpO2) และตรวจจับอัตราการเต้นของหัวใจ (Heart rate)
สองฟีเจอร์มาตรฐานที่ต้องมีในยุคนี้ของการอุปกรณ์ด้านสุขภาพเลยก็ว่าได้ครับ และแน่นอนว่าเจ้า Fitbit Charge 5 ก็ใส่สองฟีเจอร์นี้มาให้ด้วย และยังสามารถติดตามอัตราการเต้นของหัวใจของเราได้แบบเรียลไทม์ด้วย แต่ความแตกต่างจากแบรนด์ทั่วไปจะอยู่ที่แอปพลิเคชั่นอีกนั้นแหละครับ เพราะการรายงานข้อมูล รวมถึงการนำข้อมูลจากการติดตาม ตรวจวัด SpO2 และ Heart rate ไปใช้ประโยชน์
เช่น การไปแสดงผลรวมกับการออกกำลังกายในรูปแบบค่า VO2MAX ที่ใช้เป็นค่าอ้างอิงความฟิตของร่างกาย หรือการนำระดับออกซิเจนในเลือดไปวิเคราะห์รวมกับ EDA Scan เพื่อวิเคราะห์ระดับความตึงเครียด หรือแม้แต่การติดตามการนอนก็นำสองโหมดนี้ไปวิเคราะห์ด้วยเช่นกัน ทำได้ดีมาก โดยเฉพาะการรายงานผลข้อมูลที่ลึกถึงระดับสามารถรายงานค่า HRV หรือค่าการแปรผันของการเต้นหัวใจที่ใช้วิเคราะห์แนวโน้มความเครียดของตัวเราได้ด้วย ซึ่งผมเลยคิดว่าเป็นจุดเด่นและข้อดีของ Fitbit ที่ทำให้เราได้ประโยชน์ด้านสุขภาพเป็นอย่างมาก
การติดตามการนอนหลับของ Fitbit Charge 5 ในด้านของการรายงานผล ถ้าหากเราไม่ได้สมัครเมมเบอร์ไว้ก็จะทราบแค่ข้อมูลพื้นฐานทั่วไป เช่น ระยะเวลาการนอนและรูปแบบการนอนของเราเท่านั้นครับ ซึ่งก็ถือว่าเป็นข้อมูลพื้นฐานที่พอจะช่วยวิเคราะห์การนอนหลับของเราได้ในระดับหนึ่ง แต่ถ้าหากสมัครเมมเบอร์ของ Fitbit ไว้ ข้อมูลที่ได้จากการติดตามจะละเอียดเป็นอย่างมาก บอกได้ถึงขนาดว่าตอนเรานอนมีสภาวะการขาดอากาศหรือไม่? หรือมีอัตราการเต้นของหัวใจผิดปกติไหม พร้อมทั้งยังแนะนำ ให้คะแนน และวิเคราะห์รูปแบบการนอนเปรียบเทียบกับค่ามาตรฐานให้เราได้ทราบด้วย ซึ่งส่วนตัวรู้สึก Charge 5 ติดตามการนอนของเราได้แม่นยำ และดาต้าที่รายงานมาก็ค่อนข้างสอดรับกับความรู้สึกของตัวผมเอง ดังนั้นผมว่าถ้าใครอยากติดตามพฤติกรรมการนอนของเรา เจ้า Fitbit Charge 5 ไว้ใจเขาได้เลยนะ
- ตรวจจับความเครียดจากการทำงานหรือใช้ชีวิต
การตรวจจับความเครียดและรายงานผลให้ผู้ใช้ทราบ เป็นไฮไลท์สำคัญของ Fitbit Charge 5 เลยก็ว่าได้ เพราะตัวเรือนนอกจากจะตรวจติดตามให้อัตโนมัติแล้ว ยังฟีเจอร์ในโหมด EDA Scanner ที่จะให้เราลดความตรึงเครียด ณ ขณะนั้นลง ด้วยการฝึกการหายใจ ยาวนาน 2-3 นาที พร้อมบันทึกค่าการฝึกด้วยว่าหลังจากฝึกแล้วคุณรู้สึกอย่างไร? เพื่อนำไปประเมินรูปแบบในครั้งหน้าให้ ซึ่งปกติถ้าเป็นแบรนด์ทั่วไปก็จะใช้วิธีการเตือน เพื่อให้ผู้ใช้งานทราบเท่านั้น
- ติดตามการออกกำลังกายด้วยโหมดออกกำลังกาย 20 รูปแบบ และแสดงผล Active Zone minute ได้ด้วย
ใครที่เป็นสายคาดิโอน่าจะถูกใจกันแน่นอน เพราะ Fitbit Charge 5 สามารถแสดงผล Active Zone minute ขณะที่อัตราการเต้นของหัวใจเรากำลังบูสขึ้นขณะออกกำลังกายให้เราทราบได้ด้วย รวมถึงค่า VO2MAX ที่บ่งบอกถึงความฟิตของร่างกายก่อนออกกำลังกายเจ้า Charge 5 ก็สามารถวิเคราะห์ได้ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ยังรองรับการติดตามการออกกำลังกายให้อัตโนมัติ และยังมีโหมดออกกำลังกายให้ใช้งานมากถึง 20 รูปแบบเลยทีเดียว ซึ่งแต่ละโหมดที่ใส่มาให้ผมรู้สึกว่าครอบคลุมรูปแบบการออกกำลังกายในปัจจุบันได้ครบอยู่นะครับ
เป็น Band ที่ Built-in GPS
Fitbit Charge 5 มาพร้อมระบบ GPS ในตัว ดังนั้นทำให้ตัวแบรนด์สามารถที่จะอ่านค่าการเดินทางหรือการวิ่งของเราผ่านแอปพลิเคชั่น หรือโหมดการออกกำลังกายได้ พร้อมกับส่งข้อมูล Sync ไปยังแอปพลิเคชั่นบนสมาร์ตโฟน เพื่อระบุเส้นทางและคำนวณระยะทางการวิ่ง, เดิน, ปั่นจักรยานได้
Premium membership ทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการยกระดับด้านสุขภาพ
ระบบ Premium membership เป็นอีกหนึ่งลูกเล่นที่เป็นเลือกของ Fitbit ซึ่งต้องเสียเงินสมัครสมาชิกนะครับ แต่ในช่วงแรกที่เราซื้อ Charge 5 มา ทาง Fitbit จะแถมแพ็กเกจมาให้ลองใช้งานฟรีเป็นระยะเวลา 6 เดือน มูลค่า 2,625 บาท โดยข้อดีของการเป็นสมาชิกก็คือ การที่จะปลดล็อคฟังก์ชั่นด้านสุขภาพให้มากขึ้น และละเอียดยิ่งขึ้น เหมาะสำหรับคนที่เคร่งครัดในการดูแลสุขภาพเลยก็ว่าได้ครับ
เพราะระบบเมมเบอร์จะนำข้อมูลของตัวเราไปประเมินเป็นรูปแบบการดูแลสุขภาพให้ เช่น ประเมินความพร้อมของร่างกายก่อนออกกำลังกายว่าควรพักหรือไม่, การวิเคราะห์การนอนหลับด้วยข้อมูลเชิงลึก, แนะนำรูปแบบการหายใจเพื่อระดับความเครียดลง หรือการแนะนำ Active Time Zone ให้เหมาะกับความต้องการในการออกกำลังกาย เป็นต้น และนอกจากนี้ในหน้าของ Discover ก็ปลดล็อควีดีโอ Guideline สำหรับแนะนำการออกกำลังกาย ให้เราได้ออกกำลังกายตามคลิปหรือศึกษารูปแบบการออกกำลังกายจากวีดีโอแนะนำด้วย
บทสรุปและการวางจำหน่าย
Fitbit Charge 5 สำหรับผมถ้าตัดเรื่องของการที่ยังไม่ได้รองรับภาษาไทยไป ก็คิดว่านี้คือ "Band" ที่มีแอปพลิเคชั่น และซอฟต์แวร์ด้านสุขภาพที่ใช้งานร่วมกันได้ดีมากที่สุดอีกรุ่นของตลาดในเวลานี้เลยก็ว่าได้ ถึงแม้จะไม่ได้เสียค่าสมัครเมมเบอร์เพื่อปลดล็อค Premium membership แต่ข้อมูล Health Metric ที่ใส่มาให้เป็นความสามารถพื้นฐานของรุ่นนี้ ถือว่าครอบคลุมการดูแลสุขภาพในแต่ละวันได้ดีมาก ๆ
ในขณะที่ตัวเรือนออกแบบมาได้ครอบคุลมไลฟ์สไตล์ เรียบหรู เบาสบาย ทำให้สามารถใส่ใช้งานแทนนาฬิกาปกติได้อย่างลงตัว และใส่ใช้งานได้ตลอดวันจนนอนเลยก็ได้ รวมทั้งยังมีสายอุปกรณ์เสริมให้เราเลือกเปลี่ยนเพิ่มเติม (ซื้อเพิ่มเอง) เพื่อให้เหมาะกับรูปแบบการใช้งานได้ด้วย ดังนั้นถ้าหากใครที่อยากได้อุปกรณ์แนว ๆ สายรัด (Band) สำหรับดูแลสุขภาพแบบครบเครื่อง ไปพร้อมกับสามารถใช้งานในชีวิตประจำวันได้อย่างลงตัว เช่น ใส่ไปงานสำคัญต่าง ๆ , ใส่ออกกำลังกาย หรือทำกิจกรรมที่ Advance เป็นต้น เจ้า Fitbit Charge 5 จะเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์ได้อย่างลงตัวเลยทีเดียวครับ
โดยทาง Fitbit วางจำหน่าย Fibit Charge 5 ในประเทศไทย ด้วยราคา 7,690 บาท ผ่านตัวแทนจำหน่ายห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วประเทศ และช่องทางออนไลน์ Fitbit.com, Lazada, Shopee และ JD Central, Dotlife, B2S และ PowerBuy