รีวิว เปรียบเทียบ realme 6 Pro และ Vivo V19 สมาร์ทโฟนกล้อง 4 ตัว สเปกแรง ในราคาหมื่นต้น
ช่วงนี้ตลาดสมาร์ทโฟนเรทราคาหลักหมื่นต้นๆ กลับมาคึกครื้นกันอีกครั้ง เพราะหลายแบรนด์ต่างพากันส่งมือถือรุ่นใหม่ๆ เข้าสู่ตลาดมาแข่งขันในพื้นที่ช่วงราคาหมื่นต้นกันอย่างสนุกเลย และแต่ละรุ่นก็พกที่เด็ดที่ขาดมาเรียกคะแนนกันสนุกเลย ทำให้ความหนักใจมาตกอยู่ที่ผู้ใช้งานอย่างเราที่ต้องคร่ำเครียดกันว่าจะเลือกรุ่นไหนไปเป็นมือถือคู่ใจกันดีนะ
VIDEO
VIDEO
realme 6 Pro และ
Vivo V19 เป็นสองสมาร์ทโฟนรุ่นเด่นในพิกัดราคานี้ ที่ ณ เวลานี้ได้รับกระแสตอบรับ และความสนใจจากผู้ใช้งานกันเยอะเลยทีเดียว จากที่ทั้งสองรุ่นดังกล่าวต่างมีจุดเด่นด้านกล้องถ่ายรูป, สเปกตัวเครื่อง และฟีเจอร์ต่างๆ ที่ทางแบรนด์ใส่มาให้แน่น จนเมื่อจับมาเทียบกับแบบปอนด์ต่อปอนด์แล้วกินกันไม่ลงเลยก็ว่าได้ ดังนั้นเลยขอตามกระแสและความสนใจของหลายๆ คน ด้วยการหยิบสองสมาร์ทโฟนสุดร้อนแรง realme 6 Pro และ Vivo V19 มาเปรียบเทียบกันให้ได้ข้อสรุปผ่านบทความนี้ครับ ถ้าพร้อมหาคำตอบแล้ว...ตามผมมาได้เลย!
งานออกแบบ (Design) เริ่มกันที่ฝั่งของ realme 6 Pro ที่ใช้คอนเซ็ปท์การออกแบบสไตล์ของ "Real Design" กับการนำรูปร่างของสายฟ้ามาเป็นลวดลายที่ฝาหลังของตัวเครื่อง พร้อมกับวางกริมมิกเรื่องของสีของเส้นสายฟ้าไว้เพื่อสื่อถึงคาแร็คเตอร์ของตัวเครื่อง โดยแบ่งออกเป็น 2 สี 2 สไตล์ คือ Lightning Blue แสดงถึงสายฟ้าที่ผ่านก้อนเมฆ และ Lightning Red แสดงถึงสายฟ้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง นอกจากนี้ทางเรียลมียังใช้เทคโนโลยีการพิมพ์ลาย UV-curing offset ที่ใช้การปรับแต่งสีมากกว่า 100 ครั้ง เพื่อทำให้เกิดภาพสายฟ้าที่สวยงามด้านหลังตัวเครื่อง
ในขณะที่ทาง Vivo V19 รอบนี้เน้นความเรียบหรูเป็นพิเศษ โดยใช้คอนเซ็ปท์ "Perfect design" ที่ตั้งใจออกแบบให้ตัวเครื่องสอดรับกับการใช้งานในทุกรูปแบบ เลยออกแบบให้ตัวเครื่องมีความโค้งแบบ 3D เพื่อให้เข้ากับมือเวลาถือใช้งาน พร้อมกับนำหน้าจอแสดงผล Ultra O Screen และฝาหลังของตัวเครื่องที่เลือกใช้วัสดุกระจกคุณภาพดี มาใช้เป็นจุดเด่นในการสื่อถึงความเรียบหรู
เปรียบเทียบขนาดตัวเครื่องทั้งสองรุ่น
realme 6 Pro : สูง 163.8 x กว้าง 75.8 x หนา 8.9 มิลลิเมตร น้ำหนักตัวเครื่องรวม 202 กรัม Vivo V19 : สูง 159.6 x กว้าง 75.4 x หนา 8.5 มิลลิเมตร น้ำหนักตัวเครื่องรวม 186.5 กรัม ลวดลายสายฟ้าที่ดูดุดันและเต็มพลังของ realme 6 Pro
ความเรียบหรู สวยงามในสไตล์ Perfect design
สเปกตัวเครื่อง (Specification) หน้าจอแสดงผล (Display)
realme 6 Pro มาพร้อมหน้าจอแสดงผลแบบเจาะรูกล้องหน้าคู่เป็นครั้งแรก โดยเป็นหน้าจอแสดงผล IPS ที่ชื่อว่า "90Hz Ultra smooth Display" ขนาด 6.6 นิ้ว ความละเอียด 2400x1080 พิกเซล (FullHD+) ครอบทับด้วยกระจกกันรอย Corning Gorilla glass 5 มีเรทการตอบสนองต่อการสัมผัส (Touch sensing) 120Hz และมีอัตรา refresh rate อยู่ที่ 90Hz
ด้าน Vivo V19 ใช้หน้าจอ Super AMOLED แบบ Ultra O Screen แบบเจาะรู 2 ตัว ขนาด 6.44 นิ้ว ความละเอียด 2,400x1,080 พิกเซล ให้ขอบเขตสี DCI-P3 100% มีค่าความสว่างสูงถึง 800nit และยังได้รับการรับรองจากสถาบัน TUV Rheinland ประเทศเยอรมัน ในเรื่องของการกรองแสงสีฟ้าที่เป็นอันตรายได้ถึง 42% แต่มีอัตรา refresh rate อยู่ที่ 60Hz
ชิปประมวลผล/ RAM / ROM (หน่วยความจำภายใน)
มากันที่เรื่องสำคัญอย่างชิปประมวลผล ที่ถือเป็นไฮไลท์สำคัญที่หลายคนใช้ตัดสินใจเลือกซื้อสมาร์ทโฟนสักเครื่องเลยก็ว่าได้ สำหรับ realme 6 Pro เลือกใช้ชิปประมวลผลเป็น CPU Snapdragon 720G ซึ่งเป็นชิปสายเกมมิ่งรุ่นใหม่ของซีรีย์ 7xx ที่ทาง Qualcomm พึ่งเปิดตัว และผลิตขึ้นด้วยเทคโนโลยีสถาปัตยกรรม 8nm. จึงทำให้ realme 6 Pro กลายเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกในไทยที่ใช้ชิปนี้ในตลาดมือถือด้วย
โดยจุดเด่นของ Snapdragon 720G คือการนำฟีเจอร์ Elite game ที่อยู่บนรุ่นท็อปซีรีย์ 8xx ใส่เข้ามาด้วย ทำให้รองรับการแสดงผลแบบ HDR10 ในเกมที่รองรับ ซึ่งทำงานร่วมกับ RAM 8GB (LPDDR4X) และหน่วยความจำภายใน (ROM) ขนาด 128GB (UFS2.1) ดังนั้นการตอบสนองบอกได้เลยว่าน้องๆ รุ่นท็อปเลยล่ะ
ด้านของ Vivo V19 เลือกใช้ชิปประมวลผล CPU Snapdragon 712 ซึ่งเป็นชิปที่ออกมาได้สักพักใหญ่แล้ว ดังนั้นยังคงใช้เทคโนโลยีการผลิตแบบ 10nm. อยู่ โดยตัวชิปจะทำงานร่วมกับ RAM 8GB และหน่วยความจำภายใน (ROM) ขนาด 128GB บนตัวเครื่อง ซึ่งถ้าถามเรื่องความสดใหม่ และจุดเด่นด้านเกมมิ่งในเรื่องของฟีเจอร์ Elite game ทางด้านของ Snapdragon 712 อาจสู้ฝั่ง 720G ที่ใหม่และสดกว่าไม่ได้ แต่ถ้ามองกันที่รายละเอียดของชิปจะพบว่าชิปประมวลผลทั้งสองรุ่น จัดว่าเป็นชิปประมวลผลใน Segment เดียวกัน เพราะฉะนั้นคะแนน Antutu benchmark ก็เลยมีคะแนนที่ไล่เลี่ยกัน
ซอฟต์แวร์ (Software)
realme 6Pro มาพร้อม realme UI ภายใต้ระบบปฏิบัติการ Android 10 เวอร์ชั่นล่าสุด โดยหน้าตาอินเทอร์เฟซ (UI) ของเรียลมี จะเน้นความเรียบง่ายในการใช้งานคล้ายกับอินเทอร์เฟซของ Android OS แท้ๆ ก็ว่าได้ แต่ก็ยังคงใส่โหมดปรับแต่งไอคอนหรือ UI มาให้ผู้ใช้เลือกแต่งเองได้ในภายหลัง และยังมาพร้อมกับฟีเจอร์อำนวยความสะดวกหลายอย่างที่เรียลมีเลือกใส่มาให้ เช่น
Dual Mode Music Share : สามารถเชื่อมต่อหูฟ้งไร้สายได้พร้อมกัน 2 เครื่อง Focus Mode : เป็นโหมดที่จะช่วยให้คุณผ่อนคลายจากโลกภายนอก โดยระบบจะเปิดเพลงฟังสบายๆ พร้อมเปิดโหมด DND (Do Not Disturb) เพื่อปิดการแจ้งเตือนที่รบกวนต่างๆ 3-Finger Selected Screenshot : ใช้ 3 นิ้วแตะค้างไว้ที่หน้าจอ เพื่อแคปหน้าจอ Personal Information Protection : ระบบป้องกันข้อมูลส่วนตัว Dark Mode : เปิดอัตโนมัติในเวลากลางคืน การเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน การประมวลผล : ระยะเวลา App Booting ลงลด 25% ความลื่นไหลเพิ่มขึ้น 20% แบตเตอรี่ : อายุการใช้งานแบตเตอรี่เพิ่มขึ้น 10%; ลดการใช้พลังงานเมื่อเปิดสแตนด์บายข้ามคืน 35% ประสิทธิภาพการทำงาน : ลดความดีเลย์ระบบสัมผัส 35% ประสิทธิภาพการเล่นเกมเพิ่มขึ้น 20% หน้าตาของ realme UI
ด้านของ Vivo V19 มาพร้อมการทำงานบนระบบปฏิบัติการ Android 10 เช่นเดียวกัน และครอบทับด้วย Funtouch OS 10 ที่เป็นอินเทอร์เฟซ (UI) หน้าตาสวยงาม ดูเรียบง่าย สบายตา พร้อมลูกเล่นหลากหลายให้เลือกซนได้ตามตามสไตล์ของผู้ใช้งานแต่ละคน ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของอินเทอร์เฟซวีโว่ที่สืบทอดกันมาในแต่ละรุ่น โดยทางวีโว่ก็ใส่ฟีเจอร์อำนวยสะดวกต่างๆ มาให้เหมือนกันเช่น
ผู้ช่วยอัจฉริยะ Jovi เมนูทางลัดสำหรับการเรียกใช้งานแอปพลิเคชั่น ฟีเจอร์ Easy Touch สำหรับช่วยจัดการเปิดแอปฯ ที่ใช้บ่อยและทางลัดต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว ฟีเจอร์ Digital Wellbeing ที่จะช่วยตรวจจับพฤติกรรมการใช้งานสมาร์ทโฟนและช่วยควบคุมการใช้งานในภาพรวม โหมดถนอมสายตา โหมดมืด (Dark Mode) บริการจากวีโว่อย่าง V-Appstore, i Music, iTheme, i Manager, vivoCloud ฯลฯ หน้าตา FunTouchOS UI
ในเรื่องของอินเทอร์เฟซ (UI) ของทั้งสองรุ่นนี้ มีความแตกต่างกันชัดเจนมากๆ มีคาแร็คเตอร์ที่โดดเด่นในแบบของตัวเอง ดังนั้นถ้าจะให้ฟันธงว่าใครดีกว่าใครคงยากเลยล่ะครับ เพราะความชอบของแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่ถ้าให้ผมแนะนำก็แนะนำว่า ถ้าใครชอบความเรียบง่ายไม่ยุ่งยาก realme UI เป็นอินเทอร์เฟซที่ตอบโจทย์ได้แน่นอน ส่วนถ้าใครที่ชอบความซนๆ เป็นยูสเซอร์แอนดรอยด์มาระดับหนึ่งแล้ว FunTouchOS ของวีโว่น่าจะตอบโจทย์ได้ดีกว่า
แบตเตอรี่ (Battery) realme 6 Pro ใส่แบตเตอรี่ความจุขนาดใหญ่ 4300 mAh มาให้ ซึ่งการใช้หน้าจอความละเอียดระดับ FullHD+ และมี refresh rate 90Hz ย่อมเป็นธรรมดาที่จะมีการใช้งานพลังงานในส่วนของหน้าจอมากกว่าพื้นฐาน ดังนั้นถ้าหากเราอยากเต็มอรรถรสในการใช้งานเลยเลือกเปิดใช้งานหน้าจอที่ refresh rate 90Hz ตลอดเวลา ในหนึ่งวันการใช้งานข้างนอกแบตเตอรี่ของ realme 6 Pro ถือว่าเอาอยู่นะ ใช้จนหมดสนิทเลยก็น่าจะตกเย็นหรือค่ำแล้วขึ้นอยู่กับรูปแบบการใช้งานของแต่ละคนด้วย แต่ไม่ว่าจะรูปแบบไหนขอฟันธงว่าไม่สามาถลากทะลุข้ามไปวันอีกได้แน่นอน
และเมื่อต้องชาร์จพลังงานกลับเข้าตัวเครื่องทางเรียลมี ก็ใส่เทคโนโลยีชาร์จไว VOOC Charge 4.0 ที่มีระบบป้องกัน 5 ชั้นด้วยฮาร์ดแวร์ ที่ทำหน้าที่ควบคุมการปล่อยกำลังไฟ 30W ด้วยความปลอดภัยมาให้ด้วย ทำให้แบตเตอรี่ขนาด 4,300 mAh ของ realme 6 Pro สามารถชาร์จเต็ม 100% จาก 0% ให้เต็มได้ภายใน 1 ชั่วโมงโดยประมาณ
ด้านของ VIVO V19 ทางวีโว่ใส่แบตเตอรี่ความจุมาให้สูงถึง 4,500 mAh และรองรับเทคโนโลยีชาร์จไว 33W vivo FlashCharge 2.0 มาด้วยเช่นกัน โดยทางวีโว่เคลมไว้ว่าในเวลาเพียง 30 นาที สามารถชาร์จพลังงานกลับได้ถึง 54% ดังนั้นถ้าคิดเป็นเลขกลมๆ ก็ใช้เวลาราวๆ 1 ชั่วโมงเหมือนกันในการชาร์จพลังงานกลับเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์จากหมดสนิท ซึ่งการใช้พลังงานในหนึ่งวันของวีโว่เอง ก็แถบไม่ต่างจากของ realme 6 Pro เท่าไรนักครับ แต่อาจพอมีเหลือให้ใช้งานต่ออีกหน่อยในช่วงเช้า เนื่องจากการแสดงผลของหน้าจอ V19 มีอัตรา refresh rate อยู่ที่ 60Hz การกินพลังงานอาจใช้น้อยกว่าหน่อย
กล้องถ่ายรูป (Camera) ในด้านของกล้องถ่ายรูปทั้งสองรุ่นมีจุดเด่นและจุดขายที่ต่างกันเลยล่ะครับ ซึ่งคงขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแต่ละคนว่ากล้องของใครที่โดนใจและเข้ากับไลฟ์สไตล์ของตัวเองมากว่ากัน ไปดูกันว่าแต่ละรุ่นมีจุดเด่นและคุณสมบัติของกล้องถ่ายรูปเป็นอย่างไรกันบ้าง
realme 6 Pro : Quad camera 64MP
ด้านของ realme 6 Pro จุดเด่นของกล้องถ่ายรูปจะอยู่ที่กล้องหลักที่ใส่ความละเอียสูงถึง 64MP มาให้ แถมยังมาพร้อมกับคุณสมบัติการซูมภาพสูงสุดที่ 20X (Digital Zoom) ด้วย ซึ่งคาแร็คเตอร์ของภาพและโทนสีจะออกสีสดจัดจ้าน และคอนทราส์สูงเหมากับการถ่ายภาพแนว Landscape มากๆ โดย realme 6 Pro มาพร้อมกล้องถ่ายรูป Quad camera ที่ประกอบด้วยกล้อง 4 คาแร็คเตอร์ 4 รูปแบบการนำเสนอภาพ นำทีมด้วย
กล้องมุมกว้าง (wide) ความละเอียด 64 ล้านพิกเซล (F1.8) ใช้เซ็นเซอร์ Samsung GW1 กล้อง Telephoto ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล (F2.5) กล้องมุมกว้างพิเศษ (Ultrawide) ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล (FOV 119 องศา, F2.3) กล้อง Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล (F2.4) ระยะการโฟกัสอยู่ที่ 4 เซนติเมตร โหมดถ่ายภาพเด่นของ realme 6 Pro
ฟีเจอร์ Chroma Boost : ที่ประมวลผลโดยโหมด AI ให้ความละเอียด ความสว่างและสีสันของภาพอยู่ในระดับเหมาะสมกับการมองเห็น จากนั้นใช้อัลกอริทึมปรับภาพคมชัดยิ่งขึ้น ทำให้ดูมีมิติสมจริง Professional Mode : รองรับการถ่ายภาพด้วย Pro Mode ทำให้ได้ไฟล์ RAW คุณภาพสูงเต็มประสิทธิภาพ ด้วยค่าพื้นฐาน 6 อย่าง ได้แก่ ค่าความไวแสง ความเร็วชัตเตอร์ สมดุลแสงขาว จุดโฟกัส และการชดเชยแสง ระบบ UIS กันสั่นขณะถ่ายวิดิโอขั้นสูง : เป็นการผสานระหว่างกันสั่นแบบ EIS และใช้ระบบ AI เพื่อให้ได้ UIS Max กับมุมมองที่กว้างขึ้น และเอฟเฟกต์ป้องกันการสั่นไหวที่น่าทึ่งยิ่งขึ้น โดย UIS ทำงานร่วมกับภาพจากกล้องหลัก เพื่อให้ได้ภาพที่มีคุณภาพสูงกว่า Wide-angle Super Night Scape 3.0 : โหมดถ่ายกลางคืนที่ทรงพลังมากๆ กับการปรับแต่งแสงและสีของภาพกลางคืนให้อัตโนมัติให้ออกมาสวยงาม ภาพตัวอย่างจากกล้อง realme 6 Pro
ด้านกล้องหน้าของ realme 6 Pro มาพร้อมกล้องหน้าคู่ที่ฝังอยู่ใต้หน้าจอแบบเจาะรู โดยกล้องทั้งสองประกอบด้วยกล้องหลักความละเอียด 16MP ใช้เซ็นเซอร์ของ Sony IMX471 ส่วนกล้องตัวที่สองจะเป็นกล้องมุมกว้างความละเอียด 8MP ให้มุมมอง FOV 108 องศา
ภาพตัวอย่างจากกล้องหน้าของ realme 6 Pro
Vivo V19 : Quad Camera 48MP
ในขณะที่ VIVO V19 จุดเด่นหรือจุดขายของกล้องถ่ายรูปรุ่นจะอยู่การถ่ายภาพเซลฟี่ในตอนกลางคืน ด้วยพลังของซอฟต์แวร์ "Super Night selfie" ส่วนกล้องถ่ายรูปหลักจะมาพร้อมกล้องหลัง AI 4 เลนส์ (Quad Camera) พร้อมไฟแฟลช LED วางบนโมดูลกล้องทรงสี่เหลี่ยม ประกอบด้วย
เลนส์หลักความละเอียด 48 ล้านพิกเซล ค่ารูรับแสงกว้าง f/1.79 เลนส์ Super Wide-angle ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล ค่ารูรับแสงกว้าง f/2.2 เลนส์ Bokeh ความละเอียด 2 ล้านพิำกเซล ค่ารูรับแสงกว้าง f/2.4 เลนส์ Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล ค่ารูรับแสงกว้าง f/2.4 โหมดถ่ายภาพเด่นของ Vivo V19
Ultra Stable Video : ให้ทุกการการถ่ายวิดีโอเป็นเรื่องง่าย ด้วยความละเอียดสูงของเลนส์กล้องหลักกับเทคโนโลยีกันสั่น EIS ทำให้ผลลัพธ์ที่ออกมาชัดเจน ไม่สั่น Art Portrait Video : เช่นเดียวกับกล้องหน้า คือจะเป็นเทคโนโลยีการแยกฉากแบบเรียลไทม์ ช่วยวิเคราะห์ความลึกตื้นของภาพ ให้สีสันที่สวยงามและรายละเอียดความชัดลึกของภาพแบบครบถ้วน และยังสามารถสร้างวิดีโอพื้นหลังขาวดำได้ Bokeh Portrait : สำหรับการถ่ายภาพบุคคลให้มีมิติสวยงามเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้นด้วยการปรับละลายฉากหลัง Art Portrait : ตกแต่งภาพถ่ายด้วยฟิลเตอร์ โหมดแต่งหน้า และปรับแต่งความงาม ภาพตัวอย่างจากกล้อง Vivo V19
กล้องหน้าของ Vivo V19 ทางวีโว่ได้ดีไซน์ตำแหน่งการวางกล้องไว้บริเวณด้านบนขวาของหน้าจอ โดยเป็นกล้องหน้าคู่ (Dual Front Camera) บนหน้าจอ Ultra O Screen ประกอบด้วย เลนส์หลักความละเอียด 32 ล้านพิกเซล ค่ารูรับแสงกว้างสุด f/2.08 และเลนส์ Super Wide-angle ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล ค่ารูรับแสงกว้างสุด f/2.28 ซึ่งมาพร้อมกับความโดดเด่นด้านการถ่ายภาพเซลฟี่กลางคืนภายใต้สโลแกน "Ignite Your Night" จุดประกายความสามารถยามค่ำคืน ให้สามารถถ่ายได้สวยเป๊ะในทุกสภาพแสง
ภาพตัวอย่างจากกล้องหน้า Vivo V19
ราคาวางจำหน่าย
มาถึงข้อมูลที่หลายคนกำลังรออยู่กับเรื่องของราคาวางจำหน่าย ซึ่งทั้งสองรุ่นนี้มีวางจำหน่ายทั้งช่องทางออนไลน์ผ่าน Official Store บน Lazada และหน้าร้านทั้ง realme brand shop และ Vivo brand shop ใครสนใจรุ่นไหนและสะดวกช่องทางไหนก็จับจองกันได้เลย ส่วนราคาวางจำหน่ายทั้งสองรุ่นราคาจะแตกต่างกันอยู่ประมาณ 2,000 บาท โดยมีรายละเอียดดังนี้
realme 6 Pro : เปิดราคาวางจำหน่าย (ราคาศูนย์) อยู่ที่ 10,999 บาท พร้อมสีตัวเครื่องสองสีคือ สีฟ้า Lighning blue และสีแดง Lighning red Vivo V19 : เปิดราคาวางจำหน่าย (ราคาศูนย์) อยู่ที่ 12,999 บาท พร้อมสีตัวเครื่องสองสีคือ สีดำ Gleam Black และสีเงิน Sleek Silver
บทสรุป จากที่เราเปรียบเทียบทั้งสองรุ่นมา จะเห็นว่าทั้ง realme 6 Pro และ Vivo V19 ต่างก็มีคาแร็คเตอร์และจุดขายที่โดดเด่นแตกต่างกันพอสมควร ถึงแม้ในด้านของสเปกตัวเครื่องจะไล่เลี่ยกันมีบ้างจุดที่ทาง realme ใส่มามากกว่าและทำได้ดีกว่า และก็มีบางจุดที่ทาง Vivo ก็สู้ได้ดีเหมือนกัน จึงไม่แปลกใจที่ทำไมหลายคนถึงเลือกไม่ได้สักที แต่เชื่อว่ามาถึงตรงนี้หลายคนน่าจะมีคำตอบอยู่ในใจกันบ้างแล้วนะครับว่าจะเลือกรุ่นไหนดี? กับราคาส่วนต่างกัน 2,000 บาท! กับโจทย์ความคุ้มค่าในพิกัดใกล้กันทั้งสเปกและเทคโนโลยีของสองรุ่นนี้
สำหรับใครที่ยังไม่จุใจและอยากได้ข้อมูลที่เต็ม และจุใจกว่านี้ก็สามารถตามไปอ่านรีวิวตัวเต็มของทั้งสองรุ่นนี้กันต่อได้ที่ด้านล่างนี้ครับ