Xiaomi 11 Lite 5G NE เป็นหนึ่งในสมาร์ตโฟนน้องใหม่ในแฟมิลี่ "11 Lite Series" ของ Xiaomi และพึ่งประกาศเปิดตัวไปอย่างเป็นทางการเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา โดยการมาครั้งนี้ทาง Xiaomi ยังคงยึดแนวทางของ Lite Series ไว้เหมือนเดิม กับการวางให้เป็นสมาร์ตโฟนสาย Stylish ประจำแบรนด์ ที่เน้นเรื่องของการออกแบบไปพร้อมกับ ประสบการณ์การใช้งานที่ดี
ที่มาที่ไปของ "Lite Series" ของ Xiaomi เกิดจากแนวคิด 'Style meets technology' ที่ทาง Xiaomi คิดว่าทุกวันนี้สมาร์ตโฟนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของเราไปแบบเต็มตัว ภายในหนึ่งวันตัวเราแทบจะอยู่ไม่ห่างจากสมาร์ตโฟนเลย เพราะฉะนั้นการที่สมาร์ตโฟนมีดีไซน์ที่สามารถเข้ากับทุกสไตล์การแต่งตัวของเจ้าของ เพื่อให้สามารถพกพาสมาร์ตโฟนไปยังงานหรือกิจกรรมอีเว้นท์ต่างๆ ได้แบบขัดเขิลจึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจ ดังนั้นจึงได้วางตำแหน่งของไลน์สินค้า Lite Series ไว้ให้เป็น "Xiaomi's most stylish Series" หรือการเป็นซีรีย์สมาร์ตโฟนที่มีสไตล์มากที่สุดของแบรนด์
และจากการเปิดตัว Xiaomi 11 Lite และ Mi 11 Lite 5G ไปเมื่อปีที่แล้ว กระแสตอบรับในด้าน Stylish ของตัวเครื่องก็ได้ผลตอบรับที่ดี มีผู้ใช้งานหลายคนนำตัวเครื่อง Xiaomi 11 Lite Series ไปเป็นส่วนหนึ่งของภาพถ่ายส่วนตัว จึงทำให้ทาง Xiaomi เดินหน้าแนวคิดนี้ต่อ พร้อมกับต่อยอดด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีให้ทันสมัย จนออกมาเป็น "Xiaomi 11 Lite 5G NE (The New Edition)" สมาร์ตโฟนที่โดดเด่นในเรื่องของงานออกแบบ และภายในที่อัดแน่นไปด้วยเทคโนโลยีล่าสุดของ Xiaomi
งานออกแบบ (Design)
แรกสัมผัสตัวเครื่องของ Xiaomi 11 Lite 5G NE เมื่อหยิบขึ้นมาจากกล่อง สิ่งแรกที่รู้สึกเลยคือ ความประหลาดใจกับน้ำหนักตัวเครื่องที่ "เบามาก" และขอบตัวเครื่องที่บางแบบรุ้สึกได้ ซึ่งตัวเครื่องมีน้ำหนักรวมเพียง 158 กรัม และความบางเพียง 6.81 มิลลิเมตรเท่านั้น ถ้าหากเทียบกับสมาร์ตโฟนที่วางจำหน่ายอยู่ในตอนนี้ เรื่องของความบางไม่มีใครที่จะบางไปกว่ารุ่นนี้แล้วล่ะครับ และพอพลิกดูรอบๆ ก็รู้สึกถึงความพรีเมี่ยมเบาๆ และความละมุ่นไปพร้อมกัน อาจเป็นเพราะสีตัวเครื่องที่ได้มาเป็นสีขาว SnowFlake White ด้วย เลยรู้สึกว่า มันช่างละมุ่นตาซะเหลือเกิน ซึ่งผมว่าคุณผู้หญิงเมื่อได้สัมผัสต้องชอบแน่นอน
ขนาดตัวเครื่อง : กว้าง 75.73 x สูง 160.53 x หนา 6.81 มิลลิเมตร | น้ำหนักตัวเครื่องรวม 158 กรัม
มาดูรอบตัวเครื่องของ Xiaomi 11 Lite 5G NE กันบ้าง เริ่มกันที่ด้านหน้าของตัวเครื่อง ด้านหน้าจะเป็นหน้าจอแสดงผลแบบ Flat หรือแบนราบ โดยใช้หน้าจอดีไซน์เอกลักษณ์ของ Xiaomi กับดีไซน์ Dot Display ส่วนตัวพาแนลหน้าจอจะเป็น AMOLED ขนาด 6.55 นิ้ว ความละเอียด 2400x1080 พิกเซล และมีคุณสมบัติรองรับ HDR10+, Dolby Vision HDR รวมถึงรองรับการแสดงสีสันด้วยขอบเขตสี 10-bit TrueColor และ DCI-P3
คุณสมบัติหน้าจอแสดงผลของ Xiaomi 11 Lite 5G NE
- Dolby Vision HDR10+ 2400x1080, 402 PPI
- Aspect ratio: 20:9
- 10-bit color depth Contrast ratio: 5,000,000:1 (typ)
- Color gamut: Supports sRGB 100% (typ)
- supports DCI-P3 color gamut
- Brightness: Normal 500nits (typ) / up to 800nits (High Brightness mode)
- Refresh rate: 60/90Hz
- Touch sampling rate: 240Hz
- TrueColor display: JNCD 0.32 Delta E 0.36
- Supports Sunlight mode 3.0
- Supports Reading Mode 3.0
- 360-degree ambient light sensors
- Corning Gorilla Glass 5
ในด้านของการสัมผัสและแตะสั่งการบนหน้าจอทำได้เนียนตา เนียนนิ้ว และติดมือมากๆ ลากนิ้วเบาๆ ก็ไปตามเลย ซึ่งตัวหน้าจอมีค่า Refresh rate 90Hz และ Touch Sampling rate 240Hz สำหรับ Refresh rate เราสามารถเลือกปรับค่าได้ระหว่าง 60Hz กับ 90Hz
ขยับขึ้นไปด้านบนตรงรอย Dot จะเป็นตำแหน่งของกล้องหน้าความละเอียด 20MP (F2.24) มีโหมดถ่ายภาพเซลฟี่กลางคืน และ AI Beauty ให้ รองรับการถ่ายวีดีโอที่ความละเอียดสูงสุด 1080P@60Fps
ด้านบนของตัวเครื่อง จะมีเซ็นเซอร์ Infrared สำหรับใช้งานร่วมกับแอปพลิเคชั่น Mi Remote ในการใช้สมาร์ตโฟนเป็นรีโมทคอนโทลในการสั่งการเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน ซึ่งฟีเจอร์นี้เป็นแรร์ฟีเจอร์เลยนะครับ เพราะปัจจุบันเหลือสมาร์ตโฟนที่ยังให้ความสามารถนี้มาน้อยมากๆ แล้ว
ด้านล่างของตัวเครื่อง จะเป็นตำแหน่งของช่องซิมการ์ด รองรับการใช้งานซิมการ์ดแบบ Hybrid slot ต้องเลือกใช้งานระหว่างซิมการ์ด 2 กับ MicroSD Card ถัดมาจะเป็นพอร์ต USB-C และลำโพงเสียงของตัวเครื่อง ซึ่งเป็นลำโพงคู่ทำงานร่วมกับลำโพงอีกตัวด้านบน
ด้านขวาของตัวเครื่อง มีปุ่มกดปรับระดับเสียงเพิ่ม-ลด (Volume) และปุ่มกดเปิด-ปิดตัวเครื่อง (Power) ซึ่งใช้งานเป็นแป้นสแกนนิ้วมือในตัวด้วย
ด้านหลังตัวเครื่อง มีเซ็นเซอร์กล้องถ่ายรูป รอบนี้ใช้เป็นกล้องแบบ Triple camera ที่ประกอบด้วยกล้องหลักความละเอียด 64MP (F1.79, Lens 6P), กล้องเลนส์มุมกว้างความละเอียด 8MP (F2.2, FOV119 องศา) และกล้อง TeleMacro ความละเอียด 5MP (F2.4, ระยะโฟกัส 3-5 เซนติเมตร) มีไฟแฟลช LED ให้ในตัว
อุปกรณ์ภายในกล่อง
- Xiaomi 11 Lite 5G NE
- เคสตัวเครื่องใสแบบ Soft case
- คู่มือการใช้งาน
- เข็มจิ้มซิม
- สายชาร์จ USB-C
- อแดปเตอร์รองรับชาร์จไว 33W
- ตัวแปลง USB-C to 3.5 mm.
ตัวเครื่องตอนใส่เคสใส (Soft Case) ที่แถมมาในกล่อง
รายละเอียดสเปกตัวเครื่องของ Xiaomi 11 Lite 5G NE
- หน้าจอแสดงผล AMOLED Dot Display ขนาด 6.55 นิ้ว ความละเอียด 2400x1080 พิกเซล (Refresh rate 90Hz, Touch Sampling rate 240Hz)
- CPU Octa-core Snapdragon 778G ความเร็ว 2.4GHz (รองรับ 5G, Dual 5G)
- GPU Adrano 642L
- RAM 6GB (LPDDR4x)
- ROM 128GB (UFS 2.2)
- รองรับ MicroSD Card สูงสุด 1TB
- Android OS 11 with MIUI 12.5
- กล้องถ่ายรูป Triple camera ประกอบด้วย
- กล้องหลักความละเอียด 64MP (F1.79)
- กล้องเลนส์ Ultra-wide angle ความละเอียด 8MP (F2.2, FOV 119 องศา)
- กล้อง Telemacro ความละเอียด 5MP (F2.4, Contrast AF (3cm-7cm))
- กล้องหน้าความละเอียด 20MP (F2.24)
- รองรับ WiFi 6
- รองรับ Bluetooth 5.2
- เชื่อมต่อผ่านพอร์ต USB-C
- ลำโพงเสียง Dual Speaker
- รองรับระบบสแกนนิ้วมือแบบด้านข้างตัวเครื่อง
- รองรับ Infrared และ NFC
- แบตเตอรี่ขนาดความจุ 4250mAh รองรับชาร์จไว 33W
Android OS 11 with MIUI 12.5 (Software)
ในส่วนของซอฟต์แวร์ Xiaomi 11 Lite 5G NE ทำงานบน Android OS 11 โดยใช้ส่วนยูสเซอร์อินเทอร์เฟซ (UI) ของ MIUI เวอร์ชั่น 12.5 ที่ออกแบบโดยเสียวมี่เอง ซึ่ง UI ในเวอร์ชั่นนี้ถูกออกแบบให้เป็นมิตรกับผู้ใช้งานมากขึ้น การจัดวางไอคอนและเมนูการใช้งานสามารถเข้าถึงได้ง่ายไม่ซับซ้อน และที่สำคัญเลยคือ เรื่องของ Ads ที่มักจะเป็นปัญหากวนใจให้กับผู้ใช้ MIUI นั้นแทบไม่มีเลยครับ เพราะในเวอร์ชั่นนี้เราสามารถเลือกเปิด-ปิด การอนุญาตตัว Ads บน UI ได้ตามต้องการเลย ดังนั้นถ้าเลือกปิดไว้ Ads ก็จะไม่ปรากฏบนเครื่องเลย
หน้าตาอินเทอร์เฟซของ MIUI 12.5 บน Xiaomi 11 Lite 5G NE
ในส่วนของประสบการณ์การใช้งาน MIUI 12.5 สำหรับตัวผมที่ไม่ได้กลับมาใช้สมาร์ตโฟนเสียวมี่นานเกือบปี รอบนี้พอได้กลับมารีวิวก็รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นหลายจุด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ Ads รบกวนที่หายไป, การออกแบบหน้าโฮมและไอคอนที่ดูทันสมัย ไปพร้อมกับความมินิมอล เรียบง่าย สบายตา, การใช้งานที่ลื่นไหลตัว UI ไม่กินทรัพยากรเครื่องหนักเหมือนเวอร์ชั่นก่อนๆ จนกระตุกหรือหน่วง และสุดท้ายคือเป็นมิตรกับผู้ใช้งานทั้งหน้าใหม่และหน้าเก่ากว่าก่อนเยอะมาก
ระบบสแกนลายนิ้วมือแบบ Side Scanner
Xiaomi 11 Lite 5G NE ใช้ระบบสแกนนิ้วมือเป็นระบบยืนยันตัวตนหลักบนตัวเครื่อง ซึ่งตัวแป้นสแกนนิ้วมือก็จะถูกติดตั้งอยู่ที่ด้านข้างขวาของตัวเครื่อง โดยใช้ร่วมกับปุ่มเปิด-ปิดตัวเครื่องหรือปุ่มพาวเวอร์ ส่วนการทำงานจริงก็ตอบสนองได้เร็วและแม่นยำครับ แตะปุ่มก็ปลดล็อคหน้าจอได้เลย นอกเหนือจากระบบสแกนนิ้วมือแล้วบนเครื่องก็จะมีระบบยืนยันตัวตนพื้นฐานอย่าง Pattern, Pin และ Password ที่ใช้เป็น 2 Step ในการยืนยันตัวตนร่วมกับสแกนนิ้วมือได้
"บาง เบา ลื่นไหล Stylish mobile" (Highlights)
Stylish Design - ดีไซน์สวยสะกดตา ขนาดบาง น้ำหนักเบา
สำหรับจุดเด่นของ Xiaomi 11 Lite 5G NE อย่างที่ผมได้เกริ่นไปในช่วงต้นครับว่า สมาร์ตโฟนรุ่นนี้มีจุดเด่นอยู่ที่เรื่องของ Design หรือ การออกแบบตัวเครื่อง โดยสัมผัสแรกที่ผมได้จับยอมรับเลยว่า สะกดตาสะกดใจผมพอสมควร ตัวเครื่องมีความบางและน้ำหนักเบามือมากๆ ประกอบกับงานออกแบบที่รอบนี้ผมได้ตัวเครื่องสีขาว Snowflake White สีใหม่ที่พึ่งมาประจำการบน Xiaomi 11 Lite 5G NE ด้วยแล้ว ยิ่งเพิ่มความละมุ่น ดูสะอาดตา ไปพร้อมๆ กับความรู้สึกพรีเมียมเบาๆ
โดยต้องชมทาง Xiaomi ที่ออกแบบตัวเครื่องให้มีน้ำหนักเบา ตัวเครื่องมีน้ำหนักรวมเพียง 158 กรัม และมีความบางเพียง 6.81 มิลลิเมตรเท่านั้น ซึ่งเป็นน้ำหนักและขนาดที่บางที่สุดในตลาดมือถือ ณ เวลานี้แล้วล่ะครับ และไม่ใช่แค่การออกแบบให้มีขอบด้านข้างที่บางเท่านั้น ทาง Xiaomi ยังลงรายละเอียดไปที่ขนาดของเลนส์กล้องด้านหลังด้วย เพราะตำแหน่งของโมดูลกล้องยื่นล้ำออกมาจากตัวเครื่องเพียง 1.77 มิลลิเมตรเท่านั้น
และเมื่อครอบด้วยตัวเลนส์กระจกก็จะมีขนาดรวมเพียง 1.88 มิลลิเมตร ทำให้เวลาวางลงบนโต๊ะแทบจะไม่เห็นอาการลอยของตัวเครื่องเลย แต่ด้วยความบางขนาดนี้เลยต้องยอมแลกกับช่องรูเสียบหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร ที่ถูกถอดออกไปในรุ่นนี้
นอกจากความบางและน้ำหนักเบาของตัวเครื่องแล้ว เรื่องของสีตัวเครื่องก็เป็นอีกจุดที่ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นเลยว่า สีตัวเครื่องของ Xiaomi 11 Lite 5G NE จะมีความพิเศษกว่าสมาร์ตโฟนรุ่นอื่นๆ ตรงเลือกใช้สีไปในโทน Stylish หรือสีออกแนวแพนโทนก็ว่าได้ เพื่อตอบรับกับคอนเซ็ปต์ของรุ่นนี้ที่เน้นการเป็นสมาร์ตโฟน "Own your Style" ที่สามารถเป็นส่วนหนึ่งของทุกๆ สไตล์ของเจ้าของเครื่องได้
Mi Remote
"Mi Remote" เป็นความสามารถที่บางคนอาจมองว่า มีมานานหลายปีแล้ว มีอะไรแปลกใหม่? แต่สำหรับส่วนตัวผมมองว่าเป็นฟีเจอร์ที่ดูง่ายๆ แต่มันมีประโยชน์มากๆ เลยนะครับ เพราะการมีฟีเจอร์นี้จะทำให้สมาร์ตโฟนของเรากลายเป็นรีโมทคอนโทล สามารถควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าหรืออุปกรณ์ไอทีต่างๆ ภายในบ้านได้เกือบทั้งหมด จบได้ด้วยสมาร์ตโฟนของเราเพียงเครื่องเดียว และลองคิดดูครับว่า ถ้าตอนนั้นรีโมทแอร์ของคุณถ่านหมดไม่มีถ่านสำรองไว้ และตอนนั้นก็ดึกมากแล้วที่จะออกไปซื้อ ฟีเจอร์นี้จะช่วยคุณได้ทันทีเลยนะ!
จอแสดงผลสีสันสมจริง ทัชลื่น สมูธทั้งสายตาและนิ้ว
หน้าจอแสดงผลของรุ่นนี้เป็นหน้าจอที่คุณภาพดีมากๆ แถมทาง Xiaomi ยังใส่เทคโนโลยีช่วยด้านการแสดงผลอย่าง Reading Mode 3.0 โหมดการอ่านหนังสือ ซึ่งโหมดนี้นอกจากจะเปลี่ยนโทนสีของหน้าจอให้เป็นโทนเหลือง เพื่อลดปริมาณการปล่อยแสงสีฟ้าที่เป็นอันตรายต่อดวงตาแล้ว ยังมีลูกเล่น "โหมดกระดาษ" ด้วย โดยที่โหมดนี้ตัวระบบจะเพิ่มพื้นหลังของสิ่งที่เราอ่านอยู่ให้ชัดขึ้นเหมือนเวลาเราอ่านบนกระดาษ ทำให้ลดอาการล้าของดวงตาจากการเพ่งเป็นเวลาได้ ซึ่งส่วนตัวผมชอบโหมดนี้มากๆ เลยล่ะครับ ช่วยทำให้เราอ่านข้อความต่างๆ บนหน้าจอได้ง่ายและสบายตาขึ้นพอสมควร
ส่วนอีกโหมดคือ Sunlight mode เป็นโหมดช่วยปรับความสว่างของหน้าจอตามสภาพแสงรอบตัวของเจ้าของทำให้สามารถใช้งานหน้าจอได้ต่อเนื่อง โดยจะทำงานร่วมกับฮาร์ดแวร์ 360 ambient lights sensor เซ็นเซอร์ตรวจวัดแสงแบบรอบทิศทาง 360 องศา ทำให้ตัวเครื่องสามารถวิเคราะห์การใช้งานของแสงบนหน้าจอเทียบกับสภาพแวดล้อมได้แม่นยำ
นอกจากสองโหมดสำหรับการอ่านแล้ว จอแสดงผลของ Xiaomi 11 Lite 5G NE ยังมีคุณสมบัติ Dolby Vision, HDR10+, 10 bit Color Depth, TrueColor Technology และ DCI-P3 Color Gamut ซึ่งทุกตัวเป็นคุณสมบัติที่เข้ามาช่วยยกระดับการรับชมคอนเทนท์ต่างๆ ผ่านการแสดงผลบนหน้าจอให้ได้อรรถรสในการรับชมยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ตัวหน้าจอก็ยังมีคุณสมบัติ Refresh rate 90Hz และ Touch Sampling rate 240Hz ทำให้เวลาเราทัชสกรีนเพื่อปัดหน้าจอหรือเลื่อนดูคอนเทนท์ต่างๆ โดยสองตัวนี้ก็จะเข้ามาช่วยเพิ่มประสบการณ์ทั้งในด้านการรับชมคอนเทนท์ และการเล่นเกมให้สนุกและอินไปกับคอนเทนท์นั้นๆ ได้มาก ดังนั้นทั้งการรับชมคอนเทนท์หรือเล่นเกมผ่านหน้าจอบนตัวเครื่อง บอกได้เลยว่าเต็มอิ่มกับความสมจริงและคมชัดได้แน่นอน
5G Technology - รองรับ 5G ในไทยตั้งแต่แกะกล่อง
Xiaomi 11 Lite 5G NE เป็นสมาร์ตโฟนที่รองรับการใช้งานเครือข่าย 5G ในไทยตั้งแต่แกะกล่องเลยครับ โดยสเปกด้านฮาร์ดแวร์จะทำงานด้วยชิปโมเด็ม Qualcomm X53 Modem-RF รองรับคลื่น 5G ทั้งแบบ mmWave และ Sub-6 รองรับเครือข่าย 5G ได้ทั้งแบบ Stand Alone และ Non-Stand Alone และสามารถใช้งานเครือข่าย 5G ในทั้งซิมการ์ด 1 และ ซิมการ์ด 2 (Dual 5G) เลยครับ โดยสามารถทำความเร็ว Download Speed ได้สูงสุดที่ 3.7Gbps และ Upload speed สูงสุด 2.9 Gbps.
ซึ่งจากที่ลองใช้งานเครือข่าย 5G บนสัญญาณของ AIS ตัวเครื่องสามารถจับสัญญาณเครือข่าย 5G ได้เร็วและนิ่ง มีอาการหลุดไม่บ่อย และสามารถใช้ความเร็วได้ประมาณ 600-800 Mbps. (แพ็กเกจ 1Gbps.) ก็ถือว่าทำได้ดีเยี่ยมแล้วล่ะครับ
การใช้งาน - ประสิทธิภาพการประมวลผล (Usage-Performance)
Performance - ประสิทธิภาพการใช้งาน
สำหรับประสิทธิภาพการทำงานบนตัวเครื่อง ซึ่งในภาคของฮาร์ดแวร์ด้านการประมวลผล Xiaomi 11 Lite 5G NE ประมวลผลการทำงานด้วยชิปประมวลผล Octa-core Snapdragon 778 5G ความเร็ว 2.4GHz ซึ่งเป็นชิประดับรองท็อปของค่าย Qualcomm เค้าเลย ชิปตัวนี้ใช้สถาปัตยกรรม Kyro 670 | 6nm. รองรับการประมวลผลด้วยชุดคำสั่งได้สูงสุด 12 TOPS และมีคุณสมบัติ Snapdragon Elite Gaming สำหรับการประมวลผลด้านเกมด้วย ซึ่งตัวชิปทำงานร่วมกับ RAM 6G (LPDDR4x) และ ROM UFS 2.2 มี GPU เป็น Adreno 642L
จากที่ผมได้ลองใช้งานในระดับทั่วไปอย่าง ดูหนัง, ฟังเพลง, เล่นโซเชี่ยล ฯลฯ ไปจนถึงการใช้งานหนักขึ้นมาหน่อยอย่างการเล่นเกมที่ใช้กราฟฟิกระดับสูง และการตัดต่อคลิปวีดีโอสั้นและเรนเดอร์ไฟล์คลิปออกมา ผลลัพธ์ที่ได้ออกมาส่วนตัวผมว่าทำได้ดีมากๆ เลยล่ะครับ ตัวเครื่องสามารถตอบสนองต่อการทำงานในส่วนต่างๆ ได้ดีเยี่ยม ด้านปัญหาหรือข้อผิดพลาดทั้งจากซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ก็มีให้เห็นน้อยมากๆ
ดังนั้นในภาพรวมของการใช้งานทั่วไปไปจนถึงระดับแอดวานซ์ ผมยืนยันได้เลยว่า Xiaomi 11 Lite 5G NE ตัวนี้ตอบสนองได้หมดทุกกระบวนท่า และทำได้ดีมากๆ ด้วย ให้ประสบการณ์การใช้งานที่ส่วนตัวรู้สึกว่าสามารถเทียบเคียงกับการใช้สมาร์ตโฟนในกลุ่มเรือธงเลยก็ว่าได้
Games - การเล่นเกม
เรื่องของการใช้งานทั่วไปจบไป มาต่อกันที่ส่วนของ " การเล่นเกม" กันบ้างครับ ในด้านของการเล่นเกมที่ต้องการทรัพยากรบนตัวเครื่องระดับสูง รวมถึงประสิทธิภาพระดับสูงจากฮาร์ดแวร์ด้วยนั้น จากที่ผมได้ลองทดสอบกับเกมแนว Open world อย่าง MIR4, Genshin Impact รวมถึงเกมแนว MOBA อย่าง ROV, LOL ตัวเครื่องก็สามารถตอบสนอง และรีดเค้นประสิทธิภาพออกมาได้ดีมากๆ การประมวลผลกราฟฟิกฉากและสภาพแวดล้อมภายในเกมทำได้ดีมากๆ ภาพกราฟฟิกต่างๆ คม เรนเดอร์ฉากหรือตัวละครได้เร็ว ซึ่งทุกเกมผมทดสอบด้วยการปรับการตั้งค่ากราฟฟิกไปที่ระดับสูงสุดทุกเกม ส่วนการทัชหรือการลากเคอเซอร์ตัวละคร การแตะปุ่มสกิล, ไอเท็มภายในเกมก็ตอบสนองได้ไวทันใจ ไม่ต้องลากซ้ำบ่อยๆ
และยิ่งได้หน้าจอแสดงผลระดับ 90Hz รวมถึงคุณสมบัติ TrueColor ด้วยยิ่งเพิ่มอรรถรสในการเล่นเกมได้มากขึ้น นอกจากนี้บนตัวเครื่องยังใส่โหมดเล่นเกมอย่างเกม Game Turbo มาให้ด้วยนะครับ โดยโหมดนี้จะช่วยในเรื่องของการจัดการทรัพยากรทั้งก่อนและระหว่างเล่นเกมให้มีความเหมาะสมมากที่สุด ซึ่งเราสามารถจัดการด้วยตัวเองหรือเปิดให้ระบบจัดการให้แบบอัตโนมัติก็ได้
แต่ในส่วนของเสียง น่าจะเป็นสิ่งเดียวที่ส่วนตัวรู้สึกว่ายังไม่โอเคเท่าไรนัก เพราะรู้สึกลำโพงคู่ของเครื่องยังให้พลังเสียงที่ไม่มากนัก ทำให้เราต้องเพิ่มระดับเสียงอยู่ที่ประมาณ 70-80% ถึงจะดังในระดับปกติ ซึ่งก็เข้าใจว่าด้วยขนาดตัวเครื่องที่บาง ดังนั้นจึงน่าจะไม่สามารถยัดอะไรเข้ามาได้มากนัก แต่ปัญหาก็แก้ได้ด้วยการใช้งานร่วมกับหูฟัง แถมบนตัวเครื่องยังมีระบบ Adaptive Sound ให้ด้วย โดยตัวซอฟต์แวร์สามารถปรับแต่งค่าเสียงให้เหมาะกับกิจกรรมที่เราทำอยู่บนเครื่องได้อัตโนมัติ หรือเราจะเลือกปรับเองก็ได้ มีให้เลือกด้วยกัน 4 โปรไฟล์ คือ อัตโนมัติ, เพลง, วีดีโอ และเสียง
แรงไม่แรง! เปิดเกมหนักสองเกมพร้อมกันได้ด้วยนะ
ส่วนเรื่องของความร้อนที่เกิดจากการเล่นเกมต่อเนื่องระยะเวลานาน ในส่วนนี้บน Xiaomi 11 Lite 5G NE ยังคงรับรู้ได้ถึงความอุ่นไปจนถึงร้อนหน่อยๆ เมื่อเล่นเกมต่อเนื่องเป็นเวลานาน เพราะถึงแม้ตัวชิปประมวลผลจะจัดการมาดี ทำให้ความร้อนเกิดขึ้นช้า และมีเทคโนโลยี Heat Pipe มาให้บนตัวเครื่องด้วย แต่จากที่ผมลองเล่นเกมติดต่อกัน 2 ชั่วโมงขึ้นไป บริเวณพื้นผิวของฝาหลังตัวเครื่องจะเริ่มรู้สึกอุ่นๆ พร้อมกับหน้าจอแสดงผลที่เริ่มรู้สึกอุ่นด้วยเช่นกัน แต่ยังสามารถเล่นต่อไปได้ ยังไม่ถึงขั้นร้อนจนถือเล่นไม่ไหว อย่างไรก็ตามเราก็ต้องเข้าใจล่ะครับว่า เขาไม่ใช่มือถือสายเกมมิ่งจ้าๆ อะไรแบบนั้น ซึ่งส่วนตัวมองว่าตัวเครื่องจัดการความร้อนได้ดีมากๆ แล้วล่ะครับ ใครที่ชอบเล่นเกมติดต่อกันสัก 2-3 ชั่วโมง ผมว่าเล่นได้สบายๆ นะ
โหมด Game Turbo
ผลการทดสอบประสิทธิภาพการทำงานด้วยคะแนน Benchmark
- ทดสอบประสิทธิภาพการทำงานด้วย Antutu Benchmark ได้คะแนนทดสอบ 497,609 คะแนน
- ทดสอบประสิทธิภาพการเขียน-อ่าน หน่วยความจำ (ROM, UFS 2.2) ได้ค่าการอ่าน 986.95 MB/s และค่าการเขียน 722.54 MB/s
- ทดสอบประสิทธิภาพทำงานของ CPU ด้วย Geekbench ได้คะแนนการทำงาน Single core 773 คะแนน และแบบ Multi-core 2461 คะแนน
- ทดสอบการรองรับการแสดงผล High Definition บนสตรีมมิ่ง VDO (Netflix) ผลเป็น Security Level L1 (รองรับการแสดงผล)
- ทดสอบการจับสัญญาณดาวเทียมอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน
แบตเตอรี่พอใช้ในหนึ่งวัน มีชาร์จไว 33W (Battery)
ในเรื่องของพลังงานบนตัวเครื่องกันบ้างครับ จากที่มีเวลาทดลองใช้งานตัวเครื่องอยู่ 4 วัน ส่วนตัวมองว่า เรื่องของแบตเตอรี่ยังไม่ใช่จุดเด่นของรุ่นนี้เท่าไรนัก เพราะถือว่าทำได้ตามมาตรฐานของสมาร์ตโฟนทั่วไปเลย ซึ่งถ้าหากเลือกปรับ refresh rate 60Hz และใช้งานทั่วไปเช่น ฟังเพลงออนไลน์, เล่นเกมบางฆ่าเวลา และเล่นโซเชียล จากแบตเตอรี่เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ในตอนเช้า ประมาณหัวค่ำสักหกโมงเย็นหรือหนึ่งทุ่ม แบตเตอรี่ก็จะขึ้นแจ้งเตือนสีแดง 10% แล้วล่ะครับ และถ้าหากปรับ refresh rate เป็น 90Hz พร้อมกับใช้งาน 5G บ่อยๆ ด้วยแล้ว แนะนำให้พกพาวเวอร์แบงค์ติดตัวไว้ด้วยจะดีกว่า
ส่วนการชาร์จพลังงานกลับเข้าตัวเครื่อง Xiaomi ได้ใส่เทคโนโลยีชาร์จไว 33W มาให้ด้วย ซึ่งจากที่ผมลองชาร์จไฟเปรียบเทียบกันดูจาก 1% - 100% เฉลี่ยเวลาออกมาจะอยู่ที่ประมาณ 50 นาที - 1 ชั่วโมงนิดๆ ก็ถือว่าเร็วอยู่นะ โดยในกล่องจะให้อแดปเตอร์ชาร์จไว 33W มาเลย ไม่ต้องไปซื่อใหม่
"ถ่ายสนุก คุณภาพดี ตอบรับไลฟ์สไตล์ Vlog" (Camera)
กล้องถ่ายรูปของ Xiaomi 11 Lite 5G NE รอบนี้ เลือกใช้เป็นกล้อง Triple camera พร้อมไฟแฟลช LED โดยตัวกล้องทั้ง 3 จะประกอบด้วย กล้องหลักความละเอียด 64MP (F1.79) ขนาดเซ็นเซอร์ 1/1.97" ตัวเลนส์ใช้กระจกเลนส์ครอบทับแบบ 6P และใช้ชิปประมวลผลการถ่ายภาพเป็น ISP Spectra 570L ถัดมาที่กล้องตัวที่สองจะเป็นกล้องเลนส์มุมกว้าง (Ultra-wide angle) ความละเอียด 8MP (F2.2) มีค่า FOV อยู่ที่ 119 องศา และมีซอฟต์แวร์ลดการบิดเบี้ยวของขอบเลนส์มาให้เลือกใช้ ส่วนกล้องตัวสุดท้ายเป็นกล้อง TeleMacro ความละเอียด 5MP (F2.4) สามารถถ่ายวัตถุระยะใกล้ได้ที่ระยะ 3-7 เซนติเมตร
สำหรับกล้องของ Xiaomi 11 Lite 5G NE ตัวซอฟต์แวร์กล้องจะมีเทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยเรื่องของการประมวลผล Scenario ในการถ่ายให้ด้วย รวมทั้งยังมีลูกเล่นต่างๆ ที่ผมรู้สึกว่าเราแทบจะไม่ต้องไปตกแต่งภาพเพิ่มเติมจากในแอปฯ อื่นภายหลังเลย สามารถจบได้ที่หน้ากล้อง เพราะบนตัวเครื่องมีลูกเล่นมาให้ครบมือมากๆ ไม่ว่าจะเป็นฟิลเตอร์แต่งโทนสีของภาพ, ฟิลเตอร์สีสำหรับย้อมทำเฉดสีภาพให้ดูอาร์ต, การถ่ายภาพไฟล์ RAW, การปรับเบลอพื้นหลังของภาพ ซึ่งเราสามารถเลือกปรับได้ทั้งแบบสำเร็จรูปเหมือนใน IG หรือจะปรับด้วยค่า F เองก็ทำได้นะ หรือจะเป็นโหมดการถ่ายภาพแบบ Cinematic ก็ใส่มาให้เหมือนกัน เป็นกล้องที่มีลูกเล่นที่ยกเอาฟีเจอร์แต่งภาพเด่นๆ จากแอปฯ ต่างๆ มารวมไว้ให้จบในที่เดียว
หน้าอินเทอร์เฟซและเมนูใช้งานกล้องถ่ายรูป Xiaomi 11 Lite 5G NE
การถ่ายภาพด้วยกล้องของ Xiaomi 11 Lite 5G NE เป็นอะไรที่ไม่ยากเลยครับ เพราะอย่างที่เกริ่นไปว่า ซอฟต์แวร์กล้องบนเครื่องจะมีระบบ AI เข้ามาช่วยวิเคราะห์และนำเสนอรูปแบบการถ่ายภาพตามสถานการณ์ต่างๆ ให้อัตโนมัติ ซึ่งช่วยให้เราสามารถถ่ายภาพได้ง่ายยิ่งขึ้น เพียงแค่กดชัตเตอร์เท่านั้น รวมทั้งยังมีลูกเล่นและโหมดถ่ายภาพต่างๆ ที่ทาง Xiaomi ใส่เข้ามาให้ด้วย เราเลยสามารถที่จะปรับแต่งหรือว่า Mood Tone ของภาพก่อนถ่ายได้ง่ายเลย และพอตัวกล้องมีลูกเล่นที่ครบเครื่องแบบนี้ ก็ยิ่งทำให้เราถ่ายภาพได้สนุกและหลากลายมากขึ้น ไปได้ทุกที่ทุกสถานการณ์เลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะใครที่เป็นสาย Creator content ด้วยแล้ว ผมว่ากล้องตัวนี้ตอบรับความต้องการของคุณได้ครบเครื่องมากๆ
ส่วนผลงานภาพหลังกล้องเป็นอย่างไร? ส่วนตัวจากที่นำไปใช้ถ่ายงานรีวิวในครั้งนี้ก็รู้สึกประทับใจมากๆ ถึงขนาดที่น้องนางแบบที่ไปด้วยก็ยังชมว่าเป็นกล้องที่คุณภาพดีมาก ตัวกล้องเก็บรายละเอียดของวัตถุต่างๆ ในภาพได้คมชัด การควบคุมสีสันและแสงของภาพถือว่าทำได้ดี รวมไปถึงความไวในการจับโฟกัสภาพก็ทำได้เร็ว ทำให้ผมรู้สึกว่า ประสบการณ์การใช้งานการถ่ายภาพจากกล้องของ Xiaomi 11 Lite 5G NE เป็นอะไรที่ดีเยี่ยมมากๆ เลยล่ะครับ ลองไปชมภาพตัวอย่างจากกล้องรุ่นนี้ด้านล่างกันครับ
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้อง Xiaomi 11 Lite 5G NE
Ultra wide angle - ภาพมุมกว้าง
การถ่ายภาพมุมกว้างบน Xiaomi 11 Lite 5G NE ตัวกล้องจะสามารถให้องศาการมองหรือ FOV ได้กว้าง 119 องศา และมีซอฟต์แวร์ลดการบิดเบี้ยวของขอบภาพจากเลนส์มุมกว้างมาให้ด้วย ซึ่งถ้าใครชอบแนวภาพ Fish eye ก็สามารถเลือกปิดได้นะครับ ส่วนผลงานของกล้องมุมกว้างตัวนี้ถือว่าทำได้สวยเลยทีเดียว
- ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องมุมกว้าง
Cinematic mode - เอฟเฟ็กต์ภาพยนตร์
เป็นโหมดถ่ายภาพที่ใช้การปรับสัดส่วนของภาพให้เหลือ 16 : 9 เพื่อให้รู้สึกเหมือนภาพที่มาจากภาพยนตร์นั่นเอง ก็ได้อรรถรสในการถ่ายภาพและดูภาพมากขึ้นด้วย ซึ่งถ้าหากใช้งานร่วมกับฟิลเตอร์สีบนตัวเครื่อง พร้อมกับไอเดียมุมภาพของคนถ่ายด้วยแล้ว ผมว่าช่วยยกระดับอารมณ์ของภาพได้เลยล่ะ
- ภาพตัวอย่างจากโหมด Cinematic Mode
Portrait - ภาพบุคคล
การถ่ายภาพบุคคลหรือภาพแนว Portrait ด้วยฟีเจอร์โหมดถ่ายภาพ "Portrait" บนกล้องของ Xiaomi 11 Lite 5G NE จัดว่าทำได้ดีที่เดียว การละลายพื้นหลังมีการกินเส้นผมหรือเส้นภาพน้อยมากๆ และตัว AI มีความแม่นยำในการประมวลผลว่าตัวบุคคลอยู่ตำแหน่งไหน จึงทำให้ภาพถ่ายที่ได้ออกมาดูสวย และพื้นหลังละลายเป็น Bokeh ได้ค่อนข้างเนียนไม่ออกมาเหมือนภาพปะติด นอกจากนี้เรายังสามารถเลือกปรับระดับค่า F หรือค่ารูรับแสงของกล้องเองได้ด้วย ทำให้เราควบคุมระดับการละลายพื้นหลังด้วยตนเองได้นั่นเอง ชอบเลยล่ะ!
Night mode - ภาพกลางคืน
โหมดถ่ายภาพกลางคืนบน Xiaomi 11 Lite 5G NE เราสามารถเปิดใช้งานร่วมกับการถ่ายภาพจากกล้องหลัก หรือกล้องมุมกว้างได้ทั้งคู่เลยนะครับ ทำให้มีความยืดหยุ่นในการใช้งานพอสมควร นอกจากนี้ยังมีลูกเล่นการถ่ายภาพที่ใช้การเปิดหน้ากล้องนาน เพื่อให้ได้ภาพแสงไฟเป็นเส้นๆ ตามรูปแบบต่างๆ ของฟีเจอร์ได้ด้วย
- ภาพตัวอย่างโหมดถ่ายภาพกลางคืน
64MP HD - โหมดถ่ายภาพความละเอียดสูง
สำหรับโหมดถ่ายภาพความละเอียดสูง 64MP ตัวกล้องเก็บรายละเอียดของภาพได้คมพอสมควรเลยนะครับ ดูได้จากภาพด้านล่าง จะเห็นว่ารายละเอียดของข้อความจากป้ายยังคงชัดและอ่านได้ ไม่ละลายเป็นวุ้น
TeleMacro - ภาพถ่ายระยะใกล้วัตถุ
โหมดถ่ายภาพใกล้วัตถุ ซึ่งตัวเลนส์มีระยะการจับโฟกัสภาพอยู่ที่ประมาณ 3-7 เซนติเมตร ซึ่งตอนถ่ายจำเป็นต้องมือนิ่งมากๆ เพราะหากมีการสั่นหรือขยับเพียงนิดเดียวไม่ว่าจะจากวัตถุหรือมือของคนถ่าย ภาพจะเบลอทันที ลองไปชมภาพตัวอย่างจากโหมดนี้กันครับ
- ภาพถ่ายตัวอย่างจากโหมดมาโคร
ลูกเล่นฟิลเตอร์สีและการเบลอพื้นหลัง
ตัวอย่างภาพถ่ายด้วยฟิลเตอร์สีบนกล้อง Xiaomi 11 Lite 5G NE
Zoom - การซูมภาพ
การถ่ายวีดีโอ - VDO
การถ่ายวีดีโอบน Xiaomi 11 Lite 5G NE เป็นอะไรที่สนุกมากๆ เพราะว่ามีลูกเล่นการถ่ายวีดีโอที่เยอะมากๆ และลูกเล่นเกือบทั้งหมดที่ถูกใส่มา ก็ถูกออกแบบมาให้ใช้งานสำหรับเจ้าของสาย Vlog อย่างแท้จริง ถ้าใครที่ชอบเดินทางท่องเที่ยวและชอบถ่ายวีดีโอตลอดการเดินทาง ผมขอยืนยันเลยว่าคุณต้องชอบลูกเล่นบนกล้องรุ่นนี้อย่างแน่นอน ส่วนด้านฮาร์ดแวร์ตัวกล้องจะรองรับการถ่ายภาพวีดีโอได้ที่ความละเอียดสูงสุด 4K@30fps. และมีระบบกันสั่นมาให้ด้วย เพียงแต่ถ้าเปิดกันสั่นแล้วตัวกล้องจะถูกล็อคความละเอียดไว้ FullHD@30Fps. นะครับ ส่วนผลงานของไฟล์วีดีโอลองไปชมจากคลิปตัวอย่างด้านล่างได้เลยครับ
คุณสมบัติการถ่ายวีดีโอ
- 4K : 30fps.
- FullHD : 30fps 1080p, 60fps 1080p
- HD : 30fps 720p
- Slow motion video: 30fps @ 720P, 120fps @ 1080P
- โหมดถ่ายภาพวีดีโอ : One-click AI cinema, 8 cinematic video filters, Time-lapse video
ตัวอย่างวีดีโอที่ถ่ายจากกล้อง Xiaomi 11 Lite 5G NE
กล้องหน้าความละเอียดสูง 20MP
ในส่วนของกล้องหน้า Xiaomi 11 Lite 5G NE มาพร้อมกล้องหน้าความละเอียดสูง 20MP (F2.24) ซึ่งตัวกล้องรองรับการบันทึกวีดีโอได้สูงสุดที่ 1080P@60Fps. พร้อมกับมีซอฟต์แวร์โหมดถ่ายภาพเซลฟี่มาให้ครบเครื่องมากๆ ไม่ว่าจะเป็น ฟิลเตอร์สี, ฟิลเตอร์ฟรุ๊งฟริ๊ง, หน้าเรียว, ผิวเนียน และอื่นๆ ใส่มาครบถ้วนและแน่นมาก นอกจากนี้ยังมีระบบ AI และการตั้งค่ายกมือ เพื่อให้ตัวกล้องถ่ายให้อัตโนมัติด้วย สำหรับคุณภาพของภาพเซลฟี่ที่ได้ ผมว่าสวยกำลังดี ดูเป็นธรรมชาติ ลองไปชมภาพตัวอย่างจากกล้องหน้าพร้อมกันครับ
ภาพตัวอย่างจากกล้องหน้า 20MP บน Xiaomi 11 Lite 5G NE
บทสรุป (Conclusion)
มาถึงบทสรุปกันแล้วนะครับ สำหรับตัวผมที่ได้ทดสอบและใช้งาน Xiaomi 11 Lite 5G NE แบบจริงจังเป็นเวลา 3 วัน ก็พอจะบอกได้เลยว่า เป็นสมาร์ตโฟนที่ไม่ธรรมดาจริงๆ ผิดกับตอนแรกที่ตัวเองคาดการณ์ไว้ว่าน่าจะเป็นสมาร์ตโฟนที่ขายเรื่องของดีไซน์เพียงอย่างเดียว แต่ที่ไหนได้พอใช้งานจริงกลับรู้สึกว่าในด้านของประสิทธิภาพและกล้องถ่ายรูปพี่เขาก็ไม่ธรรมดาด้วยเช่นกัน และคิดว่าเป็นสมาร์ตโฟนที่หลายคนมองข้ามมากๆ ทั้งๆ ที่เป็นอีกรุ่นของ Xiaomi 11 Series ที่น่าซื้อมากๆ เพราะเชื่อเลยว่า ตอนเปิดตัวสายตาทุกคู่ส่วนมากจะจับจ้องไปที่พี่ใหญ่อย่าง Xiaomi Mi 11T Pro อย่างแน่นอน
แต่หากคุณได้ลองสัมผัสและลองเปิดใจมองน้องเล็กหน้าตาดีรุ่นนี้ดู จะรู้สึกเลยว่ารุ่นนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ ไล่มาตั้งแต่งานออกแบบที่สวยงาม ละมุ่น บางเบา ไปจนถึงการมาพร้อมกับฮาร์ดแวร์คุณภาพทั้งชิปประมวผล, กล้องถ่ายรูป ทุกอย่างคือตัวเครื่องทำออกมาได้ยอดเยี่ยมมากๆ โดยเฉพาะคุณผู้หญิงผมเชื่อเลยว่า ถ้าหากได้เปิดใจและลองสัมผัสลองเล่นแล้วจะหลงรักแน่นอน ซึ่งถ้าให้ผมเปรียบเปรยก็คงจะบอกว่า สมาร์ตโฟนรุ่นนี้คือ "Ultrabook" ในแบบฉบับของสมาร์ตโฟนก็ว่าได้ครับ
เพราะเป็นสมาร์ตโฟนที่มีจุดเด่นในเรื่องดีไซน์ที่ทาง Xiaomi ออกแบบมาได้สวย บางเบา พกพาสะดวก พร้อมกับการมีฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่ทันสมัย และให้ประสิทธิภาพระดับสูง ตอบสนองต่อการทำงานได้ตั้งแต่พื้นฐานไปจนถึงระดับสูงได้ ซึ่งก็เหมือนกับ Notebook สาย Ultrabook ที่มีจุดขายเช่นเดียวกัน ดังนั้นถ้าใครชอบคอนเซ็ปต์แบบนี้อยู่แล้ว ก็ไม่ควรพลาดทุกประการ
แต่ Xiaomi 11 Lite 5G NE ตัวนี้ก็ยังมีบางจุดที่ขาดหายไปอยู่เช่นกันนะครับ เท่าที่ผมเจอก็ประกอบด้วย เรื่องของลำโพงที่รู้สึกว่าพลังน้อยไปหน่อย เลยขับเสียงออกมาไม่ดังดั่งใจคิดเท่าไรนัก, การขาดหายไปของพอร์ตรูหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร ที่ถึงแม้ในกล่องจะมีตัวแปลงมาให้ ก็ไม่สะดวกต่อการใช้งาน แต่ถ้าใครใช้หูฟังไร้สายอยู่แล้วก็ไม่มีปัญหา สุดท้ายก็คือเรื่องของชาร์จไร้สายที่ตัวเครื่องไม่รองรับนั่นเอง
การวางจำหน่ายและโปรโมชั่น (Price & Promotion)
Xiaomi ประเทศไทย จะวางจำหน่าย Xiaomi 11 Lite 5G NE ด้วยกันทั้งหมด 4 สี คือ สีขาว Snowflake White เครื่องที่ใช้รีวิวในครั้งนี้, สีดำ Truffle Black, สีน้ำเงิน Bubblegum Blue และสีส้มชมพู Peach Pink โดยจะมีรุ่นวางจำหน่ายด้วยกันทั้งหมด 3 รุ่น ประกอบด้วย
- Xiaomi 11 lite 5G NE รุ่น RAM 6GB | ROM 128 GB ราคา 10,990 บาท (ขายผ่านออนไลน์เท่านั้น)
- Xiaomi 11 lite 5G NE รุ่น RAM 8 GB | ROM 128 GB ราคา 11,990 บาท
- Xiaomi 11 lite 5G NE รุ่น RAM 8 GB | ROM 256 GB ราคา 13,990 บาท (ขายผ่านออนไลน์เท่านั้น)
สำหรับลูกค้าที่พรีออเดอร์ตั้งแต่วันที่ 23 กันยายน - 1 ตุลาคม 2564 รับ Special Designer Boxset ที่ออกแบบโดยคุณ ยูน ปัณพัท เตชเมธากุล ซึ่งภายในกล่อง Boxset จะประกอบด้วย เคสตัวเครื่อง Xiaomi 11 Lite 5G NE ลวดลายพิเศษ, หูฟังไร้สาย Mi Truewireless Earphone Basic 2 และเคสหูฟังไร้สาย Mi Truewireless Earphone Basic 2 มูลค่ารวม 2,990 บาท