สถานการณ์โควิด-19 ตลอดช่วงสองปีที่ผ่านมา ส่งผลให้วิถีการทำงานและการเรียนของเราเปลี่ยนไปมาก จากเดิมออกไปใช้ชีวิตข้างนอก มาเป็นการทำงานอยู่ที่บ้านหรือ Work from Home ทำให้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ สมาร์ทดีไวซ์ และเครือข่ายออนไลน์จึงกลายเป็นตัวช่วยที่จำเป็นในชีวิตประจำวันมากขึ้น จนเร็ว ๆ นี้เกิดกระแส "จัดโต๊ะคอมฯ" จากการที่หลายคนพยายามจัดวางคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้เป็นมุมส่วนตัวในบ้านเพื่อความสะดวก สบายตา และผ่อนคลายสำหรับการทำงานหรือเรียนออนไลน์ภายใต้สภาวะเช่นนี้
จอมอนิเตอร์ หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า จอคอมฯ ก็เป็นอีกอุปกรณ์หนึ่งที่กำลังได้รับความสนใจไม่น้อย เนื่องจากหลายคนหันมาใช้คอมพิวเตอร์ PC หรือคอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะกันมากขึ้น ผู้ใช้โน้ตบุ๊กเองก็อยากจะขยับขยายต่อจอภาพเพิ่มเติมเพื่อให้สะดวกต่อการใช้งานหรือเล่นเกม ซึ่งจอมอนิเตอร์ในท้องตลาดก็มีให้เลือกด้วยกันหลากหลาย ทั้งรูปแบบ ขนาด และนวัตกรรมที่มากับจอ เชื่อว่าคำถามของใครหลาย ๆ คนตอนนี้คือ "แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าจอมอนิเตอร์แบบไหนที่เหมาะกับเรา"
ก่อนจะไปทางไหน เรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่าจอมอนิเตอร์ หรือจอคอมพิวเตอร์ที่ว่านี้ เป็นอุปกรณ์เสริมอย่างหนึ่งของคอมพิวเตอร์หรือที่เรียกกันว่า Gadget ใช้สำหรับการแสดงผลภาพจากคอมพิวเตอร์หรือโน้ตบุ๊กที่เราใช้สั่งการ (หรือในบางรุ่นก็มีการให้เสียงผ่านลำโพงในตัวด้วย) ฉะนั้นใจความหลักของการเลือกซื้อจอมอนิเตอร์ จึงไม่ใช่การมองหาหน้าจอที่คุณภาพสูงที่สุด แต่เป็นการมองหาหน้าจอที่เหมาะกับสิ่งที่เราจะนำไปใช้งานมากที่สุดต่างหาก
เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว อันดับแรกเราก็ต้องปักหมุดให้ได้ก่อนว่า "เราจะซื้อจอมอนิเตอร์ตัวนี้ไปใช้กับงานประเภทไหน" อาทิ ใช้สำหรับงานภาพ, กราฟฟิก หรือตัดต่อวิดีโอ ใช้สำหรับเล่นเกมเป็นหลัก ใช้สำหรับทำงานทั่วไปที่บ้าน ใช้สำหรับทำงานในออฟฟิศ หรือจะใช้งานแบบเหมารวมอย่างละนิดอย่างละหน่อย เป็นต้น ซึ่งหมุดนี้จะกลายเป็นตัวช่วยให้เราสามารถเลือกสเปกจอมอนิเตอร์ได้ง่ายขึ้นและตอบโจทย์เรามากที่สุด
มาถึงตรงนี้ คิดว่าทุกคนคงปักหมุดให้ตัวเองเรียบร้อยแล้ว สำหรับใครที่เคยมองหาจอมอนิเตอร์มาก่อนอาจจะพอคุ้นเคยกับแนวทางและศัพท์แสงมาบ้าง แต่สำหรับมือใหม่ก็อาจจะยากอยู่สักหน่อยในช่วงเริ่มต้น แต่ไม่ต้องห่วงค่ะ วันนี้โมบายกูรูมีเคล็ดลับง่าย ๆ 5 ข้อที่ควรรู้ ในการเลือกซื้อหน้าจอมอนิเตอร์ตามแบบฉบับมือโปร ที่รับรองว่าอ่านจบปุ๊บ สามารถตรงไปซื้อจอมอนิเตอร์ด้วยตัวเองได้ทันที!
1. ขนาดของหน้าจอพอดี มีชัยไปกว่าครึ่ง
มาเริ่มกันด้วยสิ่งแรกที่เราจะมองเห็นอย่างขนาดของหน้าจอ ขนาดของจอมอนิเตอร์จะหมายถึงส่วนของการแสดงผลภาพหน้าจอ ไม่ได้รวมถึงตัวขอบและฐานตั้ง ปัจจุบันในท้องตลาดมีหน้าจอให้เลือกได้ตั้งแต่ขนาด 19 นิ้ว ไปจนถึง 32 นิ้วเลยทีเดียว ซึ่งเราสามารถเลือกได้ตามความพึงพอใจ ขนาดจอที่กว้างแน่นอนว่าก็จะให้ภาพที่กว้างเต็มตาตามไปด้วย โดยปกติหน้าจอขนาด 21 - 24 นิ้ว ก็ถือว่าเพียงพอแล้วสำหรับการใช้งานทั่วไป สำหรับสายเล่นเกม อยากให้ขยับมาที่ขนาดหน้าจอ 24 - 27 นิ้ว จะได้มุมมองของภาพที่ให้อรรถรสเหมาะกับการเล่นเกมมากกว่า ในส่วนของสายงานภาพกราฟฟิกหรือตัดต่อวิดีโอ ขนาดหน้าจอที่แนะนำมองว่าควรอยู่ที่ 27 - 32 นิ้ว เพื่อให้ได้ภาพที่กว้างครอบคลุมและสะดวกกับการทำงาน
ทั้งนี้ การเลือกขนาดของจอมอนิเตอร์ควรคำนึงถึงพื้นที่ในการวางหน้าจอด้วยเช่นกัน หากเรามีพื้นที่จำกัดก็ไม่ควรเลือกหน้าจอที่มีขนาดใหญ่จนเกินไป ควรเผื่อในส่วนของระยะระหว่างหน้าจอกับสายตาไว้ด้วย ซึ่งในปัจจุบันเองก็มีจอมอนิเตอร์หลายรุ่นที่ออกแบบมาเพื่อลดข้อจำกัดเหล่านี้โดยเฉพาะ ทั้งเรื่องดีไซน์ความบางของตัวจอเพื่อลดความเทอะทะ ฐานที่ไม่กินพื้นที่หรือสามารถเก็บสายเชื่อมต่อได้อย่างเป็นระเบียบในตัว รวมไปหน้าจอที่สามารถติดตั้งแบบยึดกับผนังเพื่อการประหยัดพื้นที่ได้
2. เลือกความละเอียดและประเภทของหน้าจอที่เหมาะกับการใช้งาน
ความละเอียดของหน้าจอ
ความละเอียดของจอถือเป็นสิ่งสำคัญลำดับต้น ๆ ในการพิจารณาเลือกซื้อเลยก็ว่าได้ ยิ่งหน้าจอมีความละเอียดสูงเท่าไหร่ ก็จะให้ภาพที่สวยคมชัดมากยิ่งขึ้น ซึ่งก็จะตามมาด้วยราคาที่สูงขึ้นเช่นกัน จอมอนิเตอร์ที่มีให้เห็นในท้องตลาดจะเริ่มต้นที่ความละเอียดระดับ HD (1280 x 720 พิกเซล) ไล่ไปที่ความละเอียด Full HD (1920 x 1080 พิกเซล), 2K หรือ QHD (2560 x 1080 พิกเซล) ไปจนถึงความละเอียดสูงสุด 4K หรือ UHD (3840 x 2160 พิกเซล)
ซึ่งปัจจุบันความละเอียด HD ก็เริ่มไม่มีให้เห็นแล้ว โดยส่วนใหญ่ความละเอียดมาตรฐานที่ใช้งานกันจะอยู่ที่ระดับ Full HD ซึ่งก็นับว่าให้ความคมชัดที่เพียงพอและครอบคลุมกับการใช้งานเกือบทุกประเภท เหมาะสำหรับคนที่ใช้ทำงานทั่วไป รวมถึงคนที่ใช้เล่นเกมหรือทำงานภาพที่ไม่ได้ต้องการความละเอียดหน้าจอสูงมากนัก แต่หากเป็นสายเล่นเกมที่ต้องการอรรถรสจากความคมชัดของภาพ แนะนำว่าควรขยับไปที่ความละเอียด QHD จะตอบโจทย์มากกว่า หรือสายงานภาพ-กราฟฟิก-ตัดต่อวิดีโอ ที่มีความจำเป็นต้องอาศัยความคมชัดของหน้าจอในการทำงาน ก็แนะนำว่าให้ลงทุนกับความละเอียด 4K ไปเลยจึงจะได้ผลลัพธ์ที่ตรงความต้องการที่สุด
Tips เพิ่มเติม: ขนาดและความละเอียดของหน้าจอเป็นสิ่งที่ควรดูควบคู่กันไป ในกรณีที่หน้าจอมีขนาดใหญ่มากแต่ความละเอียดต่ำ อาจทำให้เจอปัญหาภาพหรือตัวหนังสือไม่ชัด ต่างจากหน้าจอขนาดเล็กกว่าที่ความละเอียดเท่ากัน ด้วยเหตุนี้หากต้องการซื้อหน้าจอที่มีขนาดใหญ่มากกว่า 27 นิ้ว ความละเอียดที่เลือกก็ควรอยู่ที่ระดับ QHD หรือ 4K จึงจะเหมาะสมกับขนาดของจอค่ะ
ประเภทของหน้าจอ
จอมอนิเตอร์มีพาเนล (Panel) หรือประเภทของหน้าจอด้วยกันหลัก ๆ 3 ประเภท ได้แก่ IPS, VA และ TN ซึ่งมีจุดเด่นและคุณสมบัติที่แตกต่างกันออกไป หลายคนอาจเคยผ่านตากับชื่อพาเนลเหล่านี้มาบ้าง มาดูกันดีกว่าว่าพาเนลแต่ละแบบจะเหมาะกับการใช้งานแบบใด
- IPS (In-plane switching) จอ IPS เป็นพาเนลที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ด้วยเป็นเทคโนโลยีที่มีจุดเด่นในเรื่องของรายละเอียดที่คมชัด มีขอบเขตสีกว้าง แสดงผลสีได้แม่นยำ จึงให้สีสันที่สวยงามสมจริง อีกทั้งมุมมองของภาพยังกว้าง ทำให้ไม่ว่าจะมองจากมุมใดก็ยังให้ภาพที่ไม่ผิดเพี้ยน นั่นทำให้จอ IPS มีราคาค่อนข้างสูง หน้าจอประเภทนี้เหมาะสำหรับคนที่ต้องการความละเอียดของภาพและความแม่นยำของสี เช่น คนทำงานด้านกราฟฟิกดีไซน์, ตัดต่อภาพ-วิดีโอ สายเล่นเกมที่ต้องการเน้นเอฟเฟกต์ของภาพ หรือแม้แต่ผู้ใช้งานทั่วไปที่อยากได้หน้าจอสวย ๆ เฉดสีตรง เรียกได้ว่าเป็นจอสำหรับทุกไลฟ์สไตล์เลยทีเดียว
- VA (Vertical alignment) จอ VA เป็นพาเนลที่ให้ในเรื่องของสีสันภาพที่จัดเต็มและการแสดงผลภาพในที่มืดได้ดีที่สุด มีอัตราส่วนความคมชัด (Contrast Ratio) มากกว่าหน้าจอประเภทอื่น พูดง่าย ๆ ก็คือจะให้สีขาวที่ขาวสุด และสีดำที่ดำสนิท จึงเหมาะกับการใช้เป็นจอสำหรับรับชมคอนเทนต์หรือภาพยนตร์ ทั้งนี้จอ VA มีมุมมองของภาพที่ไม่ได้กว้างเท่าจอ IPS แต่ยังภาพที่สีสดใสและคมชัดกว่าหน้าจอ TN จึงถือเป็นจอที่อยู่ในระดับกลาง ๆ ทั้งสเปกและราคา หน้าจอประเภทนี้เหมาะสำหรับผู้ใช้งานทั่วไป เพราะสามารถครอบคลุมการใช้งานในทุกประเภท ไม่ได้เจาะจงไปที่ทางใดทางหนึ่ง แต่มีจุดเด่นที่ค่าคอนทราสต์สูง สายดูหนัง-ซีรี่ส์น่าจะถูกใจเป็นพิเศษ
- TN (Twisted nematic) จอ TN เป็นพาเนลที่ให้ในเรื่องของการตอบสนองหน้าจอที่รวดเร็ว และมีราคาถูก แต่จะให้สีสันที่ไม่ได้สดใสสมจริงมากนัก มีขอบเขตของเฉดสีที่น้อย และมุมมองของภาพที่แคบกว่าพาเนลประเภทอื่น ทำให้เวลามองจากองศาที่เอียงจะเห็นภาพผิดเพี้ยน มุมมองเวลาใช้งานที่ดีที่สุดจึงเป็นการมองตรงนั่นเอง หน้าจอประเภทนี้เป็นที่รู้กันดีว่าเหมาะสำหรับคอเกมโดยเฉพาะ สามารถทำงานได้ดีในภาวะที่มีภาพเคลื่อนไหวตลอดเวลาอย่างการเล่นเกม เนื่องจากมีอัตรารีเฟรชเรทที่สูงและอัตราการตอบสนองของหน้าจอที่ต่ำ (ซึ่งจะอธิบายในข้อถัดไป) แต่ก็ต้องแลกมากับมุมมองของภาพที่แคบและสีสันที่จืดกว่าจอประเภทอื่น
3. อยากได้หน้าจอลื่นไหล ตอบสนองเร็ว ต้องดูที่สองสิ่งนี้
อัตรารีเฟรชเรท และอัตราการตอบสนองของหน้าจอ คือจุดที่ผู้ใช้มักจะเผลอมองข้าม แต่ทั้งสองสิ่งนี้เป็นตัวแปรสำคัญเลยทีเดียวที่จะบอกได้เบื้องต้นว่าจอมอนิเตอร์ที่เรากำลังสนใจอยู่นี้ แสดงผลของภาพได้ลื่นไหลหรือมีการตอบสนองของหน้าจอได้รวดเร็วเพียงใด
อัตรารีเฟรชเรท (Refresh Rate)
อัตรารีเฟรชเรท (Refresh Rate) หรืออัตราการกะพริบของหน้าจอ คือค่าที่ใช้สำหรับวัดความลื่นไหลของภาพ ยิ่งมีตัวเลขสูง ภาพที่ได้ก็จะเคลื่อนไหวได้ลื่นไหลมากขึ้นเท่านั้น จอมอนิเตอร์โดยทั่วไปจะมีอัตรารีเฟรชเรทมาตรฐานอยู่ที่ 60Hz - 75Hz ซึ่งนับว่าเพียงพอแล้วต่อการใช้งานทั่วไป แต่สำหรับการเล่นเกมที่ต้องการความนิ่งและความคมชัดบนหน้าจอแสดงผล ควรเลือกอัตรารีเฟรชเรทที่ 144Hz ขึ้นไปจะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า ซึ่งจอมอนิเตอร์เกมมิ่งบางรุ่นในปัจจุบันมีอัตรารีเฟรชเรทสูงสุดถึง 240Hz เลยทีเดียว
อัตราการตอบสนองของหน้าจอ (Response times)
อัตราการตอบสนองของหน้าจอ (Response times) คือค่าที่บอกว่าจอภาพใช้เวลานานเพียงใดในการเปลี่ยนจากอีกพิกเซลสีหนึ่งไปยังอีกสีหนึ่ง ยิ่งเวลาน้อยความผิดเพี้ยนของภาพและสีก็จะน้อยลงตาม ซึ่งหากเราเป็นผู้ใช้งานทั่วไปที่ไม่ได้เน้นการเล่นเกม อัตราการตอบสนองของหน้าจอที่ไม่เกิน 5ms ก็ถือว่าตอบสนองได้ไว ใช้งานกันได้ลื่น ๆ แล้ว แต่ในส่วนของเกมเมอร์ที่ต้องการการเปลี่ยนของภาพฉับไวตามการตอบสนอง ค่า Response times จึงควรยืนพื้นไว้ที่ไม่เกิน 1ms จะดีที่สุด
4. ไม่อยากเซ็ง เช็คพอร์ตเชื่อมต่อให้ดี
จอมอนิเตอร์ในปัจจุบันมาพร้อมพอร์ตเชื่อมต่อที่รองรับการใช้งานที่หลากหลายมากขึ้น ที่พบเห็นส่วนใหญ่จะเป็นรูปแบบ HDMI, DisplayPort, VGA และ USB
VGA เป็นพอร์ตแบบเก่าที่ให้ความละเอียดไม่สูงมากนัก แต่ยังตอบโจทย์สำหรับคอมพิวเตอร์หรือโน้ตบุ๊กรุ่นเก่าที่ยังไม่ให้การรองรับพอร์ตรูปแบบอื่น HDMI และ DisplayPort เป็นพอร์ตที่นิยมใช้งานกันมาก เพราะให้คุณภาพการแสดงผลที่ดี เหมาะสำหรับหน้าจอแสดงผลที่มีความละเอียดสูง นอกจากนี้ยังมีพอร์ตรูปแบบอื่น ๆ อาทิ USB-C, DVI, Thunderbolt 3 และอื่น ๆ ซึ่งขึ้นอยู่กับความต้องการเฉพาะ ยกตัวอย่างเช่น Refresh Rate ในจอมอนิเตอร์บางรุ่นสามารถปรับได้สูงสุดผ่านพอร์ตบางชนิดเท่านั้น ซึ่งตรงนี้อาจต้องดูเป็นกรณีไป
สิ่งสำคัญที่สุดคือเราต้องเช็คให้ดีว่าคอมพิวเตอร์หรือโน้ตบุ๊กที่ต้องการเชื่อมต่อนั้น รองรับพอร์ตชนิดใดบ้าง หรือหน้าจอมอนิเตอร์ที่ต้องการซื้อมีพอร์ตรองรับตามที่เราต้องการใช้งานหรือไม่ หากซื้อมาแล้วไม่ซัพพอร์ตซึ่งกันและกันจะพาลให้พาเซ็งเอานะคะ
5. คุณสมบัติอื่น ๆ ของหน้าจอที่ไม่ควรมองข้าม
นอกจากสี่ข้อที่ว่ามาแล้ว ยังมีคุณสมบัติเสริมอื่น ๆ อีกเล็กน้อยที่ไม่ควรมองข้าม ซึ่งจะช่วยให้เรามองหาจอมอนิเตอร์ที่ตอบโจทย์การใช้งานได้มากยิ่งขึ้น อาทิ หน้าจอทรงโค้ง มีลำโพงหรือกล้องเว็ปแคมในตัว เทคโนโลยีตัดแสงสีฟ้าหรือหน้าจอถนอมสายตา การรองรับเทคโนโลยี Flicker Free เพื่อลดการกะพริบของจอ เทคโนโลยี G-Sync, FreeSync เพื่อลดการเลื่อมกันของภาพ หรือกระทั่งการดูค่าขอบเขตสีที่จำเป็นสำหรับบางสายงาน เป็นต้น ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความต้องการและงบประมาณของเรา ซึ่งจะขอยกคุณสมบัติที่มองว่าเป็นประโยชน์มาแชร์เพิ่มเติม
เทคโนโลยี G-Sync และ FreeSync
ทั้งสองอย่างนี้เป็นเทคโนโลยีที่ถูกใส่เข้ามาเพื่อเสริมคุณสมบัติในการเล่นเกม โดยทำการซิงค์การทำงานของจอมอนิเตอร์ให้เข้ากับการประมวลผลของคอมพิวเตอร์หรือโน้ตบุ๊กที่เราเชื่อมต่อ ซึ่งจะช่วยลดการฉีกขาดและการเลื่อมล้ำของภาพ สร้างการแสดงผลที่ลื่นไหล ไม่กระตุกให้เสียอารมณ์ เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งคุณสมบัติช่วยเพื่อให้ได้อรรถรสในการใช้งานมากยิ่งขึ้น
โดย G-Sync จะเป็นเทคโนโลยีของทาง Nvidia ที่ใช้ได้กับเฉพาะการ์ดจอของทาง Nvidia เท่านั้น และรองรับเฉพาะการใช้งานผ่านพอร์ต DisplayPort ส่วน FreeSync จะเป็นเทคโนโลยีของทาง AMD ที่ใช้ได้กับเฉพาะการ์ดจอของทาง AMD เท่านั้นเช่นกัน และรองรับการใช้งานผ่านทั้งพอร์ต HDMI และ DisplayPort
ค่าขอบเขตสีบนจอมอนิเตอร์
ค่าขอบเขตสี (Color Gamut) คือ ค่าที่ใช้วัดว่าจอมอนิเตอร์ตัวนี้สามารถแสดงผลของสีบนหน้าจอได้กว้างแค่ไหน ยิ่งค่าขอบเขตสีสูง ก็จะยิ่งแสดงผลของภาพได้สมจริงขึ้นตามไปด้วย สำหรับสายทำงานภาพ, กราฟฟิก หรือตัดต่อวิดีโอ ค่าขอบเขตสีของหน้าจอถือเป็นข้อมูลที่จำมาก มาตรฐานขอบเขตของสีที่พบเห็นได้บ่อยครั้งบนสเปกหน้าจอจะมี sRGB, DCI-P3 และ AdobeRGB
- sRGB ถือเป็นค่าขอบเขตสีที่คุ้นชินกันดี เพราะนิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในสายงานภาพ โดยคิดค่าสีออกมาเป็นเปอร์เซ็นต์ ยิ่งเปอร์เซ็นต์สูงก็ยิ่งสามารถแสดงค่าสี sRGB ได้มากตามไปด้วย หากต้องการหน้าจอที่มีขอบเขตสีที่ตรง ๆ ควรมีค่า 97 - 100% sRGB ขึ้นไป
- DCI-P3 คือขอบเขตสีมาตรฐานที่ใช้กันในอุตสาหกรรมผลิตภาพยนตร์ดิจิทัลของอเมริกา มีขอบเขตสีที่กว้างกว่า sRGB และคิดค่าสีออกมาเป็นเปอร์เซ็นต์เช่นเดียวกัน และหน้าจอที่ได้รับการรับรองขอบเขตสีกว้างระดับ DCI-P3 หมายความว่าหน้าจอนั้นมีคุณภาพและสามารถแสดงสีสันได้กว้างและครอบคลุมที่สุด
- AdobeRGB เป็นมาตรฐานสีของทาง Adobe Systems มีขอบเขตสีที่กว้างกว่า sRGB จึงนิยมใช้กันในอุตสาหกรรมการพิมพ์เป็นหลัก ซึ่งเป็นมาตรฐานที่จะมากับจอมอนิเตอร์ที่มีราคาค่อนข้างสูงเสียส่วนใหญ่
ทั้งหมดนี้คือ 5 ข้อที่ควรรู้ ในการเลือกซื้อหน้าจอมอนิเตอร์แบบฉบับมือโปร ที่โมบายกูรูเรานำมาฝากกัน จะเห็นได้ว่าการเลือกซื้อจอมอนิเตอร์ทีหนึ่งมีรายละเอียดให้ต้องพิจารณาในการซื้อพอสมควร แต่ก็เชื่อว่าไม่ได้ยุ่งยากเกินไป เพื่อแลกกับการได้หน้าจอที่ตอบโจทย์ของเราได้อย่างคุ้มค่าทั้งการใช้งานและงบที่จ่ายออกไป
มาถึงตรงนี้ คาดว่าหลายคนคงมีสเปกของจอมอนิเตอร์ในใจแล้ว ทางเราก็อยากจะอำนวยความสะดวกทุกท่านอีกนิด ด้วยการรวมเอาจอมอนิเตอร์จากแบรนด์แนวหน้าอย่าง Lenovo ที่กูรูฟันธงแล้วว่าตอบโจทย์และคุ้มค่าสำหรับการใช้งานในรูปแบบต่าง ๆ มาแนะนำกันเลยตรงนี้
รวมจอมอนิเตอร์นวัตกรรมปี 2021 จาก Lenovo ที่ไม่ควรพลาด
Lenovo เป็นแบรนด์ยักษ์ใหญ่ชั้นนำที่เป็นที่รู้จักกันดีในแวดวงคอมพิวเตอร์ ซึ่งปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ให้เลือกหลากหลายทั้งการใช้งานและระดับราคา อีกทั้งยังการันตีด้วยคุณภาพ สร้างความมั่นใจและสามารถตอบโจทย์คนที่กำลังมองหาจอมอนิเตอร์ดี ๆ เหมาะกับตัวเองสักเครื่องในเรทราคาที่สามารถเลือกได้ตามงบ
จอมอนิเตอร์ที่เราคัดสรรมาแนะนำกันในวันนี้มีขนาด 27 นิ้วทั้งหมด ซึ่งมองแล้วว่าเป็นขนาดที่ใหญ่กำลังดีสำหรับการยืดหยุ่นใช้งานได้ในทุกประเภท ทั้งการทำงานทั่วไป การเล่นเกม การทำงานกราฟฟิก-ตัดต่อ หรือแม้แต่การรับชมความบันเทิงผ่านจอมอนิเตอร์ ซึ่งแต่ละตัวจะมีจุดเด่นอย่างไร เหมาะกับใคร และการใช้งานแบบไหนบ้าง ไปดูกันเลย
ประเดิมกันด้วยจอมอนิเตอร์ราคาสบายกระเป๋าที่มากับหน้าจอ VA ความละเอียด Full HD ดีไซน์ NearEdgeless ขอบจอบาง 3 ด้านให้พื้นที่แสดงผลกว้างเต็มตา พร้อมอัตราส่วนความคมชัด (Contrast Ratio) 3000:1 ให้ภาพที่สวยดูมีมิติสมจริง D27-30 ยังมากับเทคโนโลยี AMD FreeSync ช่วยในการซิงค์อัตรารีเฟรชของจอให้เข้ากับคอมพิวเตอร์ของเรา ให้ได้ภาพที่ลื่นไหล ไม่กระตุก สามารถใช้เล่นเกมเบา ๆ ได้อย่างไม่มีปัญหา และยังให้การรับรองคุณสมบัติ Eye Comfort ช่วยในเรื่องของการถนอมสายตาเมื่อใช้งานหลายชั่วโมง สามารถติดตั้งได้ทั้งแบบวางบนฐานและติดตั้งบนผนัง รองรับการเชื่อมต่อผ่านพอร์ต HDMI, VGA และ Audio 3.5 มม.
เหมาะกับใคร: เรียกว่าให้สเปกมาแบบครบถ้วนในราคาสุดคุ้มจนน่าตกใจ จึงเหมาะสำหรับคนที่มองหาจอมอนิเตอร์ราคาประหยัดสำหรับใช้งานทั่วไป เพราะสามารถรองรับการใช้งานได้หลากหลาย มีจุดเด่นที่สีสันของภาพสวยสดใส ใครเป็นสายสายดูคอนเทนต์หรือภาพยนตร์ผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ต้องถูกใจแน่นอน
มาต่อกันที่จอมอนิเตอร์เด่นดีไซน์ที่ออกแบบมาเพื่อจัดระเบียบโต๊ะทำงานโดยเฉพาะ ด้วยหน้าจอ หน้าจอ IPS Full HD บางเฉียบเพียง 7.1 มม. ช่วยลดพื้นที่การจัดวางลงได้มาก แม้ขนาดจอจะใหญ่ถึง 27 นิ้วก็ตาม อีกทั้งยังมีช่องวางสมาร์ทโฟน และร่องสำหรับเก็บสายเคเบิลอย่างเป็นระเบียบ ทั้งยังให้การรองรับเทคโนโลยี FreeSync ปรับการเคลื่อนไหวของภาพให้เข้ากับทุกการใช้งาน ไม่ว่าจะทำงานหรือความบันเทิง และซอฟต์แวร์ Artery ให้ผู้ใช้สามารถปรับการตั้งค่าหน้าจออินเตอร์เฟสได้ด้วยตัวเอง L27e-30 รองรับการเชื่อมต่อผ่านพอร์ต HDMI, VGA และ Audio 3.5 มม.
เหมาะกับใคร: ถือว่าเป็นหน้าจอ IPS ขนาดใหญ่ที่ราคาดีดีไซน์สวยตัวหนึ่งเลยทีเดียว เหมาะสำหรับคนใช้งานทั่วไปที่ต้องการหน้าจอกว้างแต่ประหยัดพื้นที่ สามารถใช้งานได้หลากหลาย ทั้งทำงานจิปาถะ งานกราฟฟิกเบา ๆ และเกมที่ไม่หนักมาก
ต่อมาที่จอมอนิเตอร์สำหรับสายเกม ด้วยหน้าจอ IPS ความละเอียด Full HD พร้อมค่าความสว่างแสงสูงถึง 400 cd/m2 ให้เอฟเฟก์แสงที่สมจริง จัดเต็มด้วยอัตราการรีเฟรชเรทที่ 144Hz อัตราการตอบสนองของจอ MPRT2 1ms ควบคู่ไปกับ AMD FreeSync Premium3 เพื่อการแสดงผลที่ลื่นไหล ภาพไม่แตก หรือฉีกขาด อีกทั้งยังเป็นมิตรกับสุขภาพตาและสรีระผู้เล่น ด้วยเทคโนโลยีถนอมสายตาจาก TUV Rheinland และฐาน Vector V ที่สามารปรับองศาให้เหมาะกับการนั่งเป็นเวลานาน G27-20 รองรับการเชื่อมต่อผ่านพอร์ต HDMI, DisplayPort และ Audio 3.5 มม.
เหมาะกับใคร: แน่นอนว่าต้องเป็นสายเกม ด้วยอัตราการแสดงผลที่ให้มาสามารถตอบสนองการเล่นเกมได้อย่างสบาย ๆ จุดเด่นจึงเป็นหน้าจอขนาดใหญ่ที่ให้สีสันแม่นยำสมจริงแบบ IPS ทำให้จอมอนิเตอร์ตัวนี้น่าจะตอบโจทย์เกมเมอร์ที่เน้นอรรถรสจากภาพเป็นหลักได้ดี
ถัดมาที่จอมอนิเตอร์ภาพสวยในราคาที่เอื้อมถึง ด้วยหน้าจอ IPS ความละเอียด QHD พร้อมดีไซน์มินิมอล NearEdgeless ขอบจอบาง 4 ด้าน ให้การแสดงผลที่กว้างไม่มีขัดสายตา สามารถแสดงค่าสี sRGB ได้สูงถึง 99% จะงานเบา ๆ งานกราฟฟิก หรือเล่นเกม ก็ให้ภาพที่สวยคมชัดสมจริง พร้อมระบบการจัดการ Smart Power เชื่อมต่อและจ่ายพลังงานให้ดีไวซ์อื่นได้โดยที่ไม่ลดทอนคุณภาพหน้าจอ Q27h-10 รองรับการเชื่อมต่อผ่านพอร์ต USB Type-C, HDMI, DisplayPort, USB Type-A และ Audio 3.5 มม.
เหมาะกับใคร: เรียกว่าเป็นรุ่นที่ทำมาเพื่อทุกคนจริง ๆ ด้วยสเปกที่สามารถยืดหยุ่นให้ใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ จึงทำให้เหมาะกับทั้งคนที่ต้องการใช้งานทั่วไป คนที่ใช้กับงานกราฟฟิกง่าย ๆ หรือคนที่ใช้เล่นเกมเบา ๆ เน้นภาพสวย พูดง่าย ๆ คือใครก็ตามที่ต้องการจอมอนิเตอร์ภาพสวย จอใหญ่ ในราคาจับต้องได้ ต้องเลือกรุ่นนี้เลย
มาถึงคิวจอมอนิเตอร์พี่ใหญ่ที่มากับงานภาพระดับเทพ ด้วยหน้าจอ IPS ความละเอียดสูงระดับ 4K พร้อมดีไซน์ทันสมัย NearEdgeless ขอบจอบาง 4 ด้าน ให้สัมผัสความละเอียดกันได้แบบเต็มตา สีสันที่สมจริงที่สุด ด้วยการแสดงค่าสี DCI-P3 98%, 99% sRGB และเอาต์พุตสี 10 บิต ยกระดับเพื่อการใช้งานด้านภาพ กราฟฟิกและการตัดต่อให้สะดวกยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมากับการแสดงผลแบบ Smart Crystal Sound พร้อมด้วยแผงควบคุมระบบเสียงที่หันหน้าเข้าหาผู้ใช้จะปรับแต่งเสียงให้เหมาะสมตามการเคลื่อนไหวบนหน้าจอ Qreator 27 รองรับการเชื่อมต่อผ่านพอร์ต USB Type-C, HDMI, DisplayPort, USB Type-A และ Audio Combo 3.5 มม.
เหมาะกับใคร: ยืนหนึ่งสำหรับสายงานกราฟฟิกและตัดต่อ ทั้งขนาดหน้าจอ ความละเอียดคมชัด และการแสดงผลของสี เรียกว่าทำมาเพื่อยกระดับการใช้งานด้านภาพในราคาที่สมเหตุสมผล สายกราฟฟิก ตัดต่อ หรือ Creator ต้องไม่ควรพลาด
นอกจากจอมอนิเตอร์ขนาด 27 นิ้วที่เราได้แนะนำกันไปในข้างต้นแล้ว ยังมีจอมอนิเตอร์อีก 2 รุ่นที่อยากแนะนำเพิ่มเติมเพื่อเสริมทัพสำหรับสายเล่นเกมโดยเฉพาะ ที่บอกเลยนอกจากจะจัดเต็มด้านสเปกแล้ว ยังมากับราคาที่คุ้มค่าจนไม่อยากให้พลาด!
มากันที่จอมอนิเตอร์จิ๋วแต่แจ๋วสำหรับผู้เล่น E-Sports ที่มากับหน้าจอ IPS ขนาด 23.8 นิ้ว ความละเอียด Full HD สามารถแสดงค่าสี sRGB 99% ให้ความสวมคมชัดครบทุกเม็ด ทั้งยังอัดแน่นไปด้วยพลังและเทคโนโลยีที่จัดเต็มในเรื่องของการแสดงผลภาพที่ต่อเนื่อง ด้วยอัตราการรีเฟรชเรทที่ 144 Hz โอเวอร์คล็อกเป็น 165 Hz ได้พร้อมกับ MPRT 0.5ms และ AMD FreeSync Premium นอกจากนี้ยังสามารถปรับแต่งการแสดงผลด้วยตัวเองให้ลื่นได้ดั่งใจด้วยซอฟต์แวร์ Lenovo Artery Lenovo G24-20 รองรับการเชื่อมต่อผ่านพอร์ต HDMI, DisplayPort และ Audio 3.5 มม.
เหมาะกับใคร: สายเกมเน้นภาพสวยต้องจัดตัวนี้เลย เพราะให้มาพร้อมแล้วทั้งด้านความสวยคมชัดและสีสันของภาพ พร้อมเทคโนโลยีการประมวลผลที่ใส่มาแบบไม่มีกั๊กในเรทราคาไม่เกินเจ็ดพันบาท ถือเป็นจอมอนิเตอร์เกมมิ่งที่คุ้มค่าจนน่าตกใจ ใครที่กำลังมองหาหน้าจอสำหรับเล่นเกมขนาดพอดี ๆ ที่ครบเครื่องในงบจำกัด ตัวนี้คือคำตอบเลย
ปิดท้ายกันด้วยจอมอนิเตอร์เพื่อนักกีฬา Esport ระดับมืออาชีพ ด้วยหน้าจอ IPS ขนาด 24.5 นิ้ว มาพร้อมความละเอียด Full HD ดีไซน์ NearEdgeless ทั้ง 3 ด้าน ให้เล่นเกมได้เต็มตาไม่สะดุดขอบจอ จัดหนักจัดเต็มด้วยอัตรารีเฟรชเรทสูงสุดถึง 240 Hz พร้อมอัตราการตอบสนองหน้าจอ 1ms และเทคโนโลยี AMD FreeSync Premium ทำให้การเคลื่อนไหวของภาพต่อเนื่องและตอบสนองทันทุกความคิดและการลงมือ Lenovo Y25-25 รองรับการเชื่อมต่อผ่านพอร์ต HDMI, DisplayPort และ USB
เหมาะกับใคร: แน่นอนว่าต้องเป็นสายเน้นเล่นเกมที่เน้นการเคลื่อนไหวของภาพตลอดเวลา ไปจนถึงนักกีฬา Esport ระดับมืออาชีพ ตอบโจทย์การใช้งานที่ต้องการการตอบสนองของหน้าจอทันความคิด ใครที่ไม่อยากให้ความหน่วงของหน้าจอมาเป็นอุปสรรคในการเล่นเกม ลงทุนไปกับจอตัวนี้รับรองว่าได้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่าแน่นอน
ใครที่สนใจจอมอนิเตอร์คุณภาพดี ราคาคุ้มค่า จาก Lenovo สามารถทดลองและซื้อสินค้าได้ที่ร้านค้าพาร์ทเนอร์หรือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการของเลอโนโวทั่วประเทศ
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์
คลิก! อ่านได้ที่นี่เลย