รีวิว Vivo NEX 3 มือถือเรือธงที่ต้องมี ดีไซน์ไร้ปุ่มกด สเปกแแรง กล้อง 3 ตัว 64 MP ถ่ายสวยทุกระยะ
Vivo NEX 3 สมาร์ทโฟนเรือธงซีรีย์ "NEX" ลำดับที่ 3 ของ วีโว่ ในตลาดโลก แต่เป็นสมาร์ทโฟนเรือธงรุ่นแรกของวีโว่กับตลาดไทย ที่กว่าทาง วีโว่ ประเทศไทย จะตัดสินใจนำเข้ามาขายต้องรอคอยนานเป็นปีเลยทีเดียว ซึ่งสุดท้ายเจ้า Nex Series ก็บุกตลาดไทย และมาอยู่ในมือผมเรียบร้อยแล้วครับสำหรับ Nex 3 สมาร์ทโฟนเรือธงที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีรอบเครื่อง
สำหรับคำว่า "NEX" เป็นการเล่นคำมาจากคำว่า "NEXT" ที่แปลว่าถัดไปหรือต่อไป ซึ่งทางวีโว่ตั้งใจที่จะนำมาใช้เป็นชื่อของสมาร์ทโฟนเรือธงของพวกเขา เพื่อต้องการสื่อให้เห็นถึงการเป็นมือถือเรือธงที่พร้อมจะก้าวไปข้างหน้าด้วยเทคโนโลยีที่เป็นที่สุดของยุคนั้นๆ และก็จริงตามนั้นครับ เพราะทางวีโว่ได้แสดงออกมาบน Vivo NEX Series ทั้งสองรุ่นแรก (ที่ไม่เข้าไทย) กับการเป็นมือถือที่มาพร้อมเทคโนโลยีแนวหน้าของวงการมือถือตามที่ได้บอกไป
โดย Vivo NEX รุ่นแรกมาพร้อมระบบสแกนนิ้วมือบนหน้าจอ (In-Display Fingerprint) เป็นรุ่นแรกของโลก ในขณะที่ Vivo NEX 2 เองก็ไม่น้อยหน้าเช่นกัน กับการโชว์นวัตกรรมการใช้หน้าจอแสดงผล 2 หน้าจอ บนสมาร์ทโฟนเครื่องเดียวจนสร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้กับวงการมือถืออีกครั้ง จนมาถึง Vivo Nex 3 ที่ยังคงชูจุดเด่นเรื่องเทคโนโลยีเหมือนรุ่นพี่สองรุ่นไม่แพ้กัน โดยครั้งนี้เป็นการนำเทคโนโลยีทั้ง 3 อย่างได้แก่ Touch Sense, X-Axis Haptic Vibration motors และหน้าจอแสดงผล WaterFall Display ซึ่งเป็นหน้าจอแสดงผลแบบ POLED ที่มีขอบหน้าจอโค้งทำมุมมากถึง 88 องศา มาออกแบบตัวเครื่องให้เป็น Unibody Design ที่สมบูรณ์แบบมากที่สุด เพื่อให้เกิดเป็นจุดเด่นของรุ่นนี้นั่นเอง
ส่วนรายละเอียดในจุดต่างๆ รวมถึงความคาดหวังกับการก้าวขึ้นมาแย่งชิงน่านน้ำเรือธงในตลาดตอนนี้ของวีโว่ จะตอบโจทย์และครบเครื่องได้มากแค่ไหน อะไรคือจุดเด่นของรุ่นนี้ และภาพรวมกับราคา 24,999 บาท เป็นอย่างไร เหมาะสมหรือไม่ ตามไปพิสูจน์พร้อมหาคำตอบเหล่านี้พร้อมกันกับบทความรีวิวนี้ได้เลยครับ!
กล่องของ Vivo NEX 3 ไม่ว่าจะเป็นภายนอกหรือภายในทางวีโว่ใส่ใจในรายละเอียดดีมากเลยครับ ออกแบบได้สวยพรีเมี่ยมมากๆ โดยตัวกล่องจะมาในธีมสีดำทั้งหมด รวมไปถึงฝากล่อง หรือแม้แต่แผ่นรองตัวเครื่องด้านในก็เป็นสีดำเช่นกันครับ ในขณะที่ด้านหน้าของกล่องจะมีลูกเล่นที่โลโก้คำว่า "NEX" ด้วยดีไซน์ "Lunar Ring Camera System" ที่เป็นคอนเซ็ปท์การออกแบบตัวกล้องบนตัวเครื่องนั่นเอง เด่นแต่ไกลเลยล่ะ ในขณะที่อุปกรณ์ภายในกล่องเริ่มต้นมีดังนี้
- Vivo NEX 3
- หูฟังแบบ Ear Buds
- เข็มจิ้มซิมการ์ด
- คู่มือการใช้งานเริ่มต้น
- เคสตัวเครื่องอย่างดี ด้านหลังมีแบบด้าน
- สายดาต้า USB-C
- อแดปเตอร์ชาร์จไฟ (Dual Engine fast Charging 22.5W)
สเปคตัวเครื่องของ Vivo NEX 3
รายละเอียดสเปคตัวเครื่องของ Vivo NEX 3
- หน้าจอแสดงผล POLED WaterFall Display ขนาด 6.89 นิ้ว ความละเอียด 2256x1080 พิกเซล (FullHD+)
- CPU Qualcomm Snapdragon 855+
- GPU Adreno 640
- RAM 8GB
- ROM 128GB (UFS 3.0)
- Dual SIM Dual 4G LTE (VoLTE)
- กล้อง Triple camera ความละเอียด 64 + 13 + 13 ล้านพิกเซล (กล้องหลัก F1.8 + กล้องมุมกว้าง Wide Angle F2.2 + TelePhoto F2.4)
- กล้องหน้า Elevating Front camera ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล (F2.0)
- Funtouch OS 9.1 Base on Android Pie
- Ship HiFi AK4377A
- Bluetooth 5.0
- WiFi 802.11 a/b/g/n/ac (2.4/5GHz)
- USB-C Port
- OTG Support
- รองรับเครือข่าย 3G คลื่นความถี่ 2100/1900/1700/850/900 MHz
- รองรับเครือข่าย 4G LTE FDD Band : B1/B2/B3/B4/B5/B7/B8/B12/B17/B18/B19/B20/B26/B28
- รองรับเครือข่าย 4G LTE TDD Band : B34/B38/B39/B40/B41
- สแกนนิ้วมือบนหน้าจอ, Face Unlock
- แบตเตอรี่ความจุ 4,500 mAh (รองรับชาร์จไว Dual Engine Fast Charging 22.5W)
Vivo NEX 3 มาพร้อมคอนเซ็ปท์การออกแบบ "Future Beyond Edges" ที่ตั้งใจชูจุดเด่นของงานออกแบบตัวเครื่อง ด้วยการนำหน้าจอแสดงผล WaterFall Display ขนาด 6.89 นิ้ว ความละเอียดระดับ FullHD+ ที่มีเอกลักษณ์เด่นคือ ความโค้งของขอบตัวเครื่องที่โค้งแบบ 3D ทำมุมมากถึง 88 องศา มาออกแบบในสไตล์ Unibody Design ทำให้ NEX 3 มีขอบหน้าจอทั้งสองด้านที่โอบเข้าหาตัวเครื่องจนเป็น Curve จนมีพื้นที่บนหน้าจอให้ใช้งานมากถึง 99.6% โอ้วมายก็อด! และทางวีโว่เขาติดฟิลม์ TPU มาให้จากโรงงานให้แล้ว เพียงแต่พอใช้งานคู่กับเคสที่แถมมาให้ตัวขอบเคสจะไปดันฟิลม์ที่ด้านบนซะอย่างงั้น ยังไงก็ระวังกันด้วยนะครับ
หน้าจอโค้งขนาดนี้ไม่ต้องกลัวว่ามือไปจับโดนแล้วหน้าจอจะลั่นตลอดนะ เขามีเซ็นเซอร์ตรวจจับอยู่ว่าแบบไหนตั้งใจใช้งานหรือแบบไหนถือจับตัวเครื่องเฉยๆ
มิติตัวเครื่องของ Vivo NEX 3 : กว้าง 76.14 x สูง 167.44 X หนา 9.4 มิลลิเมตร และมีน้ำหนักรวม 217.3 กรัม
ยังไม่พอ! ทางวีโว่ต้องการที่จะทำให้ดีไซน์ของตัวเครื่อง NEX 3 เป็นแบบไร้ซึ่งทุกอย่างตามคอนเซ็ปท์ให้ได้มากที่สุด จึงได้ตัดปุ่มกดแบบ Physical ทั้งหมดรอบตัวเครื่องออกไป และนำเทคโนโลยี Touch Sense + X-Axis Haptic Vibration Motor ที่เป็นการนำเซ็นเซอร์และมอเตอร์แบบสั่นมาติดตั้งไว้ที่บริเวณแถบข้างขวาของตัวเครื่อง เพื่อตรวจจับการกดหรือสัมผัสที่บริเวณนั้น
ทำให้เมื่อเรากดหรือแตะลงไปที่ขอบด้านขวาตัวเครื่อง ก็จะสามารถใช้งานเป็นปุ่มเพิ่ม-ลดเสียง (Volume) และปุ่ม Power ในการเปิด-ปิดตัวเครื่อง ได้เหมือนกับตอนใช้ปุ่มกดกายภาพที่เราคุ้นเคยเลยครับ เป็นจุดเด่นที่ว้าวมากๆ และยังไม่มีใครทำ
ด้านบนตัวเครื่อง มีปุ่มกดสำหรับเปิด-ปิดการแสดงผลของหน้าจอ (พักหน้าจอ), กล้องหน้าแบบเลื่อนขึ้น-ลง (Elevating Front camera) ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล (F2.0) พร้อมไฟแฟลช LED และรูเสียบชุดหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร
ด้านล่างตัวเครื่อง มีช่องถาดสำหรับใส่ซิมการ์ด (Dual SIM), พอร์ต USB-C และลำโพงเสียงตัวเครื่อง
ด้านหลังตัวเครื่อง มีกล้องถ่ายรูป Triple camera ความละเอียด 64+13+13 ล้านพิกเซล (Main + Wide Angle + Telephoto) พร้อมไฟแฟลช โดยฐานของกล้องทั้งสามตัวมีการออกแบบให้เป็นวงกลม มีรวดลายอยู่ด้านใน และครอบทับด้วยกระจกอีกที ซึ่งทางวีโว่เรียกดีไซน์แบบใหม่นี้ว่า "Lunar Ring Camera System" เท่มากมาย
FunTouch OS 9.1 Base on Android 9.0
Vivo Nex 3 ยังคงมาพร้อม
FunTouch OS ที่เป็นหัวใจหลักของสมาร์ทโฟนวีโว่มาหลายรุ่นเหมือนเช่นเดิม โดยครั้งนี้เดินทางกันมาถึงเวอร์ชั่นที่ 9.1 กันแล้ว สำหรับเวอร์ชั่นใหม่ล่าสุดนี้ทางวีโว่พัฒนาขึ้นมาบนพื้นฐานของ Android OS 9.0 ทำให้ได้รับฟีเจอร์การใช้งานในบางส่วนของ Android Pie มาด้วย อย่างเช่น ฟีเจอร์ Digital Wellbeing ที่ตัวซอฟต์แวร์จะตรวจจับพฤติกรรมการใช้งานมือถือให้ว่าเราโฟกัสกับอะไรมากที่สุดในหนึ่งวัน เป็นต้น
ในขณะที่เรื่องของ อินเทอร์เฟส (UI) บน FunTouch OS 9.1 ทางวีโว่มีการออกแบบให้สามารถเรียกใช้งานเมนูต่างๆ ได้ง่ายขึ้นมากจากเดิม ทุกอย่างถูกรวมเข้าเป็นหมวดหมู่ ลดขั้นตอนการเข้าถึงไปได้เยอะเลย รวมทั้งยังมีการนำโทนสีขาวมาเป็นโทนสีหลักของอินเทอร์เฟส และมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบไอคอนของแอปพลิเคชั่นต่างๆ ใหม่ ทำให้ดูสบายตาและเรียบง่ายมากกว่าเวอร์ชั่นก่อนอย่างเห็นได้ชัดครับ ดังนั้นใครที่มาเริ่มต้นใช้งานมือถือวีโว่เป็นครั้งแรก ตัดเรื่องความยุ่งยากออกไปได้เลย สามารถเรียนรู้ได้ง่ายมากๆ
ฟีเจอร์เด่นบน FunTouch OS 9.1
วีโว่ยังคงเลือกใช้งานระบบสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ (In-Display Fingerprint) เป็นระบบหลักในการยืนยันตัวตนบน Vivo NEX 3 นอกเหนือจากการใส่ Pin หรือ Password เหมือนกับสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นๆ ของวีโว่ (ก็ใช้เป็นคนแรกนิ) ซึ่งประสบการณ์การใช้งานยังคงทำได้น่าประทับใจเหมือนเดิม การตอบสนองหลังแตะนิ้วมือลงไปทำได้แม่นยำและรวดเร็วทันใจมากๆ แตะปุ๊บ! ปลดล็อคทันทีไม่มีหน่วงหรือดีเลย์ให้หงุดหงิดใจ รวมทั้งยังใส่ลูกเล่นในการเลือกปรับเปลี่ยนเอฟเฟ็กแสง และเสียงในการปลดล็อคบนหน้าจอได้เหมือนเดิมอีกด้วย
อีกหนึ่งลูกเล่นที่ทันสมัยสุดๆ กับ 'Dark Mode' ที่ทางวีโว่ใส่เข้ามาให้บน FunTouch OS 9.1 ด้วย แถมยังเป็นดาร์กโหมดที่แท้ทรูอีกด้วยนะ เพราะหลังจากเราเลือกเปิดใช้งานแล้ว ระบบจะเป็นพื้นหลังทั้งหมดให้เป็นสีดำสนิทไม่เว้นแม้แต่แอปพลิเคชั่นอย่าง Facebook, Instragram หรือ Youtube ก็จัดให้ครบเลย ซึ่งปกติแล้วถ้าเป็นบนสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ทั่วไปการเปลี่ยนดาร์กโหมดจะทำได้เฉพาะบนอินเทอร์เฟสของตนเองเท่านั้น แต่สำหรับ Vivo NEX 3 จัดให้ทั้งหมด!
'ดาร์กโหมด' มีข้อดีด้วยนะ เพราะนอกจากความสวยงามแล้ว ยังช่วยถนอมหน้าจอชนิด OLED ได้เป็นอย่างดี เนื่องจากหน้าจอชนิดนี้เวลาแสดงสีดำบนหน้าจอ ตัวเม็ดพิกเซลจะดับการทำงานหรือปิดการเปล่งแสง ทำให้เป็นการพักหน้าจอไปในตัว รวมทั้งยังช่วยถนอมสายตาเราเวลาใช้งานด้วยนะ!
เป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์สำหรับเหล่าพ่อบ้านใจกล้า ที่ทางวีโว่ยังคงใส่มาให้เหมือนเดิมไม่ได้ตัดออกไปไหนนะ โดยฟีเจอร์นี้จะช่วยให้เราสามารถใช้งานแอปพลิเคชั่นสายแชทหรือโซเชียลอย่าง Line, Facebook, Whatapps ฯ พร้อมกันได้สองบัญชีแบบรีลไทม์ ซึ่งเมื่อเข้าไปเปิดใช้งานจากเมนูแล้ว บนหน้าจอหลักจะปรากฏไอคอนของแอปพลิเคชั่นั้นๆ ขึ้นมาพร้อมแถบคาด "2nd" เพื่อให้เราทราบทันที
สำหรับฟีเจอร์แบ่งหน้าจอใช้งานออกเป็นสองส่วน ยังคงมีมาให้เหมือนเดิมเช่นกัน แต่บน FunTouch OS 9.1 จะมีรูปแบบการเรียกใช้งานด้วยกันทั้งหมดสองแบบคือ
- การเลือกแบ่งหน้าจอด้วยตนเอง
- ให้ระบบแบ่งให้เองอัตโนมัติ
ในส่วนของการแบ่งหน้าจอด้วยตนเอง จะสามารถทำได้ด้วยกันสองทางเลือก คือ จากหน้าเมนู Multi-Tasking เลือกไอคอนที่เป็นรูปสี่เหลี่ยมติดกันสองอัน ส่วนอีกทางคือ ใช้สามนิ้วลากลงมาจากขอบหน้าจอด้านบนขณะใช้งานแอปพลิเคชั่นอยู่ แต่ถ้าใครกลัวงง ก็เลือกให้ระบบแบ่งให้ก็ได้ครับง่ายดี
ประสิทธิภาพการทำงาน - ความบันเทิง
ประสิทธิภาพการทำงาน
ในเรื่องของประสิทธิภาพการทำงานบน Vivo NEX 3 ผมคงไม่ต้องบรรยายสรรพคุณอะไรให้มากความเลยครับ เพราะด้วยสเปกที่ทางวีโว่ใส่มา ถือว่าเป็นระดับสูงสุดของตลาดมือถือตอนนี้เลยก็ว่าได้ กับการใช้ชิปประมวลผลรุ่นท็อปสุดของ Qualcomm อย่าง CPU Snapdragon 855+ ทำงานร่วมกับ RAM 8GB และหน่วยความจำภายใน (ROM) ชนิด UFS 3.0 ที่ทำความเร็วในการ Read/write ได้ในระดับ 1400 - 1500 MB/s หรือเร็วกว่า UFS 2.1 ราวๆ 79% มาใช้งานร่วมกัน
ทำให้การใช้งานทั้งหมดบนตัวเครื่องไม่ว่าจะหนักหรือเบาเช่น แต่งภาพถ่าย, ตัดต่อวีดีโอด้วยแอปพลิเคชั่นต่างๆ ไล่ไปจนถึงการใช้งานทั่วไปอย่าง ใช้โซเชียลหลายๆ แอปฯ พร้อมกัน ทุกการใช้งานตอบสนองได้เร็ว ฉับไว และทันใจ ไม่มีอาการเครื่องค้างจนต้องกดรีเครื่องใหม่ให้เห็นเลยตลอดที่ผมใช้เป็นเครื่องหลักของตนเอง เพื่อทดสอบและเขียนรีวิว เป็นอะไรที่ประทับใจมากๆ ในจุดนี้
เหตุผลส่วนหนึ่งที่ผมคิดว่า ผลลัพธ์ของการตอบสนองและความประทับใจในการใช้งานของตัวรอม FunTouch OS 9.1 ที่ทำออกมาได้ดีขนาดนี้ อาจเป็นเพราะว่าครั้งนี้พวกเขาได้พัฒนาชุดซอฟต์แวร์ขึ้นมาใหม่ตัวหนึ่ง ชื่อว่า "VCAP" (Vivo Computation Acceleration Platform) โดยเป็นแพลตฟอร์มที่เข้ามาปรับอัลกอริทึมในการคิดคำนวณของ AI ใหม่ทั้งหมดบนตัวเครื่องทั้งในด้านของฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ ทำให้ระบบ AI บนตัวเครื่อง NEX 3 สามารถทำงานได้แม่นยำ รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากขึ้นจากของเดิม และนี้ก็น่าจะเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ประสบการณ์การใช้งานบน NEX 3 ออกมาสมูทขนาดนี้
ถ้าใครยังสงสัยเกี่ยวกับเจ้า VCAP ผมขออธิบายแบบง่ายๆ แล้วกันครับ ให้ลองนึกภาพว่า เจ้า VCAP เป็นเหมือนอาจารย์ที่เก่งมากคนหนึ่ง ที่ได้เข้ามาสอนวิธีการคิดคำนวณโจทย์ต่างๆ ให้กับนักเรียน AI ด้วยเทคนิคต่างๆ จนนำไปสู่ทางลัดในการหาคำตอบที่รวดเร็ว แม่นยำ ก็เหมือนกับตอนเราเรียนพิเศษเสริม ที่อาจารย์มักจะมีเทคนิคการคิดแบบลัดแนะนำให้กับเรา ซึ่งก็ช่วยทำให้เราสามารถนำไปใช้คิดหาคำตอบเวลาทำข้อสอบภายใต้ระยะเวลาที่จำกัดนั่นเอง
คะแนนและผลการทดสอบประสิทธิภาพการทำงานด้วยแอปพลิเคชั่น Benchmark
- ทดสอบด้วยแอปฯ AnTuTu Benchmark ได้คะแนน 382,221 คะแนน
- ทดสอบด้วยแอปฯ GeekBench 5 ได้คะแนน Single Core 749 และ Multi Core 2651 คะแนน
- ทดสอบประสิทธิภาพของ GPU ด้วย 3D Benchmark Sling Short Extreme ได้คะแนน Open GL 5,828 คะแนน
- ทดสอบประสิทธิภาพของ GPU ด้วย 3D Benchmark Sling Short Extreme ได้คะแนน Valkan 5,131 คะแนน
- ทดสอบอัตรา Read / Write ของหน่วยความจำภายในด้วยแอปฯ AndroBench ทำความเร็วได้ Read 1460.89 MB/s | Write 516.1 MB/s
- การจับสัญญาณทดสอบด้วย GPS Tester จับสัญญาณได้ระดับเร็ว (สังเกตจากแถบสี)
- การรองรับสตรีมมิ่งวีดีโอ Netflix จากการทดสอบแอปฯ DRM Info รองรับการแสดงผลที่ระดับความละเอียด HD
- ทดสอบ Sensor บนตัวเครื่องด้วยแอปฯ Android Sensor Box ไม่พบ Temperature และ Barometer Sensor
ความบันเทิง
ในด้านของความบันเทิงของ Vivo NEX 3 การตอบสนองต่อความต้องการในด้านความบันเทิงนั้น ผมคิดว่าอยู่ในระดับ "ดี" แต่ยังไม่สุดมากเท่าไรนัก ยังขาดรายละเอียดในบางจุดไปหน่อย แต่ทุกข้อจำกัดที่ผมเจอสามารถแก้ไขได้ไม่ยาก เพียงแต่ยูสเซอร์อย่างเราอาจต้องเป็นคนปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้งานเอง
Vivo NEX 3 มาพร้อมหน้าจอแสดงผล POLED WaterFall Display ขนาด 6.89 นิ้ว ความละเอียดระดับ FullHD+ ซึ่งนอกจากสีสันที่สดสมจริงแล้ว จุดเด่นของหน้าจอน้ำตกจะอยู่ที่ความโค้งของขอบหน้าจอที่โค้งมากถึง 88 องศา สำหรับในแง่ของการรับชมภาพหรือวีดีโอต่างๆ ก็ต้องยอมรับเลยว่าด้วยความโค้งขนาดนี้ทำให้ได้อรรถรสในการรับชมที่ดีมากๆ เลยล่ะครับ
เพราะในส่วนของขอบหน้าจอเมื่อเรารับชมวีดีโอภาพยนตร์ เราจะมองเห็นภาพที่ปรากฏอยู่บริเวณขอบเป็นแบบเสมือนกึ่งสามมิติ ทำให้รู้สึกอินเข้าไปได้มากขึ้น และได้อรรถรสในการรับชมทีคล้ายกับเวลาเราดูบนทีวีจอ Curve ในปัจจุบันเลยก็ว่าได้ อารมณ์ดูในโรงหนังสุดๆ เลย แถมยังไม่ต้องกังวลว่าดูนานๆ แล้วสายตาจะล้า เพราะทางวีโว่ใสฟีเจอร์ Flicker Free ฟีเจอร์ที่จะช่วยลดอัตราการกระพริบของหน้าจอลง ทำให้เรารับชมได้นานขึ้นและถนอมดวงตาของเราด้วย
แต่! มันก็มีข้อจำกัดอยู่เหมือนกัน เพราะถ้าหากไฟล์วีดีโอหรือวีดีโอที่เรารับชมอยู่ไม่ได้ทำมารองรับกับอัตราส่วนของหน้าจอ พวกซับไตเติ้ลหรือโลโก้ต่างๆ ที่ขึ้นด้านล่างและด้านบนของภาพก็จะถูกตัดขาดออกไปเลยล่ะครับ ใครที่ชอบดูซีรีย์แปลด้วยแล้วบอกเลยว่า คุณจะรับชมแบบเต็มจอไม่ได้ ต้องปรับไปรับชมในอัตราส่วนต้นฉบับแทน โดยเฉพาะบน Youtube เป็นเกือบ 90% เลย
มากันที่ด้านเสียงกันบ้าง โดย Vivo NEX 3 ทางวีโว่ได้ใส่ชิปเสียง HiFi AK4377A เป็นชิปเสียงตัวเล็กมาให้บนตัวเครื่องด้วย ซึ่งผลที่ได้ก็เห็นชัดเจนเลยว่า เสียงที่ขับออกมาจากลำโพงหรือหูฟังมีมิติเสียงที่มากขึ้นจากลำโพงทั่วไป ซึ่งเมื่อฟังแล้วรู้สึกสนุกหรืออินไปกับคอนเทนท์เพลงได้ง่ายๆ เลย และถ้าได้หูฟังดีๆ สักคู่บอกเลยว่าฟินแน่นอนครับ
นอกจากนี้ยังมีซอฟต์แวร์ EQ สำหรับปรับแต่งคลื่นความถี่ของเสียงให้เหมาะกับหูของแต่ละคนติดมาด้วย ซึ่งถ้าใครไม่อยากปรับเอง ก็มีไกด์แบ่งตามช่วงอายุมาให้แล้ว เลือกใช้งานกันตามอายุได้เลย และจากที่ผมได้ลองปรับและใช้คู่กับหูฟังที่แถมมาในกล่อง เปิดฟังเพลงสตรีมมิ่งจาก Sportify ดู ยอมรับเลยว่า เสียงดีจริงๆ เจ้า NEX 3 เนี่ย ยิ่งฟังตอนดูซีรีย์นะอินมากมายเลย
ส่วนจุดติในด้านเสียงของเจ้า NEX 3 คงจะมีเรื่องเดียวก็คือ ลำโพงเสียงของเครื่องที่ครั้งนี้ให้มาเพียงตัวเดียวเท่านั้น ถึงแม้ชิปเสียง HiFi จะช่วยทำให้เสียงที่ขับออกมาฟังสนุกและดังกว่าลำโพงทั่วไปแบบเห็นได้ชัด แต่การใส่ลำโพงมาตัวเดียวก็ทำให้ประสิทธิภาพของเสียงดรอปลงไปเหมือนกัน เมื่อฟังในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงจากภายนอกรบกวนประมาณ 20% คุณจะรู้สึกได้ชัดเลย แต่ถ้าฟังในห้องนอนส่วนตัวไม่มีปัญหาให้กวนใจแน่นอนครับ ฟังเพลินจนหลับเลยล่ะ
สำหรับการเล่นเกมบน Vivo NEX 3 ด้วยสเปกขั้นสุดแบบนี้ คงไม่ต้องบรรยายสรรพคุณอะไรให้มากความเลยล่ะครับ เพราะทำได้ลื่นไหล ต่อเนื่อง และประสิทธิภาพดีมากๆ ทั้งในด้านของภาพกราฟฟิกของเกมที่แสดงผลออกมาได้คมสมจริงได้อรรถรสมากๆ รวมทั้งการประมวลผลเฟรมเรททำได้ต่อเนื่องและนิ่งมากๆ ผลจากการใช้ชิปประมวลผล Snapdragon 855+ ที่มาพร้อม GPU Adreno 640 ที่ขึ้นชื่อในด้านเกมอยู่แล้ว คงไม่ต้องสงสัยในประสิทธิภาพเกมมิ่งของเจ้า NEX 3 เลย
ส่วนด้านการควบคุมความร้อนนั้น เจ้า NEX 3 มีการใส่ระบบระบายความร้อน "Vapor Chamber Cooling System" มาให้ด้วย ซึ่งจากที่ผมได้ลองเล่นยาวๆ ดู ถือว่าทำหน้าที่ได้ดีอยู่เหมือนกันครับ เพราะเล่นไปประมาณชั่วโมงหน่อยๆ พึ่งจะเริ่มรู้สึกอุ่นๆ จากบริเวณขอบตัวเครื่อง แต่คิดว่าถ้าเล่นยาวๆ ติดต่อกันหลายชั่วโมงก็น่าจะเกิดความร้อนสะสมเหมือนกัน ซึ่งเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว
นอกจากนี้ Vivo NEX 3 ยังมีซอฟต์แวร์ "Ultra Game Mode" ที่เป็น Game Suite สำหรับการจัดการทรัพยากรต่างๆ บนตัวเครื่องขณะเล่นเกมมาให้ด้วย เราสามารถเลือกปรับเปลี่ยนการแจ้งเตือน, การทำงานเบื้องหลังของโปรแกรม รวมถึงการเชื่อมต่อข้อมูลต่างๆ ขณะเล่นได้ทั้งหมด และที่แตกต่างจากมือถือทั่วไป ก็คือในโหมดอัลตร้าเกมทางวีโว่ได้ร่วมมือกับผู้พัฒนาเกมหลายค่ายในการเพิ่มลูกเล่นใหม่ๆ สำหรับเกมนั้นๆ โดยเฉพาะ เช่น PUBG มีฟีเจอร์บีบเสียง ทำให้เวลาเราคุยผ่านไมค์ออกไปหาเพื่อนในเกมจะกลายเป็นเสียงการ์ตูน, เสียงหุ่นยนต์ สร้างกริมมิกให้สนุกยิ่งขึ้น
ลองทดสอบเล่น Call of Durty Mobile ที่ต้องใช้พลังในการประมวลผลพอสมควรเลย แถมเกมแนว FPS ต้องใช้การตอบสนองที่ดีมากๆ ในการเล่นด้วย ซึ่ง Vivo NEX 3 ก็ทำได้สบายๆ ตอบสนองได้ทันใจและสามารถปรับการตั้งค่าต่างๆ ในเกมได้สุดทุกอย่างเลย
ในขณะที่เกมตีป้อมยอดฮิตอย่าง ROV ก็เล่นได้สบายหายห่วงจัดสุดได้ทั้งหมด เล่นกันลื่นๆ ได้เลย การตอบสนองของหน้าจอหรือการทัชระหว่างเล่นเกมก็ทำได้สมูทมากๆ ตามสไตล์เรือธงเลยครับ
แบตเตอรี่ (การใช้พลังงานบนตัวเครื่อง)
Vivo NEX 3 มาพร้อมแบตเตอรี่ขนาด 4500 mAh และมีเทคโนโลยีการจัดการพลังงานบนตัวเครื่องใหม่ที่ชื่อว่า "C-DRX" ที่จะเข้ามาบริหารจัดการทรัพยากรบนตัวเครื่องในเรื่องของพลังงานให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น ซึ่งจากที่ผมได้ใช้งานเจ้า NEX 3 แบบจริงจังเหมือนกับเป็นเครื่องหลักตัวเองมา 2 วัน ก็ยอมรับเลยครับว่า แบตอึดอยู่เหมือนกันนะ เพราะเครื่องหลักที่ใช้อยู่นั้นปกติแล้วในหนึ่งวันแทบจะไม่พอใช้งานเลย (แบต 4,000 mAh) แต่พอเปลี่ยนมาใช้เจ้าเน็กสามดู เริ่มจากออกจากบ้านเดินทางไปที่ทำงานด้วยแบตเตอรี่ 100% ตลอดการเดินทางก็ฟังเพลงสตรีมมิ่งสลับกับเปิดเฟสเล่นไลน์รวมๆ ก็ 1 ชั่วโมงครึ่ง ตอนเที่ยงก็เล่นเกมเล่นโซเชี่ยลบ้าง ตกเย็นก็จะหนักหน่อยเล่นเกมช่วงรอแถวรถกลับบ้าน และก็จะกลับถึงบ้านตอนประมาณสี่ทุ่ม เชื่อไหมครับแบตฯ ยังเหลือให้ใช้งานอีก 30% เลยนะ!
อีกสิ่งหนึ่งที่ผมชอบมากๆ และถือว่าช่วยอำนวยความสะดวกเรื่องของพลังงานให้กับเราได้เป็นอย่างดี นั้นคือการที่ NEX 3 มาพร้อมระบบชาร์จไว Dual Engine Fast Charging 22.5 W เนี้ยแหละครับ ช่วงไหนที่ผ่านร้านที่ให้ชาร์จได้ก็เสียบชาร์จเติมไฟระหว่างทำธุระหน่อย จำได้ว่ามีครั้งหนึ่งชาร์จไปประมาณ 15 นาที แต่ได้ไฟกลับเข้าเครื่อง 20% กว่าเลยล่ะ เร็วมากๆ อันนี้ชอบเลย
กล้องถ่ายรูป Triple Camera 64 MP
Vivo NEX 3 มาพร้อมกล้องถ่ายรูปหลัก Triple camera พร้อมไฟแฟลช LED ซึ่งทางวีโว่ได้ดีไซน์การวางตำแหน่งของกล้องไว้ที่บริเวณตรงกลางด้านหลังของฝาหลังตัวเครื่อง พร้อมกับเรียกชื่อดีไซน์และตัวกล้องใหม่นี้ว่า "Lunar Ring Camera System" โดยตัวเซ็นเซอร์กล้องถ่ายรูปทั้ง 3 ตัว ที่มาพร้อมกับ NEX 3 ประกอบด้วย
- กล้องหลักความละเอียด 64 ล้านพิกเซล (F1.8)
- กล้องมุมกว้าง (Wide Angle) ความละเอียด 13 ล้านพิกเซล (F2.2)
- กล้อง TelePhoto ความละเอียด 13 ล้านพิกเซล (F2.4)
สำหรับความร้ายกาจของกล้อง Triple camera ทั้งสามตัว นอกจากกล้องหลักจะมาพร้อมเซ็นเซอร์ความละเอียดสูง 64 ล้านพิกเซลแล้ว ยังสามารถปรับระยะโฟกัสของภาพจากระยะถ่าย Landscape ให้เป็นระยะ Portrait หรือ Macro ได้ในตัวด้วยกล้องหลักตัวเดิม ทำให้เราได้ภาพที่สวยและคมชัดทั้งระยะไกลและระยะใกล้ รวมทั้งประสบการณ์การถ่ายภาพที่ดี และรู้สึกว่าทุกอย่างมันง่ายและต่อเนื่องมากๆ ไม่ต้องเรียกใช้โหมดอะไรให้วุ่นวาย ทำให้ใครที่เป็นมือใหม่กับการถ่ายภาพไม่ต้องกังวลเลยว่าจะใช้งานยากครับ เปิดออโต้แล้วกดถ่ายได้เลย
ส่วนเรื่องของคุณภาพของภาพถ่ายที่ได้จากตัวกล้องความละเอียด 64 MP ทำได้ดีพอสมควร ไฟล์ภาพทั้งแบบ JPEG หรือ RAW ไม่เป็นวุ้นเละเวลาเอาลงคอมพิวเตอร์ สามารถเอาแต่งต่ออีกนิดหน่อยก็ได้ภาพที่สวยพร้อมลงโซเชียลแล้ว โทนของภาพจะออกไปทางสีสันสดใส ติดคอนทราสพอประมาณ แต่ภาพรวมถือว่า เป็นกล้องที่ถ่ายสนุก มือใหม่น่าจะชอบกันแน่นอน และให้คุณภาพของภาพถ่ายที่พร้อมใช้งานจบหลังกล้องได้ทันที และสวยสมกับการเป็นเรือธงของค่าย ในขณะที่เรื่องของการถ่ายวีดีโอรุ่นนี้สามารถถ่ายวีดีโอได้ที่ความละเอียดสูงสุด 4K 30FPS และตัวกล้องไม่มีกันสั่น OIS มาให้ แต่มี EIS ที่ให้ประสิทธิภาพที่พอจะทำให้เราถ่ายภาพวีดีโอให้สนุก เวลามาดูย้อนหลังแล้วไม่มึนหัวครับ
เมนูกล้องถ่ายรูป
หน้าเมนูการแก้ไขภาพถ่ายใน Gallery
เครื่องมือสำหรับแก้ไข-ปรับแต่งรูปถ่าย
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้อง Triple camera บน Vivo NEX 3
- โหมดปรับค่ารูรับแสงเอง (Manual Mode)
- ฟิลเตอร์แสงในโหมดถ่ายภาพบุคคล
- โหมดถ่ายภาพความละเอียดสูง 64 MP (9216x6912 พิกเซล)
- Night mode (ถ่ายภาพกลางคืน)
กล้องหน้า Elevating Front camera ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล
Vivo NEX 3 เลือกใช้กล้องหน้าแบบเลื่อนขึ้น-ลง จากขอบด้านบนของตัวเครื่อง โดยใช้เซ็นเซอร์กล้องที่มีความละเอียด 16 ล้านพิกเซล (F2.0) พร้อมไฟแฟลช LED และใส่คุณสมบัติใหม่อย่าง "Hyper-HDR" ซอฟต์แวร์ที่ช่วยวิเคราะห์ความสว่างของแสงบนใบหน้าให้มีความเหมาะสมกับแสงสภาพแวดล้อมที่ถ่าย ซึ่งสามารถปรับความสว่างของแสงได้สูงถึง 7.65eV เลยนะครับ สูงมากๆ ลองไปชมภาพตัวอย่างจากกล้องหน้ากันครับ
ภาพตัวอย่างจากกล้อง Elevating Front camera ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล บน Vivo NEX 3
บทสรุป Vivo NEX 3 เป็นอย่างไร?
ตลอดระยะเวลา 3 วันที่ได้ถือใช้งาน Vivo NEX 3 มา มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ผมรู้สึกประทับใจและชื่นชอบในความเป็น NEX Series ของวีโว่มากๆ จนต้องขอยกมือยืนยันอีกเสียงว่า Vivo ทำสมาร์ทโฟนรุ่นนี้ออกมาได้ดี และเหมาะสมกับการเป็นเรือธงของค่ายจริงๆ และแน่นอนว่าก็มีบางจุดที่เรารู้สึกขัดใจอยู่เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการออกแบบให้ไร้ปุ่มกด และใช้ระบบ Haptic มาใช้งาน มันเป็นอะไรที่ว้าวดีนะครับ แต่พอเข้าจริงมันก็แอบใช้งานยากเหมือนกัน เพราะบ่อยครั้งที่ตัวผมเองมักจะหาแถบเพิ่มเสียงไม่เจอต้องคล้ำๆ หาเอา ไม่ทันใจซะเหลือเกิน หรือจะเป็นเรื่องของขนาดหน้าจอ 6.89 นิ้ว ที่มันยาวเกินกว่าจะพกใส่กระเป๋ากางเกงได้แล้วล่ะครับ ขอบล้นออกมาโดนขอบเข็มขัดตลอดเลยสำหรับผม
แต่สิ่งเหล่านี้มันเป็นปัจจัยเล็กๆ น้อยๆ ที่เราสามารถเรียนรู้และชินกับการใช้งานได้ไม่ยากครับ เมื่อเทียบกับประสิทธิภาพและสิ่งที่ได้จาก Vivo NEX 3 ที่ผมขอยกให้เป็นเรือธงอีกรุ่นที่ประทับใจและชอบมากที่สุดในปีนี้เลย ซึ่งผมก็ขอสรุปสั้นๆ ตรงนี้เลยว่า "จงอย่าถามว่าได้ที่นั่งตรงไหน แต่จงตัดสินใจนั่งไปเลย" เพราะ Vivo NEX 3 เป็นสมาร์ทโฟนเรือธงอีกรุ่นในปีนี้ ที่ไม่ควรพลาด!! ขอแค่เปิดใจ แล้วคุณจะได้สมาร์ทโฟนที่ดีอีกรุ่นในปีนี้ไปใช้งาน
Vivo NEX 3 เริ่มวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการแล้ว โดยมีให้เลือกเพียง 1 สี คือ สีดำ Glowing Night ในราคา 24,999 บาท ซึ่งใครที่สนใจก็สามารถหาซื้อได้ที่ Vivo Brand Shop, ร้านค้าและตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ รวมทั้งมีจำหน่ายร่วมกับทางเครือข่าย AIS, Truemove H และ DTAC ด้วย ซึ่งจะได้รับสิทธิ์ VIP Card กับการรับประกันตัวเครื่องยาวนาน 2 ปี และประกันหน้าจอแตกจำนวน 1 ครั้ง (ภายในระยะเวลา 1 ปีเท่านั้น)