มาทำความรู้จัก Android GO สมาร์ทโฟนสเปคเบา ๆ ก็ใช้งานกันได้ลื่น ๆ
ช่วงหลังมานี่เราคงจะได้ยินชื่อ "Android Go" กันบ่อยขึ้น หลังจากที่หลายแบรนด์เริ่มนำระบบปฏิบัติการนี้มาใช้กับสมาร์ตโฟนราคาประหยัดของตัวเอง ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งที่ตามมาก็คงไม่พ้นคำถามที่ว่า แล้ว Android Go มันต่างจาก Android ปกติอย่างไร หรือแม้แต่ Android Go เหมือนกันกับ Android One หรือไม่ วันนี้เราจะมาไขข้อสงสัยกันค่ะ
Android Go คืออะไร
เริ่มมาจากในช่วงปลายปี 2017 กูลเกิลได้เปิดตัวระบบปฏิบัติการตัวใหม่ในชื่อ Android Go หรือชื่อเต็มคือ Android (Go Edition) ซึ่งจุดเด่นอยู่ที่ความเบาของตัวระบบที่ถูกออกแบบมาเพื่อสมาร์ตโฟนราคาประหยัดที่มีแรมไม่สูงและความจุน้อย ตอบสนองการใช้งานสมาร์ตโฟนระดับเริ่มต้น เพื่อขยายตลาดไปยังผู้ใช้อีกหนึ่งพันล้านคน ตามยุทธศาสตร์ "Next Billion User (NBU)" ของกูลเกิลนั่นเอง
Android Go แตกต่างจาก Android ที่เรารู้จักอย่างไร
จากที่เกริ่นไปในตอนแรกว่า Android Go ถูกออกแบบมาให้มีความเบาเพื่อสมาร์ตโฟนราคาประหยัดโดยเฉพาะ แต่อันที่จริงแล้ว ระบบของ Android Go มีพื้นฐานการทำงานแบบเดียวกันกับระบบ Android เวอร์ชันปกติที่เรารู้จัก แต่ถูกปรับแต่งประสิทธิภาพการทำงานและความเสถียรให้เหมาะกับการทำงานบนตัวสมาร์ตโฟนที่สเปคไม่ได้แรงมากนัก ซึ่ง Android Go ในเวอร์ชันแรกมีชื่อว่า Android Oreo (Go Edition) ก็ถูกปรับแต่งโดยมีพื้นฐานของระบบปฏิบัติการจาก Android 8.1 Oreo จึงทำให้ผู้ใช้งานยังได้ฟีเจอร์พื้นฐานของแอนดรอยด์แบบครบครันเหมือนเดิม
คอนเซ็ปต์นี้อาจจะฟังดูคุ้น ๆ คล้ายกับ Android One โครงการรุ่นพี่ที่เปิดตัวไปก่อนหน้าเมื่อปี 2014 ต่างกันตรงที่ Android One จะมีข้อจำกัดในการรองรับสเปกของสมาร์ตโฟน แต่ Android Go สามารถรองรับสเปกได้ทุกรุ่น เพราะถูกทำมาให้ดึงทรัพยากรออกมาใช้น้อยที่สุด โดยปัจจุบัน Android One จะถูกเรียกว่า Pure Android เสียมากกว่า ซึ่งชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นแอนดรอยด์ปกติเพียว ๆ ไม่ได้มีการเพิ่มประสิทธิภาพใด ๆ เข้ามา ในขณะที่ Android Go จะปรับปรุงทั้งการใช้พลังงาน ไม่ว่าจะเป็น RAM หรือ ROM รวมไปถึงความไวในการใช้งานให้ดียิ่งขึ้นกว่าเวอร์ชั่นเดิมอีกด้วย
Android Go ใช้งานแอปพลิเคชันอะไรได้บ้าง
เมื่อเจ้า Android Go ถูกเน้นไปที่ความเบาของระบบ ข้อสงสัยที่ตามมาของใครหลายคนคือ แล้วเราจะสามารถใช้งานอะไรบน Android Go ได้บ้าง ซึ่งต้องตอบว่า สามารถใช้งานได้เหมือนสมาร์ตโฟนในระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ทั่วไปเลย เพราะนอกจากความสามารถในการทำงานบนสมาร์ตโฟนสเปคไม่สูงแล้ว Android Go ยังให้เรื่องความประหยัดพื้นที่ ทั้งตัวระบบที่ถูกปรับแต่งให้กินพื้นที่น้อยลง การช่วยประหยัดดาต้าอินเทอร์เน็ต และแอปพลิเคชั่นของกูลเกิลขนาดเล็กที่ทำออกมาเพื่อซัพพอร์ต Android Go โดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็น YouTube Go, Google Go, Maps Go, Gmail Go และ Files Go
สำหรับแอปพลิเคชั่นใช้งานโซเชียลมีเดียที่ส่วนใหญ่มีปัญหาเรื่องขนาดของแอปฯ ที่กินพื้นที่ค่อนข้างเยอะ ซึ่งอาจไม่เหมาะกับการใช้งานบนสมาร์ตโฟนสเปกเริ่มต้น ทางต้นสังกัดของแอปพลิเคชั่นก็ได้มีการปล่อยเวอร์ชัน "Lite" ออกมา ที่ตัดทอนเอาความเทอะทะและฟีเจอร์บางอย่างออกไปให้เหลือเพียงการใช้งานพื้นฐาน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ของแอปพลิเคชั่นที่กินพื้นที่น้อยลง เช่น Facebook Lite, Messenger Lite, Line Lite, Twitter Lite, Instagram Lite เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดที่ยกตัวอย่างมานี้ สามารถใช้งานบน Android Go ได้อย่างสบาย ๆ เลยแน่นอน
ข่าวคราวล่าสุดเกี่ยวกับเวอร์ชั่นของ Android Go
Android 10 (Go Edition) ถือเป็นเวอร์ชันล่าสุดของเจ้า Android Go ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งได้เปิดตัวช่วงปลายปี 2019 และเริ่มใช้งานในปี 2020 ซึ่งแน่นอนว่าต้องมาพร้อมกับประสิทธิภาพการใช้งานที่ลื่นไหลและเร็วขึ้นกว่าเวอร์ชั่นที่ผ่าน ๆ มา สามารถเปิดแอปฯ ได้ไวกว่าเวอร์ชันก่อน 10% และเพิ่มการประหยัดพื้นที่การใช้งานของหน่วยความจำ ปลอดภัยยิ่งขึ้นด้วยระบบรักษาความปลอดภัยที่เรียกว่า "Adiantum" ซึ่งให้ความปลอดภัยในระดับเดียวกับผู้ใช้ Android ทั่วไป เพิ่มฟีเจอร์ Google Lens ช่วยเรื่องการอ่านป้ายหรือข้อความต่าง ๆ รวมไปถึงการแปลภาษาอย่างรวดเร็ว
สำหรับ Android 11 (Go Edition) ที่มีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการไปแล้วตั้งแต่ช่วงปลายปี 2020 ด้วยทีเด็ดที่ชูเป็นจุดขายหลัก นั่นคือสามารถเปิดแอปฯ ได้ไวกว่าเวอร์ชันก่อนถึง 20% โดยการเปลี่ยนแปลงส่วนใหญ่ เป็นการยกเอาความสามารถของ Android 11 มาใส่เพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็น conversations, one-time Permission และ permissions auto-reset ซึ่งนอกจากฟีเจอร์ที่ได้กล่าวมาแล้ว กูลเกิลยังได้นำเอา gesture navigation (การปัดนิ้วด้วยท่าทางต่าง ๆ เพื่อสั่งการ) ใส่เข้ามาให้ด้วย ส่วนข่าวคราวว่าจะมีการปล่อยออกมาให้ใช้งานเมื่อไหร่นั้น คงต้องรอติดตามกันต่อไป
ตอนนี้เจอ Android Go ได้ในสมาร์ตโฟนรุ่นใดบ้าง
ด้วยความตั้งใจแรกของการใช้ Android Go เจาะตลาดสมาร์ตโฟนราคาประหยัดในกลุ่มผู้ใช้งานฝั่งอินเดีย ทำให้สมาร์ตโฟนที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Android Go จะเป็นแบรนด์หรือรุ่นที่วางขายในประเทศอินเดียเป็นหลัก ซึ่งพวกเราอาจไม่คุ้นหูกันมากนัก อาทิ Ulefone, Alcatel, ZTE, Infinix เป็นต้น แต่ใช่ว่าสมาร์ตโฟนที่มากับ Android Go จะเป็นแรร์ไอเท็มสำหรับพวกเราเลยซะทีเดียว เมื่อแบรนด์ชั้นนำเองก็เลือกที่จะผลิตสมาร์ตโฟนราคาประหยัดเพื่อขยายฐานตลาดด้วยเช่นกัน
MobileGuru จึงขอยก 3 สมาร์ตโฟนที่ใช่ระบบปฏิบัติการ Android Go จาก 3 แบรนด์ที่คนส่วนใหญ่รู้จักมาแนะนำกันค่ะ จะมีอะไรบ้าง มาดูกันเลย
Samsung Galaxy M01 Core (2020)
เริ่มด้วย Samsung Galaxy M01 Core (2020) ที่ปล่อยมาเพื่อลุยตลอดสมาร์ตโฟนราคาประหยัดในอินเดีย ซึ่งถือเป็นสมาร์ตโฟน Android 10 Go Edition ในราคาที่ถูกที่สุดในอินเดียด้วยราคาต่ำว่า 5,499 รูปี หรือประมาณ 2,300 บาท เจ้า Samsung Galaxy M01 Core มาพร้อมกับหน้าจอแสดงผลแบบ PLS TFT LCD ความละเอียด HD+ 1480 x 720 พิกเซล ขนาด 5.3 นิ้ว ในอัตราส่วน 18.5:9 RAM 1GB/2GB ROM 16GB/32GB เพิ่มได้ด้วย microSD Card สูงสุด 512GB กล้องหน้าความละเอียดสูงสุด 8 ล้านพิกเซล รองรับการบันทึกวิดีโอ 1080p กล้องหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซล รองรับ 2 ซิม แบตเตอรี่ความจุ 3,000 mAh สำหรับราคาตัวเครื่อง RAM1GB/ROM16GB จะอยู่ที่ประมาณ 2290 บาท ส่วน RAM 2 GB/ROM 32 GB จะอยู่ที่ประมาณ 2750 บาท ซึ่งน่าเสียดายที่ไม่ได้มีวางขายอย่างเป็นทางการในตลาดประเทศไทย
Xiaomi Redmi Go
ต่อด้วยเจ้า
Xiaomi Redmi Go ซึ่งถึงแม้จะเปิดตัวมาพักใหญ่แล้ว แต่ยังถือเป็นสมาร์ตโฟนที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย ด้วยจอแสดงผลแบบ LCD Display ขนาด 5.0 นิ้ว ความละเอียดระดับ HD (1,280 x 720) อัตราส่วน 16:9 RAM 1GB ROM 8GB กล้องหลังความละเอียด 8 ล้านพิกเซล กล้องหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซล รองรับ 2 ซิม แบตเตอรี่ความจุ 3,000 mAh ซึ่งเปิดตัวด้ายราคา 2,699 บาท แต่ในปัจจุบันได้ปรับราคาลงมากแล้ว ซึ่งอยู่ราว 1500 - 1800 บาทเลยทีเดียว
Nokia 1.4
ปิดท้ายด้วย
Nokia 1.4 ที่เพิ่งเปิดตัวไปหมาด ๆ เมื่อเดือนมีนาคมปี 2021 นี้ ด้วยจอแสดงผล IPS-LCD 24-bit ขนาด 6.51 นิ้ว ความละเอียด 720 x 1600 พิกเซล RAM 2GB ROM 32GB กล้องหลังความละเอียดสูงสุด 8 ล้านพิกเซล กล้องหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซล รองรับ 2 ซิม แบตเตอรี่ความจุ 4,000 mAh ซึ่งถือว่าให้มาจัดเต็มเลยทีเดียวในราคา 2,690 บาท
สำหรับใครที่สนใจเจ้า Nokia 1.4 นี้ แต่ยังมีความลังเลเรื่องความแรงและการใช้งานบนระบบของ Android Go อยู่ ทาง MoblieGuru ของเราก็ได้ทำวิดีโอไขข้อสงสัยกันไว้ตรงนี้แล้ว