หนึ่งวันกับฟีเจอร์กล้องจาก Mi 11 ฉบับคนถ่ายรูปไม่เก่ง
เปิดตัวกันไปแล้วนะคะ กับเจ้า
Xiaomi Mi 11 ที่ชูสเปกกล้องที่ให้มาอย่างจัดเต็มทั้งด้านภาพถ่ายและวิดีโอ ด้วยกล้องหลัง 3 เลนส์ ความละเอียดสูงสุด 108 MP และสามารถบันทึกวิดีโอความละเอียดสูงสุดระดับ 8K มาพร้อมกับฟีเจอร์ต่าง ๆ อีกมากมายบนคอนเซ็ปต์
"Movie Magic" ที่ให้ผู้ใช้ได้สนุกกับสร้างสรรค์รูปถ่ายหรือวิดีโอของตัวเอง ซึ่งทาง
MoblieGuru ก็ได้ทำรีวิวฉบับของเจ้า
Xiaomi Mi 11 เต็มไว้เรียบร้อยแล้ว สำหรับใครที่สนใจสามารถอ่านเพิ่มเติม
ที่นี่ ได้เลย
ว่าแล้วใครเป็นสายถ่ายภาพ ถ่ายวิดีโอ คงยิ้มร่า ตื่นเต้นไปกับสเปกและฟีเจอร์กล้องที่ให้มาอย่างจัดเต็มแน่ ๆ แต่สำหรับใครที่ไม่ค่อยถนัดถ่ายภาพ ถ่ายทีไรก็เบลอ ถ่ายทีไรก็ตกขอบ กระทั่งวิดีโอก็สั่นเหมือนถ่ายตอนแผ่นดินไหว เราคือเพื่อนกันค่ะ!
เคยไหมคะ เวลานั่งส่องรูปของคนอื่นตาม Facebook, Instagram หรือกระทั่ง Twitter แล้วเกิดคำถามว่า ทำไมเขาถ่ายรูปได้สวยกันเหลือเกิน เราเองก็อยากมีรูปสวย ๆ ไว้ลงอวดอย่างนั้นบ้างเหมือนกัน ติดแต่ว่าเราดันถ่ายรูปไม่เก่งนี่สิ จะถ่ายรูปหรือลงรูปแต่ละทีก็คิดแล้วคิดอีก เพราะถ่ายออกมาไม่ได้ดั่งใจ จะกลับไปถ่ายใหม่ บรรยากาศที่อยากได้ก็ผ่านพ้นไปเสียแล้ว และเหมือนโชคชะตาเป็นใจให้เราได้เจ้า Xiaomi Mi 11 มาทดลองใช้ เลยคิดว่า นี่ล่ะ โอกาสทองที่คนถ่ายรูปไม่เก่งอย่างเราจะได้เฉิดฉาย!
ก่อนจะไปพบกับการรีวิวการใช้งานกล้องในหนึ่งวัน เรามาส่องฟีเจอร์กล้องของเจ้า Mi 11 คร่าว ๆ กันก่อนดีกว่าค่ะ
นี่คือหน้าตากล้องถ่ายรูปของเจ้า Mi 11 ค่ะ เมนูด้านบนจะมีทั้งตัวเปิด-ปิดแฟลช, ตั้ง HDR, AI, โหมดฟรุ้งฟริ้ง, Google Search และฟีเจอร์เพิ่มเติม ที่เมื่อกดเข้าไปแล้วจะพบกับการตั้งค่าต่าง ๆ รวมไปถึงโหมดซุปเปอร์มาโครก็อยู่ตรงนี้ด้วย
ต่อมาคือโหมดอื่น ๆ ของกล้อง ไล่มาตั้งแต่โหมดโปรฯ, วีดีโอ และถ่ายบุคคล (Portrait)
เลื่อนมาจนสุดก็จะเจอ 'เพิ่มเติม' เป็นที่ซ่อนของฟีเจอร์เด็ด ๆ ที่ทาง Xiaomi ชูในรุ่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นโหมด 'เอฟเฟกต์ภาพยนตร์' ที่ให้ลูกเล่นมา 5 แบบ และฟีเจอร์ 'โคลน' ที่สามารถใช้ได้ทั้งกับภาพถ่ายและวิดีโอ
ถือว่าอินเตอร์เฟสของกล้องไม่รกตาเลย สามารถยัดฟีเจอร์ทั้งหมดของตัวเองลงไปโดยจัดวางได้เป็นระเบียบ ใช้งานง่าย แต่อาจต้องทำความเคยชินกับมันสักนิด ถึงจะใช้ได้คล่องค่ะ
เอาล่ะ รู้จักหน้าตาของกล้องและฟีเจอร์คร่าว ๆ แล้ว มาต่อกันที่การทดลองใช้เลยค่ะ
ด้วยความที่เรามีเวลาอยู่กับเจ้า Mi 11 หนึ่งวัน ประจวบกับมีแผนจะออกไปซื้อของข้างนอก จึงคิดว่าเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้จำลองการใช้งานฟีเจอร์กล้องอย่างที่เรามักจะใช้จริง ๆ ในชีวิตประจำวัน เพื่อดูว่ากล้องของ Mi 11 ตอบโจทย์การใช้งานแค่ไหน และช่วยให้การถ่ายภาพสำหรับคนถ่ายรูปไม่เก่งง่ายขึ้นหรือดีขึ้นอย่างไรบ้าง
เราเริ่มวันด้วยการซักผ้าค่ะ ฮ่า ระหว่างตากผ้าอยู่หน้าบ้านก็หันไปเห็นพุ่มไม้ข้างรั้ว ทำให้นึกถึงกระแสการถ่ายรูปต้นไม้ใบหญ้าที่เขาฮิตกันอยู่ช่วงหนึ่ง จึงได้คว้า Mi 11 ขึ้นมากดถ่ายไปหนึ่งที ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ามันมีโหมด 'ซุปเปอร์มาโคร' เราจึงได้ลองถ่ายอีกครั้ง โดยมีนายแบบเป็นน้องยุงที่บังเอิญผ่านเข้ากล้องมาพอดีค่ะ
ภาพที่ได้จากโหมดกล้องธรรมดา
ภาพที่ได้จากโหมดซุปเปอร์มาโคร
โดยผลลัพธ์ออกมาคือเบลอค่ะ ฮ่า จะเห็นได้ว่ากล้องไปจับโฟกัสที่ปลายใบไม้แทนตัวยุง ซึ่งตอนถ่ายเราพยายามเลือกโฟกัสที่นายแบบของเราแล้ว แต่ด้วยความที่มือเราไม่นิ่งเลยทำให้โฟกัสหลุดอยู่เรื่อย ๆ แต่เรื่องความคมชัดของการซูมไม่มีที่ติเลยค่ะ เพียงแต่ว่าอาจจะต้องอาศัยความมือนิ่งในการจับกล้องระดับหนึ่งถึงจะได้ผลลัพธ์ของภาพที่สวยสมบูรณ์
ถัดจากการทำงานบ้านเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาที่เราจะออกไปซื้อของค่ะ ระหว่างทางรถค่อนข้างติด เมื่อถึงที่หมายก็เลยเริ่มด้วยการเสาะหาของกินอร่อย ๆ ด้วยความเชื่อที่ว่ากองทัพต้องเดินด้วยท้อง! และแน่นอนค่ะ เราไม่พลาดที่จะยกเจ้า Mi 11 ขึ้นมาถ่ายมื้อเที่ยงของเราในวันนี้ด้วยโหมดต่าง ๆ ของกล้อง เพื่อมาดูกันว่าฟีเจอร์ไหนที่จะทำให้อาหารของเราน่ากินที่สุด
ภาพจากโหมดกล้องธรรมดา
ภาพจากการเปิดใช้ AI
ภาพจากการใช้โหมดถ่ายบุคคล (Portrait) แบบ Auto
สุดท้ายคือ ภาพจากการใช้โหมดถ่ายบุคคล (Portrait) แบบปรับความเบลอด้วยตัวเอง
เมื่อเทียบกันแล้ว จะเห็นว่าโหมดกล้องธรรมดาจะแทบไม่ได้มีการเน้นโฟกัสตรงจุดใดจุดหนึ่ง ขณะที่โหมด AI จะช่วยเลือกโฟกัสให้พร้อมปรับแต่งสีของภาพเล็กน้อย ในส่วนของโหมดถ่ายบุคคลจะได้การเบลอฉากที่ชัดเจนกว่าและสีของภาพที่ดูละมุนขึ้น แต่ต้องบอกเลยว่าเราชอบผลลัพธ์ของภาพจากโหมดถ่ายบุคคลที่เลือกปรับโฟกัสเองมากกก การเบลอฉากที่ว่าทำได้ดีเลย เน้นตัวอาหารได้ดูน่ากินมาก จากปอเปี๊ยะสามชิ้นยี่สิบห้าบาท กลายเป็นปอเปี๊ยะจักรพรรดิเลยค่ะ ฮ่า
นอกจากนี้ ความพิเศษของโหมดถ่ายบุคคล (Portrait) คือเราสามารถย้อนกลับไปเลือกปรับแต่งภาพทีหลังได้ โดยการเข้าไปยัง Gallery แล้วกดไอคอนกลม ๆ กลางภาพ
จากนั้นก็เลือกปรับได้ตามใจชอบเลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็นความเบลอของฉาก เส้นบนฉาก หรือฟิลเตอร์แสงภาพยนตร์ เรียกได้ว่าต่อให้ถ่ายพลาดหรือภาพไม่สวยดั่งใจ ก็สามารถแก้ตัวใหม่ได้ด้วยตัวช่วยเหล่านี้เลยค่ะ
เรายังไม่หยุดเพียงแค่นี้ ด้วยความลำพองของการมีตัวช่วยอย่าง Mi 11 อยู่ในมือ จึงอยากทดลองเป็นตากล้องหนึ่งวัน โดยการไล่นางแบบให้ไปเข้าฉาก และถ่ายด้วยโหมดถ่ายบุคคล
แสงสวย ฉากสวย แต่ตากล้องถ่ายรูปไม่เก่ง ภาพแรกเลยออกมางงๆ แถมมีเงาสะท้อนติดมาด้วยค่ะ T_T เลยแก้ปัญหาด้วยการลองปรับเบลอนิดหน่อยในภาพที่สอง (ตามฟีเจอร์ด้านบน) ก็ช่วยให้ภาพดีขึ้น พอถูไถไปได้ หรือจะใช้ฟิลเตอร์ภาพยนตร์ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยได้มากทีเดียวเช่นกันค่ะ
มาถึงฟีเจอร์ที่ส่วนตัวชอบมากที่สุดของ Mi 11 ซึ่งอยู่ในฟีเจอร์เอฟเฟกต์ภาพยนตร์ นั่นคือ 'โลกคู่ขนาน' ค่ะ เป็นฟีเจอร์ที่ใช้งานง่าย เพียงแค่ยกกล้องขึ้นส่อง กะมุมของภาพเอาตามที่ต้องการแล้วกดถ่าย นอกนั้นตัวกล้องจะจัดการให้หมดเลยค่ะ ทั้งการเคลื่อนไหวของภาพและสีสัน ให้ความรู้สึกที่แตกต่างและโดดเด่นมาก ๆ
ภาพตัวอย่างจากฟีเจอร์วิดีโอโลกคู่ขนาน
อีกฟีเจอร์หนึ่งที่เป็นจุดขายเลย ก็คือฟีเจอร์ 'โคลน' ค่ะ ซึ่งมีทั้งโคลนภาพถ่ายและโคลนวิดีโอเลย ด้วยความตื่นเต้นกับลูกเล่นนี้ ก็ได้ไล่นางแบบไปเข้าฉากเพื่อสวมบทตากล้องอีกครั้ง
มีความพยายามจะให้นางแบบโพสต์ท่า แต่ด้วยความที่ไม่สนิทกับการถ่ายรูปมาตั้งแต่แรกทำให้กดถ่ายไม่ถูกจังหวะ ภาพเลยออกมาตกขอบอย่างที่เห็นค่ะ แง T_T
ด้วยเลือดนักสู้เลยไม่ยอมแพ้ ไปลองอีกครั้งในโซนโกดังสินค้าค่ะ ได้ภาพที่ดีขึ้นมาอีกนิด
มาถึงสถานที่ยอดนิยมของชาวฮิปสเตอร์ทั้งที ตามธรรมเนียมก็ต้องมีรูปเท่ ๆ เฟียส ๆ สักรูปในโกดังสินค้า เลยจัดไปด้วยความช่วยเหลือของโหมด AI ค่ะ
กว่าจะเสร็จภารกิจซื้อของ กลับถึงบ้านก็มืดค่ำแล้ว เหลือบตาขึ้นไปเห็นพระจันทร์กลมโตสวยอิ่มอยู่บนฟ้า ก็ปิ๊งขึ้นมาได้ว่าช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมามีกระแสฮิตถ่ายภาพพระจันทร์กันครึกโครมในโซเชียลเน็ตเวิร์ค ทางเราก็ไม่รอช้าค่ะ เปิด Google ค้นหาวิธีถ่ายภาพพระจันทร์ด้วยโหมดโปรฯทันที
เราตั้งทุกอย่างให้เป็นอัตโนมัติ และเลื่อนปรับเพียงค่า ISO เลือกความชัดที่ต้องการ จากนั้นก็ซูมมม บังคับมือให้นิ่งที่สุดแล้วกดถ่ายภาพ ได้มาเท่านี้ค่ะ
ภาพถ่ายจากโหมดโปรฯ
นั่งภาคภูมิใจกับตัวเองอยู่สักพักพร้อมเลื่อนดูฟีเจอร์กล้องอื่น ๆ ไปมา ตาก็เพิ่งเหลือบไปเห็นว่า Mi 11 เขามีโหมด 'ซุปเปอร์มูน' มาให้อยู่แล้ว! เอ้า!
ด้วยเหตุนี้เลยต้องตาลีตาเหลือกวิ่งออกไปที่ถนนหน้าบ้านเพื่อถ่ายพระจันทร์ใหม่อีกครั้ง คิดแล้วจะร้องไห้ เสียดายเวลาที่ไปยืนปรับ ISO อยู่ตั้งนาน เพราะฟีเจอร์นี้สะดวกสบายมาก ไม่ต้องทำอะไรกับมันเลยนอกจากกดซูมและยกมือให้นิ่งอย่างเดียวเท่านั้น แถมระยะซูมก็ให้มาถึง 30 เท่า เราจึงได้ภาพพระจันทร์โตสวยมาอย่างง่ายดาย
ภาพถ่ายจากโหมด 'ซุปเปอร์มูน'
ถึงแม้รูปพระจันทร์ที่เราถ่ายจะได้มาแบบมีสายไฟบัง แต่ด้วยฟีเจอร์แก้ไขภาพที่ Mi 11 ให้มาใน Gallery ก็ช่วยให้เราสามารถเลือกภาพมาตกแต่งเพิ่มเติม หรือใส่เอฟเฟกต์ต่าง ๆ ออกแบบภาพใหม่ให้น่าสนใจขึ้นได้ง่าย ๆ เลย
จบกันไปแล้วสำหรับผลลัพธ์ของ 'หนึ่งวันกับฟีเจอร์กล้องจาก Mi 11 ฉบับคนถ่ายรูปไม่เก่ง' ทีนี้เราจะมาสรุปความคิดเห็นและความรู้สึกทั้งหมดหลังจากได้ใช้งานฟีเจอร์กล้องของเจ้า Mi 11 กันค่ะ
สรุปฟีเจอร์กล้องหลังทดลองใช้งานในหนึ่งวัน
สำหรับกล้องของเจ้าน้อง Mi 11 นี้ เรื่องความคมชัดไม่มีที่ติดเลยค่ะ แม้ว่าจะซูม 30 เท่าก็ยังได้ภาพที่ไม่แตก เหมาะสำหรับคนที่ชื่นชอบการถ่ายภาพเพื่อนำไปตกแต่งต่อทีหลัง สำหรับตัว AI ของกล้อง ต้องบอกตรง ๆ ว่าช่วยได้มากเลยสำหรับคนที่ถ่ายรูปไม่เก่งอย่างเราที่ไม่มีทักษะการเลือกแสงและปรับสี เจ้า AI ก็เข้ามาช่วยในส่วนนี้หมดเลยค่ะ ส่วนโหมดถ่ายบุคคล (Portrait) มองว่าการเบลอเส้นกรอบของคนยังทำได้ไม่ค่อยเนียนเท่าไหร่ แต่ถ้าเน้นถ่ายวิว ถ่ายอาหาร บอกเลยว่าได้ภาพที่สวยใช้ได้เลย สำหรับฟีเจอร์ต่าง ๆ ที่ให้มาอย่างจัดเต็มทั้งภาพถ่ายและวิดีโอ ช่วยให้คนที่ไม่มีเทคนิคถ่ายรูปเล่นสนุกกับการใช้กล้องได้มากขึ้นจริง ๆ แต่ต้องสารภาพว่าฟีเจอร์เอฟเฟกต์ภาพยนตร์แอบใช้งานค่อนข้างยาก และที่สำคัญคือบางตัวจับเซนเซอร์เฉพาะบุคคล ทำให้ไม่สามารถใช้กับภาพวิว อาหาร หรือว่าสัตว์เลี้ยงได้ค่ะ ถือเป็นข้อจำกัดเล็ก ๆ ที่มีผลต่อการใช้งานอยู่บ้างเหมือนกัน แต่สิ่งที่ต้องขอชมและคิดว่าชอบที่สุดสำหรับคนถ่ายรูปไม่เก่งอย่างเราเลย คือฟีเจอร์แก้ไขภาพ (Edit) ที่ให้มาทั้งในโหมดถ่ายบุคคล (Portrait) และใน Gallery ของ Mi 11 ส่วนนี้เป็นสิ่งที่ช่วยได้มากเลยจริง ๆ เพราะปัญหาของคนถ่ายรูปไม่เก่งคือมักจะกดชัตเตอร์และไม่เคยได้รูปที่ต้องการ จะกลับไปถ่ายใหม่ บรรยากาศที่อยากได้ก็ผ่านพ้นไปแล้ว ด้วยเหตุนี้การที่สามารถกลับมาแก้ไขหรือตกแต่งภาพใหม่ได้ภายหลัง โดยมีฟีเจอร์ให้เลือกสรรได้เยอะ ๆ แบบนี้ถือว่าเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์มาก ๆ
สุดท้ายนี้ แม้ผลลัพธ์ของการใช้งานฟีเจอร์กล้องของ Mi 11 ในหนึ่งวันจะไม่ได้รูปสวย ๆ กลับมาเยอะแยะตามที่คาดหวัง แต่ก็พูดได้เต็มปากว่าเราสนุกกับการใช้งานมาก ด้วยการออกแบบอินเตอร์เฟสที่ใช้งานง่าย และลูกเล่นของฟีเจอร์ที่ให้มาอย่างจัดเต็ม ทำให้เรากล้าที่จะลองเล่นสนุกกับการถ่ายรูปและวิดีโอได้โดยไม่ต้องกังวล เรียกได้ว่าสำหรับคนที่ถ่ายรูปไม่เก่ง เจ้า Xiaomi Mi 11 ตัวนี้ ถือว่าเป็นตัวช่วยที่เลิศมาก ๆ เลยค่ะ