เลือกอะไรดี? Samsung Galaxy S20 FE 5G และ iPhone 12 mini สมาร์ทโฟนแฝดคนละฝาที่แตกต่างกันแค่ OS
กลายเป็นคู่เอกสำคัญของตลาดสมาร์ทโฟนในช่วงราคาสองหมื่นบาทท้ายปีแบบนี้ไปเรียบร้อย สำหรับ
Samsung Galaxy S20 FE 5G และ
iPhone 12 mini สมาร์ทโฟนรุ่นเด่นจาก 2 ฝั่ง OS บนมือถือ ที่ถึงแม้จะมีระบบปฏิบัติการที่แตกต่างกัน แต่ในด้านความพร้อมอื่นๆ ที่จะช่วยสนับสนุนการใช้งานของผู้ใช้ให้สะดวกและอุ่นใจตลอดการใช้งาน กลับมีความพร้อมที่ไม่แตกต่างกันเลย ไม่ว่าจะเป็น ระบบนิเวศน์ด้านอุปกรณ์ (Ecosystem), สเปกตัวเครื่อง, การสนับสนุนด้านซอฟต์แวร์ หรือแม้แต่บริการหลังการขาย ที่ตอนนี้ทางซัมซุงเองก็ยกระดับมาตรฐานการบริการได้ดีขึ้นพอสมควร จะเห็นได้จากการเปิด Samsung Butler, Samsung Care+ มาบริการเพิ่มขึ้นให้กับลูกค้า
เพราะฉะนั้น ใครกำลังจะตัดสินใจเลือกซื้อสมาร์ทโฟนเครื่องใหม่จากสองรุ่นนี้ ก็อยากให้ลองมาฟังข้อมูลเปรียบเทียบในแง่มุมของการใช้งานจากทั้งสองรุ่น Samsung Galaxy S20 FE 5G และ iPhone 12 mini ที่ผมนำมาบอกเล่าผ่านบทความนี้กันก่อนครับ เพื่อนำไปใช้เป็นข้อมูลในการประกอบการตัดสินใจของหลายๆ คนให้มากขึ้น ส่วนรายละเอียดที่จะนำมาเล่าจะมีข้อมูลและรายละเอียดเป็นอย่างไรบ้าง ตามอ่านกันต่อได้ที่ด้านล่างพร้อมกันเลยครับ
รู้จัก Samsung Galaxy S20 FE 5G (Fan Edition) กันก่อน
ก่อนจะเข้าเนื้อหา ผมอยากจะแนะนำ Galaxy S20 FE 5G ให้หลายๆ คนที่อาจยังไม่รู้จักว่าเขาคือรุ่นอะไร? ทำไมต้องมีชื่อ FE มาพ่วงท้ายด้วยให้เข้าใจตรงกันก่อนนะครับ ส่วนใครที่รู้จักรุ่นนี้แล้วสามารถเลื่อนข้ามลงไปอ่านข้างล่างได้เลย!
Samsung Galaxy S20 FE 5G (Fan Edition) เป็นสมาร์ทโฟน S20 Series รุ่นใหม่ล่าสุดของทั้งระดับโกลบอล (Global) และในประเทศไทย ที่ทางซัมซุงทำขึ้นมาตามความต้องการของแฟนคลับ Galaxy Device ทั่วโลก ที่อยากเห็นสมาร์ทโฟนของซัมซุงในแบบที่ตัวเองอยากให้เป็น ทางซัมซุงจึงนำความต้องการเหล่านั้นมาร้อยเรียงใหม่ และนำเสียงตอบรับทุกอย่างมากลั้นกรองจนนำมาสู่สมาร์ทโฟนรุ่นนี้ที่ใช้ชื่อรุ่นว่า FE หรือ Fan Edition ขึ้นมานั่นเองครับ
แล้วรุ่น FE (Fan Edition) เพิ่งเริ่มมีหรอ?
รุ่นพิเศษสำหรับเหล่าแฟนคลับนี้ เดิมทางซัมซุงมีมาตั้งนานแล้วล่ะครับ เพียงแต่รุ่นสุดท้ายที่หลายคนน่าจะคุ้นเคยเกิดขึ้นเมื่อสมัยเป็น
Samsung Galaxy Note (7) FE เลยทีเดียว และที่นำมากลับมาอีกครั้งในรอบหลายปี ผมคิดว่าน่าจะมาจากการที่ผู้นำทัพคนใหม่ของซัมซุงคุณ Tae-moon Roh ได้ประกาศทิศทางการเดินทางครั้งใหม่ของซัมซุงภายใต้การดูแลของเขาว่า "Innovative Meaning" หรือนวัตกรรมที่มีความหมาย นั่นแปลว่านับจากนี้ทุกสินค้าของซัมซุงโมบายจะทำขึ้นมาเพื่อลูกค้าและผู้ใช้งานของซัมซุงเป็นสำคัญเท่านั้น และนี้แหละครับจึงทำให้ Galaxy S20 FE 5G เป็นสมาร์ทโฟนที่น่าจะถูกใจแฟนๆ มากที่สุดรุ่นหนึ่งของบริษัทเลยก็ว่าได้
สเปกที่แรงอันดับต้นๆ ของแต่ละฝั่ง (Top Performance)
มาเริ่มกันที่เรื่องของสเปกตัวเครื่องกันก่อนเลย เพราะน่าจะเป็นปัจจัยหลักที่หลายคนให้ความสำคัญในการเลือกซื้อสมาร์ทโฟนเครื่องใหม่กัน ซึ่งทั้ง Samsung Galaxy S20 FE 5G และ iPhone 12 mini ต่างก็เป็นสมาร์ทโฟนที่พกสเปกตัวเครื่องมาในระดับที่จัดว่าแรงขั้นสุดของแต่ละฝั่งมาแข่งขันกัน แต่ด้วยการทำงานบนระบบปฏิบัติการที่แตกต่างกัน รูปแบบการทำงาน ความต้องการในการใช้ทรัพยากรบนตัวเครื่องก็แตกต่างกันไปด้วย
เพราะฉะนั้นในจุดนี้แนะนำให้เพื่อนๆ ตัดสินใจความต้องการใช้งานจากไลฟ์สไตล์ของตัวเองให้ได้ก่อนนะครับว่าจะไป Android ระบบปฏิบัติการอันดับ 1 ของโลกกับนิยาม "ความอิสระ" ที่คุณกำหนดได้ด้วยตัวคุณเอง หรือจะเป็น iOS ดีกรีระบบปฏิบัติการบนสมาร์ทโฟนอันดับ 2 ของโลกที่พก "ความง่าย" ในการใช้งานทั้งหมดมาในตัว คุณมีหน้าที่แค่ใช้งานไม่ต้องยุ่งยากอะไร
Samsung Galaxy S20 FE 5G มาพร้อมสเปกตัวเครื่องที่ผมเชื่อเลยว่าแฟนๆ ของซัมซุงหลายคนต่างรอคอยกันมานาน กับการใช้ชิปเซ็ต Snapdragon เป็นหัวใจหลักในการทำงาน และในเมื่อสมาร์ทโฟนรุ่นนี้ทำขึ้นมาเพื่อแฟนคลับโดยเฉพาะ ทางซัมซุงก็เลยจัดให้ตามความต้องการของแฟนๆ แถมยังเลือกจัดชิปตัวแรงสุดของฝั่งสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์อย่าง CPU Snapdragon 865 มาให้เลย พร้อมกับสเปกตัวเครื่องที่ให้มาเกือบจะระดับ Flagship แล้วล่ะครับ
ในขณะที่ฝั่งของ iPhone 12 mini ถึงแม้จะมีชื่อมินิตามท้าย แต่แท้จริงแล้วสเปกข้างในเหมือนกับ iPhone 12 ทั้งหมดเลย จะแตกต่างกันแค่ในส่วนของขนาดหน้าจอเท่านั้น โดยที่ไฮไลท์ของรุ่นก็ไปอยู่ที่เรื่องราวของชิปเซ็ตด้วยเหมือนกัน กับการใช้ชิปเซ็ตตัวใหม่ถอดด้าม CPU Apple A14 Bionic ที่ให้ความแรงในระดับมินิคอมพิวเตอร์ พร้อมกับเทคโนโลยีการผลิตระดับ 5nm. รุ่นแรกของตลาดเลยก็ว่าได้
เปรียบเทียบสเปกของทั้งสองรุ่น Samsung Galaxy S20 FE 5G และ iPhone 12 Mini
กล้องถ่ายรูป
Samsung Galaxy S20 FE 5G มาพร้อมกล้องถ่ายรูป Triple camera ประกอบด้วย กล้องหลักเลนส์มุมกว้างความละเอียด 12MP (F1.8), กล้องมุมกว้างพิเศษ (Ultra wide Angle) ความละเอียด 12MP (F2.4) และกล้อง Telephoto ความละเอียด 8 MP (F2.2) พร้อมไฟแฟลช LED ในตัว ส่วนกล้องหน้าใช้กล้องตัวเดียวความละเอียด 32MP (F2.2)
ในขณะที่ทางด้าน iPhone 12 mini เลือกติดตั้งกล้องแบบ Dual camera โดยใช้กล้องหลักเป็นเลนส์ Wide ความละเอียด 12MP (F1.6) และกล้องมุมกว้างพิเศษ (Ultra wide Angle) ความละเอียด 12MP (F2.4) และมีไฟแฟลช LED ในตัวเช่นกัน ส่วนกล้องหน้าเลือกใช้กล้องตัวเดียวเหมือนเดิม ซึ่งทาง Apple ใช้ชื่อว่า TrueDepth ความละเอียด 12MP (F2.2)
ระบบนิเวศน์ (Ecosystem) ที่ต่างก็สร้างสรรค์มาเพื่อผู้ใช้งานแบบครบวงจร
มาต่อกันระบบนิเวศน์หรือทื่หลายมักได้ยินกันคุ้นหูว่า Ecosystem เป็นหนึ่งในอาณาจักรสินค้าของแต่ละแบรนด์ที่จะเข้าเพิ่มประสบการณ์การใช้งานสมาร์ทโฟนให้ไร้รอยต่อมากขึ้น ซึ่งในปัจจุบันทั้ง ซัมซุง และ Apple ต่างก็เป็นเจ้าพ่อระบบนิเวศน์ด้วยกันทั้งคู่ และทั้งสองฝั่งก็ต่างมีสินค้าในไลน์อัพที่ไม่แพ้กันด้วยนะครับ สามารถชมภาพเปรียบเทียบด้านล่างได้เลย
บริการหลังการขายที่ต่างมีคาแร็คเตอร์ของตัวเอง
"บริการหลังการขาย" เป็นเรื่องสำคัญที่อยากแนะนำให้ทุกคนควรใส่ใจก่อนเลือกซื้อนะครับ เพราะเปรียบเสมือนโรงพยาบาลของมือถือที่มีคุณหมอคอยเป็น Backup ให้เราตลอดการใช้งาน ทำให้รู้สึกอุ่นใจในยามฉุกเฉิน ซึ่งที่ผ่านมา Apple Care+ ของ Apple เป็นบริการหลังการขายที่ขึ้นแท่นว่า "The Best" ที่สุดของแบรนด์สมาร์ทโฟนเลยก็ว่าได้ครับ เพราะครอบคุลมการรับประกันแทบทุกอย่างของไลฟ์สไตล์การใช้งานและมีทีมเทคนิคคอยสนับสนุนการใช้งานแก้ปัญหาให้ตลอดการรับประกัน
กลับมาที่ฝั่งสมาร์ทโฟน Android กันบ้าง ก่อนหน้านี้ก็ต้องยอมรับล่ะครับว่ายังไม่มีแบรนด์ไหนที่ให้บริการได้เช่นเดียวกันกับ Apple เลย แต่ ณ ตอนนี้ทาง Samsung ได้เปิดให้บริการ
Samsung Care+ อย่างเป็นทางการในไทยแล้ว ซึ่งรูปแบบการให้บริการก็คล้ายกับของ Apple เลยล่ะครับ เพียงแต่ของซัมซุงจะมีบริการรับ-ส่งเครื่องถึงหน้าบ้านให้ด้วย นอกจากนี้ทางซัมซุงยังมีแบ่งการให้บริการตามระดับ privilege ของลูกค้าเพิ่มเติมด้วย โดยใช้ชื่อว่า
Samsung Galaxy Butler ซึ่งเป็นบริการในส่วนของการรับประกันตัวเครื่อง 1 ปีแรก ที่แต่ละ Series จะได้แตกต่างกัน
ถึงแม้มาตรฐานและรูปแบบการดูแลและรับประกันหลังการขายในตอนนี้ทางสองแบรนด์ต่างมีโปรแกรมดูแลลูกค้าที่ไม่แตกต่างกันแล้ว แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมมองว่าทางซัมซุงอาจทำได้ดีกว่า และเป็นสิ่งที่อยากแนะนำเพื่อนๆ ให้ลองคิดดูก่อนตัดสินใจก็คือ เรื่องของศูนย์บริการ ที่ทางซัมซุงดูจะเป็นมิตรกับผู้ใช้งานในไทยมากกว่าพอสมควร ด้วยศูนย์บริการที่กระจายอยู่ในหลายจังหวัดแบบทั่วถึง ทำให้เพื่อนๆ ที่อยู่ต่างจังหวัดสามารถเข้าถึงและรับบริการจากทางซัมซุงได้สะดวกกว่าทาง Apple ที่อาจต้องใช้วิธีดรอปสินค้าเพื่อส่งเข้ามาที่กรุงเทพฯ หรือไม่ก็ต้องรับบริการจากดีลเลอร์แทน
การอัปเดทเวอร์ชั่น OS
เรื่องการซัฟพอร์ตในการอัปเดทแพทความปลอดภัยและเวอร์ชั่น OS เป็นสิ่งที่ต้องบอกกันตรงๆ ว่า ทางฝั่ง iOS นั้นจะดูมีราศีกว่ามากเลย แต่นั้นก็เป็นเรื่องของอดีตและสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์แบรนด์อื่นๆ เพราะเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมาทางซัมซุงได้ออกมาประกาศอย่างเป็นทางการว่า ทางบริษัทจะดูแลในส่วนของการอัปเดท OS และแพทความปลอดภัยให้กับลูกค้ายาวนานขึ้นจากเดิม โดยที่ลูกค้าในกลุ่ม S Series และ Note Series จะได้รับการสนับสนุนนานถึง 3 ปี นับจากวันที่วางจำหน่าย นั่นเท่ากับว่า ถ้าซื้อ Galaxy S20 FE ในตอนนี้ ก็รับการสนับสนุนจากทางซัมซุงยาวๆ ไปจนถึง Android 12 เลยทีเดียวครับ
ในขณะที่ทางด้าน iOS ก็อย่างที่เราทราบกันดีว่า ทาง Apple สนับสนุนในเรื่องของการอัปเดท OS ที่ยาวนานอยู่แล้วนะครับ โดยเฉลี่ยก็อยู่ที่ประมาณ 4-5 ปีเลยทีเดียว ซึ่งก็ต้องถามตัวเองล่ะครับว่าเราเป็นคนใช้สมาร์ทโฟนได้นานแค่ไหน เพราะส่วนมากผู้ใช้งานคนไทยมักจะนิยมเปลี่ยนสมาร์ทโฟนกันประมาณ 2-3 ปี ต่อเครื่อง
การใช้ทำงานกับเอกลักษณ์ที่ต่างกันชัดเจน (Work & Lifestyle)
มาต่อกันที่การใช้งานและทำงานทั่วไปกันบ้างครับ ซึ่งเป็นจุดแตกต่างสำคัญที่น่าจะช่วยให้หลายคนเห็นภาพมากขึ้นว่า Samsung Galaxy S20 FE 5G หรือ iPhone 12 mini คือคำตอบ แต่จริงๆ แล้วจากสเปกด้านกายภาพอย่างเช่น ขนาดหน้าจอแสดงผล ก็น่าจะทำให้หลายคนตัดสินใจเบื้องต้นได้แล้วนะว่ารุ่นไหนเหมาะกว่ากัน แต่เอาเป็นว่าลองมาดูจุดเด่นในด้านการทำงานของสองรุ่นกันว่าเป็นอย่างไรกันบ้าง
จุดเด่นด้านการทำงานของ Samsung Galaxy S20 FE 5G
- Nearby Share : ฟีเจอร์แชร์ไฟล์เอกสาร, ไฟล์รูปภาพและอื่นๆ ในรูปแบบออนไลน์และออฟไลน์ด้วย Bluetooth, Bluetooth LE, WebRTC, รวมถึง P2P WiFi เพื่อให้ได้การเชื่อมต่อที่เร็วและเสถียรที่สุด
- MultiTasking : รองรับการทำงานหลายๆ อย่างพร้อมกันในหนึ่งจอ เช่น Split-screen, Floting app เป็นต้น
- MTP (Media Transfer Protocal) : การทำให้อุปกรณ์อื่นๆ มอง S20 FE 5G เป็นเสมือน Extranal Storage
- Wireless DEX : ไม้ตายเด็ดของรุ่นนี้เลยครับ กับการทำตัวเสมือนมินิพีซีผ่านการเชื่อมต่อหน้าจอแสดงผลที่รองรับ Bluetooth ทำให้เราสามารถใช้งานหรือพรีเซ็นต์งานได้ใกล้เคียงกับการใช้โน๊ตบุ๊คเลย
- Link to Windows : การเชื่อมต่อไฟล์ทั้งหมดบนตัวเครื่องไปยังคอมพิวเตอร์ที่ใช้ Windows OS แบบเรียลไทม์ ทำให้เราสามารถดึงไฟล์รูป ไฟล์งาน จากบนตัวเครื่องได้ทันที เพียงแค่ Login ด้วยแอคเคาน์ของ Microsoft
จุดเด่นด้านการทำงานของ iPhone 12 mini
- Airdrop : ฟีเจอร์ส่งไฟล์ทุกอย่างผ่านการเชื่อมต่อออนไลน์และออฟไลน์แบบด้วย Bluetooth หรือวง LAN เช่นเดียวกับฟีเจอร์ Nearby Share
- iCloud Service : บริการผ่านระบบคลาว์ของ Apple ที่จะซิงค์ข้อมูลทุกอย่างผ่าน Apple ID ทำให้เวลาเราไปเปิดบน iDevice เครื่องไหนก็สามารถเข้าถึงไฟล์ที่เราโยนไว้ในคลาว์ได้เพียงแค่ Login Apple ID เท่านั้น
- AirPlay : ฟีเจอร์มิลเลอร์หน้าจอขึ้นไปยังอุปกรณ์แสดงผลที่รองรับ ซึ่งในปัจจุบันนอกจากพวกสมาร์ททีวีหรือ Dongle แล้ว อุปกรณ์อื่นๆ ก็แทบจะยังไม่รองรับ โดยเฉพาะอุปกรณ์รุ่นเก่า
- Apple Application : แอปพลิเคชั่นแนว Microsoft office ของ Apple เอง ที่เปิดให้ผู้ใช้งานสามารถดาวน์โหลดไปใช้งานได้ฟรี! ซึ่งช่วยลดรายจ่ายไปได้เยอะอยู่นะ แถมยังมีความสามารถไม่ต่างจากของ Microsoft เลยด้วย
พอมาถึงด้านการทำงานจะเห็นได้ชัดเลยครับว่า ทางฝั่ง Android จะมีความยืดหยุ่นและเป็นมิตรกับอุปกรณ์ Third Party มากกว่าพอสมควร และยิ่งปัจจุบันทางซัมซุงได้ร่วมมือกับทาง Microsoft ในฐานะพันธมิตรกัน ยิ่งทำให้การใช้งานร่วมกับ Windows ทำได้ไหลลื่นมากขึ้นด้วย ในขณะที่ทางด้านของ iOS ถึงแม้จะมีฟีเจอร์และลูกเล่นขั้นเทพไม่แพ้กัน แต่พอนำไปใช้งานจริงมักติดเงื่อนไขที่ต้องใช้อุปกรณ์ของ Apple เองด้วยกันเท่านั้น ถ้าใครที่มีอุปกรณ์เสริมเหล่านี้อยู่แล้วก็สบายเลยล่ะครับ แต่ยังไม่มีก็คงต้องมีงบซื้อเก็บไปตามเคสงานเรื่อยๆ เอา
สรุป
มาถึงตรงนี้คิดว่าเพื่อนๆ หลายคนน่าจะมีคำตอบอยู่ในใจกันแล้วนะครับว่าจะเลือกรุ่นไหนไปเป็นสมาร์ทโฟนคุ่ใจ เพราะทั้งสองรุ่นไม่ว่าจะเป็น Samsung Galaxy S20 FE 5G และ iPhone 12 mini ต่างก็มีจุดเด่นและรูปแบบการใช้งานที่แตกต่างกันแบบชัดเจนเลยล่ะ ดังนั้นก็คงขึ้นอยู่กับเพื่อนๆ ว่าไลฟ์สไตล์ในแต่ละวันแต่ละสัปดาห์ของตัวเองหนักไปทางไหน ส่วนในเรื่องของความแรงและความเร็ว และประสิทธิภาพในการเล่นเกม รับชมคอนเทนท์ต่างๆ บอกได้เลยว่า ทั้งคู่มอบประสบการณ์ขั้นสุดในระดับเรือธงได้ไม่แพ้กัน ถึงแม้จะนำมาเทียบกันแบบหมัดต่อหมัดไม่ได้ เนื่องจากความแตกต่างของ OS ที่ได้เกริ่นไป แต่ถ้ากลับไปในฝั่งของตัวเอง ทั้งคู่ก็จัดว่าเป็นสมาร์ทโฟนตัวเอกที่ไม่เป็นรองใครในตลาดเหมือนกันครับ
การวางจำหน่าย
Samsung Galaxy S20 FE 5G วางจำหน่ายในราคา 20,990 บาท พร้อมสีตัวเครื่องให้เลือกทั้งหมด 5 สีคือ สีแดง Cloud red, สีม่วง Cloud Lavender, สีน้ำเงิน Cloud Navy, สีส้ม Cloud Orange และสีเขียว Cloud Mint ซึ่งถ้าใครจองก่อนวันที่ 15 ตุลาคม 2563 ก็จะได้รับโปรโมชั่นพรีออเดอร์แบบคุ้มๆ อย่างเช่น อัปเกรดรุ่นฟรี ด้วยนะ
iPhone 12 mini ทาง Apple ได้ประกาศราคาจำหน่ายทางฝั่งอเมริกาไปเมื่อคืนโดยเริ่มต้นที่ 699$ หรือประมาณ 21,800 บาท พร้อมมีสีตัวเครื่องให้เลือกทั้งหมด 5 สีเช่นกัน ได้แก่ สีแดง Product Red, สีดำ, สีขาว, สีเขียว และสีน้ำเงิน สำหรับราคาและกำหนดการวางจำหน่ายในไทยคงต้องรอทางแอปเปิ้ลประกาศอีกครั้ง