รีวิว OPPO Reno5 Series 5G ที่สุดของสายถ่ายวิดีโอ Portrait ถ่ายสวยจบในเครื่องเดียว เพียงราคาหมื่นต้น!
OPPO Reno5 Series 5G เปิดตัวและวางจำหน่ายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการแล้วครับ มาพร้อมรุ่นย่อย 2 รุ่น ได้แก่
OPPO Reno5 และ
OPPO Reno5 5G โดยทั้งสองรุ่นมาพร้อมดีไซน์ที่สวยงามสะดุดตา แถมยังมีน้ำหนักที่เบามากๆ งานประกอบเนี๊ยบ วัสดุดุพรีเมี่ยม ไม่ว่าใครได้เห็น ได้สัมผัสจะต้องมีหลงรัก OPPO Reno5 Series 5G อย่างแน่นอนเลยครับ สำหรับสมาร์ทโฟนรุ่นนี้จะมาพร้อมสโลแกน Picture Life Together เพราะการใช้ชีวิตทุกวันนี้ สังคมทำให้เราใช้เวลากับคนที่เรารักน้อยลง แต่ด้วย OPPO Reno5 และ OPPO Reno5 5G จะช่วยให้คุณได้ใช้เวลา และสร้างโมเมนต์ดีๆกับคนที่เรารักได้มากยิ่งขึ้น
VIDEO
แกะกล่อง OPPO Reno5 Series 5G สมาร์ทโฟนตัวใหม่ที่ออปโป้บอกว่าเป็น ที่สุดของวิดีโอ Portrait
กับฟีเจอร์การถ่ายวิดีโอใหม่ล่าสุดจากออปโป้ Dual-view Video ช่วยให้คุณสามารถถ่ายวิดีโอจากกล้องหน้าและกล้องหลัง ได้พร้อมกัน และฟีเจอร์ AI Mixed Portrait ที่ทางออปโป้เป็นเจ้าแรกที่นำเทคนิค Double Exposure Effect มาใช้ในการถ่ายวิดีโอ ช่วยให้เราได้คลิปวิดีโอที่สวยงามอย่างน่าทึ่งมากๆเลยครับ สมกับเป็นที่สุดของสมาร์ทโฟนสายวิดีโออย่างแท้จริง และแน่นอนเรื่องภาพนิ่งออปโป้ก็จัดเต็มด้วยฟีเจอร์เด่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี Imager Clear Engine (ICE) ที่ช่วยให้ถ่ายภาพได้อย่างคมชัด วัตถุที่เคลื่อนไหวดูชัดเจนมากยิ่งขึ้น และมาพร้อม AI Scene Enhancement ซึ่งสามารถตรวจจับและวิเคราะห์ได้มากถึง 22 รูปแบบ ช่วยให้ถ่ายภาพได้สวยงาม ไม่มีผิดพลาด และลูกเล่นที่หลายๆคนหลงรักใน OPPO Reno4 ไม่ว่าจะเป็น AI Color Portrait, Monochrome Video และ Night Flare Portrait ก็มีมาให้อย่างครบถ้วนเลยใน OPPO Reno5 รวมไปถึงสามารถถ่ายภาพความละเอียดสูงพิเศษ 108MP ได้ด้วยนะครับ ด้วยฟีเจอร์ Extra HD เรามาดูกันดีกว่าครับว่าสมาร์ทโฟนสองรุ่นนี้จะมีความน่าสนใจขนาดไหน
OPPO Reno5 Series 5G จุดขายสำคัญเลย ก็คือเรื่องของการถ่ายภาพและการถ่ายวิดีโอ โดยทั้งสองรุ่นนี้จะมาพร้อมสเปคกล้องที่เหมือนกันเลยครับ ต่างกันที่ความละเอียดกล้องหน้า OPPO Reno5 มาพร้อมกล้องหน้าความละเอียด 44MP และ OPPO Reno5 5G มาพร้อมกล้องหน้าความละเอียด 32MP และมาพร้อมกล้องหลัง 4 เลนส์ทั้งคู่ โดยจะมีความละเอียดดังนี้ครับ
64MP F1.7, (wide), PDAF 8MP F2.2, (ultrawide) 2MP F2.4, (macro) 2MP F2.4, (mono) บันทึกวิดีโอความละเอียดสูงสุด 4K 30FPS และมีระบบกันสั่น EIS ฟีเจอร์กล้องคุณภาพสูง และเต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์
OPPO Reno5 และ OPPO Reno5 5G อัดแน่นมาด้วยฟีเจอร์กล้องคุณภาพสูงที่น่าสนใจ แต่ทั้ง 2 รุ่นนี้จะมีลูกเล่นที่แตกต่างกันอยู่ครับ
VIDEO
ตัวอย่างฟีเจอร์ถ่ายวิดีโอของ OPPO Reno5 Series 5G
ฟีเจอร์ AI Mixed Portrait, AI Color Portrait, Monochrome Video จะมีเฉพาะในรุ่น OPPO Reno5 ฟีเจอร์ Dual-view Video, Image-clear Engine (ICE), AI Scene Enhancement, Ultra-clear 108MP Image, AI Highlight Video, Ultra Dark Mode, Ultra Night Selfie Mode, Night Flare Portrait, Ultra Steady Video 3.0 จะมีทั้ง 2 รุ่นเลยครับทั้ง OPPO Reno5 และ OPPO Reno5 5G ฟีเจอร์ Portrait Beautification Video จะมีเฉพาะใน OPPO Reno5 5G จากการทดสอบต้องบอกว่าฟีเจอร์กล้อง ทั้งการถ่ายภาพนิ่ง และวิดีโอของ OPPO Reno5 Series 5G นั้นน่าประทับใจมากๆครับ ทำได้ดีเยี่ยมสมกับเป็นจุดขายสำคัญของสมาร์ทโฟนสองรุ่นนี้ ยอดเยี่ยมทั้งกล้องหน้า และกล้องหลังเลย เรามาดูแต่ละฟีเจอร์กันครับ (สามารถชมตัวอย่างวิดีโอ ที่ผมไปถ่ายทำได้ที่คลิปวิดีโอด้านบนครับ)
Dual-view Video ช่วยให้สามารถถ่ายวิดีโอจากกล้องหน้า และกล้องหลังได้พร้อมกัน รองรับรูปแบบการแบ่งหน้าจอที่แตกต่างกันได้ ถึงสามแบบได้แก่ Split, Round และ Rectangle โดย เมื่อใช้เลย์เอาต์ Round หรือ Rectangle จะสามารถกดลาก หน้าต่างเล็กไปมาได้ทั่วทั้งหน้าจอ เพื่อปรับภาพวิดีโอได้อย่างอิสระ (เปิดใช้งานที่ Camera > More > Dual-view Video > Top Toolbar > Grid > Lower Toolbar > Split/Round/Rectangle)
AI Mixed Portrait ออปโป้เป็นเจ้าแรกที่นำเทคนิค Double Exposure Effect มาใช้ในการถ่ายวิดีโอแบบวิดีโอซ้อนภาพกับวิดีโอ ช่วยให้เราได้คลิปวิดีโอที่สวยงามอย่างน่าทึ่ง จะสามารถเลือกได้สองรูปแบบได้แก่ เบลนด์ และซิลลูเอท โดยฟีเจอร์นี้สามารถแสดงตัวอย่างวิดีโอได้แบบเรียลไทม์เลยนะครับ สร้างสรรค์ได้เยอะมากๆ (เปิดใช้งานที่ Camera > More > AI Mixed Portrait)
ข้อแนะนำ สามารถถ่ายวิดีโอที่เราต้องการใช้เป็นฉากหลังเก็บเอาใว้ก่อนได้ครับ และควรจะเลือกภาพที่มีความสว่างสดใส จะช่วยให้เรานำมาถ่ายซ้อนได้อย่างสวยงามมากกว่าวิดีโอที่มีแสงน้อยและดำมืด หรือจะถ่ายซ้อนในโลเคชั่นเดียวกันเลยก็ได้ เหมือนกับภาพทางซ้ายมือสุด ที่ผมถ่ายภาพน้องนางแบบซ้อนกันไปเลย ก็จะได้วิดีโอแบบ Double Exposure Effect ที่ออกมาแปลกตาและสวยดีครับ
AI Color Portrait ช่วยให้ภาพบุคคลยังมีสีสันสดสวย แต่ฉากหลังจะกลายเป็นสีขาว-ดำ อย่างเป็นธรรมชาติ ช่วยให้ภาพบุคคลดูโดดเด่นมากยิ่งขึ้น (ภาพนิ่งเปิดใช้งานที่ Camera > Portrait Mode > Filters > AI Color Portrait และวิดีโอเปิดใช้งานที่ Camera > Video > Filters > AI Color Portrait)
Monochrome Video มาพร้อมกับฟิลเตอร์การถ่ายวิดีโอที่ต่างกันถึงสามแบบ โดยผู้ใช้สามารถเลือกไฮไลต์เฉพาะสีแดง สีเขียว หรือสีน้ำเงินในวิดีโอได้ (เปิดใช้งานที่ Camera > Video > Rear Camera > Filters > Crimson / Forest Green / Sky Blue)
ปิด AI Highlight Video
เปิด AI Highlight Video
AI Highlight Video เพิ่มคุณภาพของ วิดีโอให้คมชัด สว่าง และเป็นธรรมชาติมากขึ้น ไม่ว่าจะถ่ายวิดีโอในที่ที่มีแสงน้อยหรือย้อนแสง (AI Highlight Video จะมีเฉพาะใน OPPO Reno5 5G แต่ในรุ่น OPPO Reno5 ก็จะมีระบบ HDR เช่นกันนะครับ)
Ultra Dark Mode ช่วยให้ถ่ายภาพยามค่ำคืน และในที่แสงน้อยได้คมชัด สว่างสดใสมากยิ่งขึ้น (เปิดใช้งานที่ Camera > Night > Rear Camera) นอกจากนี้ด้วยระบบ AI ทำให้การถ่ายวิดีโอยามค่ำคืนก็ทำได้ยอดเยี่ยมยิ่งกว่าที่เคย
Night Flare Portrait ระเบิดโบเก้ยามค่ำคืน สวยยิ่งกว่าใคร ให้ผลลัพธ์คล้ายกับภาพจากกล้อง DSLR (เปิดใช้งานที่ Camera > Rear Camera > Portrait Mode > Filters > Neon Portrait)
Ultra Night Selfie Mode หมดปัญหาการถ่าย Selfie แล้วหน้ามืด ไม่สวย ด้วยฟีเจอร์นี้จะช่วยให้การถ่ายในที่แสงน้อย ทุกๆรูปแบบ หมดปัญหาไปอย่างแน่นอนครับ ถ่ายสภาพแสงไหนก็ออกมาสวย (เปิดใช้งานที่ Camera > Night > Selfie)
Selfie Mode สวยสมบูรณ์แบบสมกับเป็นออปโป้ สวยคม และนุ่มนวลดูเป็นธรรมชาติ ไม่ต้องไปแต่งภาพเพิ่มเลย รวมทั้งยังสามารถถ่ายภาพ Selfie ละลายฉากหลังได้สวยงามมากๆอีกด้วย (เปิดใช้งานที่ Camera > Selfie)
Portrait Mode ถ่ายภาพหน้าชัดหลังละลายได้อย่างสวยงาม แยกระยะชัดลึกได้อย่างชาญฉลาด (เปิดใช้งานที่ Camera > Portrait)
Ultrawide
1x
2x
5x
OPPO Reno5 Series 5G รองรับระยะการถ่ายภาพตั้งแต่ Ultrawide ไปจนถึง 5x
การเชื่อมต่อ และรายละเอียดสเปค
OPPO Reno5 มีรายละเอียดสเปคดังต่อไปนี้
GSM 850 / 900 / 1800 / 1900 HSDPA 850 / 900 / 1700(AWS) / 1900 / 2100 LTE band 1, 2, 3, 4, 5, 7, 8, 20, 28, 38, 40 Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac, dual-band, Wi-Fi Direct, hotspot Bluetooth 5.0, A2DP, LE GPS, A-GPS, GLONASS, GALILEO, BDS พอร์ทหูฟัง 3.5 มม. USB Type-C 2.0, USB On-The-Go หน้าจอ AMOLED รูปแบบ Punch-hole Display ขนาด 6.43 นิ้ว ความละเอียด Full HD+ 1080 x 2400 pixels (410 ppi) อัตราส่วนหน้าจอ 20:9, Refresh Rate 90Hz, ความสว่างหน้าจอสูงสุด 750 nits มีให้เลือก 2 สี ได้แก่ Fantasy Silver และ Starry Black ชิปเซ็ต Qualcomm Snapdragon 720G CPU Octa-core (2x2.3 GHz Kryo 465 Gold & 6x1.8 GHz Kryo 465 Silver) GPU Adreno 618 RAM 8GB (LPDDR4X) ROM 128GB (UFS 2.1) รองรับ microSDXC เซ็นเซอร์ AI Face Access, Fingerprint (under display, optical), accelerometer, gyro, proximity, compass ทำงานบน Android 11 ครอบทับด้วย ColorOS 11.1 แบตเตอรี่ความจุ 4,310 mAh รองรับชาร์จเร็ว 50W OPPO Reno5
OPPO Reno5 5G มีรายละเอียดสเปคดังต่อไปนี้
GSM 850 / 900 / 1800 / 1900 HSDPA 800 / 850 / 900 / 1700(AWS) / 1900 / 2100 LTE band 1, 2, 3, 4, 5, 8, 34, 38, 39, 40, 41 5G band 1, 3, 41, 77, 78 SA/NSA Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac, dual-band, Wi-Fi Direct, hotspot Bluetooth 5.1, A2DP, LE, aptX HD GPS, A-GPS, GLONASS, BDS, GALILEO, QZSS พอร์ทหูฟัง 3.5 มม. USB Type-C 3.1, USB On-The-Go หน้าจอ AMOLED รูปแบบ Punch-hole Display ขนาด 6.43 นิ้ว ความละเอียด Full HD+ 1080 x 2400 pixels (410 ppi) อัตราส่วนหน้าจอ 20:9, Refresh Rate 90Hz, ความสว่างหน้าจอสูงสุด 750 nits มีให้เลือก 2 สี ได้แก่ Galactic Silver และ Starry Black ชิปเซ็ต Qualcomm Snapdragon 765G CPU Octa-core (1x2.4 GHz Kryo 475 Prime & 1x2.2 GHz Kryo 475 Gold & 6x1.8 GHz Kryo 475 Silver) GPU Adreno 620 RAM 8GB (LPDDR4X) ROM 128GB (UFS 2.1) เซ็นเซอร์ AI Face Access, Fingerprint (under display, optical), accelerometer, gyro, proximity, compass ทำงานบน Android 11 ครอบทับด้วย ColorOS 11.1 แบตเตอรี่ความจุ 4,300 mAh รองรับชาร์จเร็ว 65W SuperVOOC 2.0 OPPO Reno5 5G
OPPO Reno5 มาพร้อมคะแนนทดสอบดังนี้
ทดสอบด้วยแอปพลิเคชัน AnTuTu Benchmark ทำไปได้ 281,087 คะแนน ทดสอบ MultiTouch รองรับ 10 จุด ทดสอบด้วยแอปพลิเคชัน AndroBench ทำความเร็ว Storage ในการอ่านอยู่ที่ 502.83 MB/s และการเขียน 260.75 MB/s (UFS 2.1) ทำความเร็ว RAM ในการอ่านอยู่ที่ 167.53 MB/s และการเขียน 154.27 MB/s (LPDDR4X) รองรับ DRM L1 สามารถรับชม Netflix FHD ทดสอบสัญญาณ GPS จับสัญญาณได้รวดเร็วมาก OPPO Reno5 5G มาพร้อมคะแนนทดสอบดังนี้
ทดสอบด้วยแอปพลิเคชัน AnTuTu Benchmark ทำไปได้ 313,845 คะแนน ทดสอบ MultiTouch รองรับ 10 จุด ทดสอบด้วยแอปพลิเคชัน AndroBench ทำความเร็ว Storage ในการอ่านอยู่ที่ 934.87 MB/s และการเขียน 470.94 MB/s (UFS 2.1) รองรับ DRM L1 สามารถรับชม Netflix FHD ทดสอบสัญญาณ GPS จับสัญญาณได้รวดเร็วมาก OPPO Reno5 Series 5G มาพร้อมแบตเตอรี่ความจุสูง และรองรับมาตรฐานชาร์จเร็ว ความเร็วสูงมากทั้งคู่เลยด้วยนะครับ จากการทดสอบ สามารถใช้งานได้ตลอดวันสบายๆ โดยไม่ต้องพกที่ชาร์จหรือ Power Bank เลย หรือต่อให้ต้องชาร์จก็ชาร์จเร็วมากๆ ไม่มีปัญหากับการใช้งานระหว่างวันอย่างแน่นอน
OPPO Reno5 แบตเตอรี่ความจุ 4,310 mAh รองรับชาร์จเร็ว 50W (ในกล่องแถมที่ชาร์จ 65W SuperVOOC 2.0 มาให้ แต่ตัวเครื่องไม่ได้รองรับเทคโนโลยีนี้นะครับ) ชาร์จเต็ม 100% ในเวลาเพียง 48 นาที OPPO Reno5 5G แบตเตอรี่ความจุ 4,300 mAh รองรับชาร์จเร็ว 65W (SuperVOOC 2.0) ชาร์จเต็ม 100% ในเวลาเพียง 35 นาที ดีไซน์โดดเด่นเป็นประกายระยิบระยับ สะดุดตากว่าใครๆ
OPPO Reno5 Series 5G มาพร้อมดีไซน์ที่สวยงาม ดูคล้ายๆกับ OPPO Reno4 แต่วัสดุและงานประกอบจะดูแน่นกว่า แถมยังมาพร้อมโทนสีใหม่ โดยสีเด่นของสองรุ่นนี้จะเป็นสีเงินครับ ซึ่งถ้าถ่ายรูปออกมาจะแยกกันไม่ออกเลย แต่ถ้าสัมผัสและดูด้วยตาตัวเองจะเห็นว่ามีความแตกต่างกัน ที่สำคัญคือสวยงามมากๆทั้งคู่ ทั้งสี Fantasy Silver (OPPO Reno5 ) และ Galactic Silver (OPPO Reno5 5G )
โดยเฉพาะในสี Galactic Silver จะมาพร้อมเทคโนโลยี Diamond Spectrum Process ซึ่งจะก่อให้เกิดเอฟเฟกต์ Reno Glow เปลี่ยนแปลงสีสันตามสภาพแวดล้อม ทำให้เราจะได้เห็นโทนสีฝาหลังเปลี่ยนแปลงไปได้นับพันเฉดสีเลยทีเดียว แต่ที่เด่นชัดที่สุดก็คือโทนสีเขียว สีเหลือง สีฟ้า สีม่วง และสีส้ม โดยเฉพาะสาวๆผมว่าจะต้องชอบอย่างแน่นอน แถมยังเป็นผิวด้านทำให้ไม่เป็นรอยนิ้วมืออีกด้วย ทั้งสวยงาม และมีประโยชน์ในการพกพา ส่วนอีกสีนั่นก็คือสีดำ Starry Black เป็นสีที่สวยและดูสุขุม พรีเมี่ยม และเหมาะกับการพกพาในทุกๆโอกาส ผมว่าถูกใจทุกๆคนอย่างแน่นอน สำหรับสีนี้จะเป็นผิวมันเงาครับ
OPPO Reno5 Series 5G จะมาพร้อมกล่องสีเขียวดูแปลกตา ในกล่องจะประกอบด้วย ตัวเครื่อง, แน่นอนครับว่าออปโป้ยังคงแถมอะแดปเตอร์มาให้เหมือนเดิม แถมยังเป็น 65W SuperVOOC 2.0 ซะด้วย, สาย USB Type-C, หูฟังแบบ Earbud, เคสใส, เข็มจิ้มซิม, คู่มือ แถมมาให้ครบไม่ต้องไปหาซื้อเพิ่ม
และทั้งสองรุ่น มีดีไซน์ที่เหมือนกันเลยครับ มีความบางเพียง 7.9 มม. และมีน้ำหนักที่เบามากๆเพียงแค่ 172 กรัม (Fantasy Silver และ Starry Black) และ 180 กรัม (Galactic Silver หนักกว่าเพราะ เทคโนโลยี Diamond Spectrum Process) เท่านั้นเอง หน้าจอ AMOLED รูปแบบ Punch-hole Display ขนาด 6.43 นิ้ว ความละเอียด Full HD+ 1080 x 2400 pixels (410 ppi) อัตราส่วนหน้าจอ 20:9, Refresh Rate 90Hz, ความสว่างหน้าจอสูงสุด 750 nits, อัตราส่วนหน้าจอคิดเป็น 91.7% จากพื้นที่ด้านหน้าตัวเครื่องทั้งหมด เป็นหน้าจอสเปคสูง ที่มีสันสวยงาม ลื่นละมุนตา แถมทัชลื่นติดนิ้วดีด้วย
ด้านหลังประกอบด้วยชุดกล้องดีไซน์สวย 4 เลนส์ พร้อมไฟแฟลช LED สีสันสวยมากๆทั้ง Fantasy Silver และ Starry Black เลยครับ เล่นเอาเลือกกันไม่ถูกเลย
ด้านบนมีไมค์ตัดเสียงรบกวน, ด้านล่างมีพอร์ทหูฟัง 3.5 มม. ไมโครโฟน USB Type-C และลำโพง เสียงดังมากครับ มีมิติและไม่แตกเลย, ด้านซ้ายมีช่องใส่ซิม และปุ่มปรับระดับเสียง, ด้านขวามีปุ่ม Power
รองรับสัญญาณ 5G มาตรฐานใหม่ของวันนี้
OPPO Reno5 5G รองรับสัญญาณ 5G ในบ้านเราครับ สำหรับซิมที่ผมนำมาทดสอบจะเป็นซิมของ TrueMove H ซึ่งต้องบอกว่าทุกผู้ใหบริการเครือข่ายในบ้านเรามีความพร้อมที่จะให้บริการ 5G ในเชิงพาณิชย์แล้วนะครับ และแน่นอนว่าสามารถใช้งาน 5G ได้ครอบคลุมตามที่ผู้ให้บริการเครือข่ายรองรับ จากการทดสอบใช้งาน 5G จากแถวสยามไปจนถึงพระราม 2 สามารถรับสัญญาณได้ปกติ และใช้งานได้อย่างราบรื่น
OPPO Reno5 Series 5G มาพร้อม Android 11 ครอบทับด้วย ColorOS 11.1 ใหม่ล่าสุดเลย หน้าตาอินเตอร์เฟสสวยงามมาก และทันสมัยมากยิ่งขึ้น นอกจากสิ่งที่เคยมีซึ่งวิเศษมากๆอยู่แล้ว ยังมีการปรับปรุงในส่วนต่างๆให้สามารถปรับแต่งได้มากยิ่งขึ้น ทั้งในส่วนของ Always-On Display ที่สามารถปรับแต่งได้อย่างหลากหลาย, Dark Mode ที่สามารถปรับแต่งได้มากกว่าที่เคย, FlexDrop หน้าต่างแอปแบบ Pop-Up ที่ช่วยให้การใช้งานสลับแอปไม่มีสะดุด, สามารถแปลภาษาผ่าน Google Lens ได้ง่ายกว่าที่เคยด้วย Smart Gesture (ใช้นิ้ว 3 นิ้วลากบนหน้าจอ), Private System สามารถสร้างแอคเคาท์ แยกออกมา ซึ่งแอปและข้อมูลในแอคเคาท์ที่สร้างจะไม่เกี่ยวข้องกันกับระบบแอคเคาท์ต้นฉบับของเรา แนะนำว่าต้องลองเลยครับ น่าเล่นกว่าเดิมเยอะมากครับ
OPPO Reno5 Series 5G มาพร้อม Android 11 ครอบทับด้วย ColorOS 11.1
Always-On Display ที่สามารถปรับแต่งได้อย่างหลากหลายมากกว่าเดิม
Dark Mode ที่สามารถปรับแต่งได้หลากหลายยิ่งขึ้น สามารถปรับระดับความเข้มได้ 3 ระดับ รองรับการปลดล็อคหน้าจอด้วยลายนิ้วมือ (รองรับสูงสุด 5 ลายนิ้วมือ) และการสแกนใบหน้า ความแม่นยำทำได้ดีมาก
หน้าตาเมนูการตั้งค่า Smart Gesture ต่างๆ ดูแปลกตาและน่าใช้ยิ่งขึ้นนะครับ
OPPO Reno5 Series 5G มาพร้อม Gamer Mode จะปิดกั้นสิ่งที่จะเข้ามารบกวนเราระหว่างเล่นเกม จะซ่อนแถบสถานะ ปุ่มนำทาง และบล็อกการสั่งการต่างๆ รวมถึงฟีเจอร์อำนวยความสะดวกต่างๆ ที่เราอาจจะเผลอใช้งานโดยไม่ตั้งใจ รวมไปถึงการแจ้งเตือน และสายที่โทรเข้าต่างๆด้วย แต่ไม่ต้องห่วงว่าจะพลาดการแจ้งเตือนหรือสายที่สำคัญ เพราะมีฟีเจอร์ Bullet Screen Message ที่จะช่วยแจ้งเตือนแบบ Bullet เข้ามาแทนการแจ้งเตือนแบบ Banner เดิมๆ เพื่อช่วยให้ผู้ใช้สามารถรับข้อความที่สำคัญได้ทันที โดยไม่ต้องปิดหน้าจอเกม แอปที่รองรับ ได้แก่ WhatsApp, Telegram, Line, Messenger และ SMS
นอกจากนี้ OPPO Reno5 Series 5G ยังมี Gaming Shortcut Mode ผู้ใช้สามารถเข้าถึงเกมได้อย่างรวดเร็วผ่าน Game Space หรือ Game Assistant และสามารถข้ามอินโทรลเปิดตัวเกมในตอนเริ่มต้นให้โดยอัตโนมัติ ด้วยฟีเจอร์นี้ทางออปโป้เคลมว่าสามารถเริ่มต้นเกมได้เร็วขึ้น 15 วินาทีเมื่อเทียบกับรุ่น OPPO Reno4 ทดสอบด้วยเกม Arena of Valor และยังมาพร้อมฟีเจอร์ Gaming Touch ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการสัมผัสหน้าจอระหว่างเล่นเกม สามารถปิดการตอบสนองเมื่อสัมผัสที่ขอบหน้าจอ โดยที่ไม่ได้ตั้งใจ
OPPO Reno5 5G
OPPO Reno5
จากการทดสอบ OPPO Reno5 5G กับเกม ROV สามารถเล่นได้ที่ 59 FPS - 60 FPS และทัชหน้าจอได้อย่างลื่นไหลดีมาก ส่วนรุ่น OPPO Reno5 ทดสอบกับเกม ROV เช่นกัน ทำไปได้ที่ 59 FPS นิ่งๆครับ และทัชหน้าจอได้ดีมาก ผมค่อนข้างทึ่งมากๆนะครับ ไม่ธรรมดาทั้งคู่เลย เหมาะกับการเล่นเกมทั้งสองรุ่น
OPPO Reno5 Series 5G เป็นสมาร์ทโฟนที่น่าสนใจมากๆในช่วงราคานี้เลยครับ มาพร้อมดีไซน์ที่สวยงาม โทนสีใหม่ที่มีความแปลกใหม่ เทคโนโลยี Diamond Spectrum Process ซึ่งชาวยให้เกิดเอฟเฟกต์ Reno Glow เปลี่ยนแปลงสีสันตามสภาพแวดล้อมสวยงามมากๆ แถมในส่วนของสเปคยังทำออกมาได้ดี มีสเปคที่สูง เพียงพอต่อการใช้งานทุกรูปแบบ รองรับ 5G มาตรฐานใหม่ของวันนี้ แถมยังมาพร้อมกล้องคุณภาพสูง ที่พัฒนา File ภาพขึ้นอีกระดับ สวยงามทุกฟีเจอร์เลยครับ แถมมีจุดขายใหม่ๆในส่วนของวิดีโอ ที่น่าสนใจอย่าง Dual-view Video และ AI Mixed Portrait ซึ่งผมชอบมากๆเลย ออปโป้เป็นเจ้าแรกที่นำเทคนิค Double Exposure Effect มาใช้ในการถ่ายวิดีโอแบบวิดีโอซ้อนภาพกับวิดีโอ คลิปที่ออกมาสวยงามและน่าทึ่งมากๆครับ รับรองว่าเพื่อนๆจะไม่ผิดหวังกับ OPPO Reno Series รุ่นใหม่ล่าสุดอย่างแน่นอน
สำหรับคนที่จอง OPPO Reno5 Series 5G ตั้งแต่วันที่ 26 มกราคม - 5 กุมภาพันธ์ 2564 รับของสมนาคุณฟรี ดังนี้
จอง OPPO Reno5 วันนี้! ในราคา 10,990 บาท รับฟรี! ที่ชั่งน้ำหนัก Smart Scale และบัตร E-VIP มูลค่ารวม 6,299 บาท จอง OPPO Reno5 5G วันนี้! ในราคา 13,990 บาท รับฟรี! ที่ชั่งน้ำหนัก Smart Scale, ลำโพงบลูทูธ และบัตร E-VIP มูลค่ารวม 8,398 บาท ที่
OPPO Brand Shop และตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ รายละเอียดเพิ่มเติม
https://bit.ly/39Z8cKV จุดเด่นของ OPPO Reno5 Series 5G
รองรับ 5G พร้อมใช้งานทันทีตั้งแต่แกะกล่อง (สำหรับ OPPO Reno5 5G) ดีไซน์สวยเป็นประกายระยิบระยับ ด้วยเทคโนโลยี Diamond Spectrum Process หน้าจอ AMOLED ความละเอียด Full HD+ Refresh Rate 90Hz, ความสว่างหน้าจอสูงสุด 750 nits สเปคแรง การใช้งานรวดเร็ว และลื่นไหล รองรับสแกนใบหน้า และสแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอ ทำงานบน Android 11 ครอบทับด้วย ColorOS 11.1 กล้องหน้าความละเอียดสูง กล้องหลัง 4 เลนส์ คุณภาพดีมาก มาพร้อมฟีเจอร์การถ่ายภาพที่อัดแน่น พร้อมฟีเจอร์ใหม่ในการถ่ายวิดีโออย่าง Dual-view Video และ AI Mixed Portrait OPPO Reno5 รองรับชาร์จเร็ว 50W และ OPPO Reno5 5G รองรับชาร์จเร็ว 65W จุดสังเกตของ OPPO Reno5 Series 5G
เครื่องสีดำ Starry Black มันเงามาก เป็นคราบมันและรอยนิ้วมือได้ง่าย OPPO Reno5 ถ่ายภาพ AI Color Portrait อย่างต่อเนื่อง แล้วเกิดอาการเครื่องหน่วงๆ