10 วิธี ประหยัดแบตเตอรี่บนมือถือสมาร์ทโฟนของคุณ
สมัยนี้หลายๆ คนก็หันมาใช้มือถือสมาร์ทโฟนกันแทบจะทุกคน เรียกว่าเป็นยุคสมัยของสมาร์ทโฟนเลยก็ว่าได้ เพราะนอกจากจะใช้โทรเข้าโทรออก ก็ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกสารพัดอย่างรองรับเราอยู่บนมือถือเล็กๆ เพียงเครื่องเดียวนี้ที่มือถือสมัยก่อนหรือฟีเจอร์โฟนทำไม่ได้ อย่างเช่น ท่องอินเตอร์เน็ตได้อย่างรวดเร็ว, รับชมวีดิโอและมัลติมิเดียต่างๆ ผ่านระบบออนไลน์, ถ่ายรูปด้วยความละเอียดที่มากขึ้น, สนทนาผ่านระบบวีดิโอ และอื่นๆ อีกมากมายที่ช่วยสร้างความบันเทิงเริงใจให้แก่ผู้ใช้งาน แต่ในขณะเดียวกัน บนประโยชน์ที่มากมายนั้นก็ต้องแลกกับการกินปริมาณแบตเตอรี่ที่มากด้วยเช่นกัน หลายครั้งในขณะที่เรากำลังใช้งานมือถือก็จำต้องหงุดหงิดกับแบตเตอรี่ที่ดูเหมือนว่าจะลดลงเร็วเหลือเกิน บางครั้งบางคราก็ต้องมาคอยลุ้นว่าวันนี้แบตเตอรี่มือถือจะเหลือรอดในระหว่างทางกลับบ้านหรือไม่ หรือบางคนก็ต้องพกแบตเตอรี่สำรองเพิ่มความหนักในกระเป๋าเข้าไปอีก
สำหรับแบตเตอรี่ของสมาร์ทโฟนที่ใช้ในยุคปัจจุบันนี้ จะเป็นแบตเตอรี่ชนิด Lithium-ion (Li-ion) ซึ่งมีขนาดเล็กและน้ำหนักเบา และสามารถจุพลังได้มากกว่าแบตเตอรี่แบบเก่า แต่ถึงแม้จะจุได้มาก แต่ก็ไม่สามารถทำงานได้ข้ามวันข้ามคืน เนื่องจากการใช้งานอย่างหนักหน่วง เช่น การเปิดแอปต่างๆ, การท่องอินเทอร์เน็ต, ส่งเมล์ และอะไรอีกหลายๆ อย่างที่โทรศัพท์สมาร์ทโฟนสมัยนี้ทำได้ รวมไปถึงการโทรเข้าโทรออกด้วยเช่นกัน
แม้ว่าแบตเตอรี่ของสมาร์ทโฟนแต่ละรุ่นจะมีความจุแตกต่างกัน บางรุ่นก็มีความจุที่มาก แต่โดยรวมแล้วแบตเตอรี่สมาร์ทโฟนสมัยนี้จะมีระยะเวลาในการใช้งานต่อเนื่องเฉลี่ยประมาณ 5 ชั่วโมง ซึ่งสำหรับใครทีมีความจำเป็นที่ต้องใช้งานสมาร์ทโฟนตลอดทั้งวันละก็มีปัญหาแน่ๆ วันนี้เรามีวิธีการยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่มาฝากกันค่ะ หลักการง่ายๆ ก็เพียงแค่ลดปริมาณการใช้งานโทรศัพท์สมาร์ทโฟนของคุณให้น้อยลงนั่นเอง แต่จะทำได้อย่างไรนั้น เราไปดูกันค่ะ
วิธีประหยัดพลังงานแบตเตอรี่
1. ปิดระบบสั่น
หลายคนอาจมีความจำเป็นต้องปิดเสียงเรียกเข้ามือถือแล้วเปิดระบบสั่นเสียมากกว่า อย่างเช่นในเวลาทำงาน หรือประชุม แต่แท้จริงแล้วนั้นการเปิดสั่นนี่เองที่ใช้พลังงานแบตเตอรี่มากกว่าเปิดเสียงเรียกเข้าเสียอีก เพราะในการเปิดเสียงเรียกเข้าธรรมดานั้น โทรศัพท์มือถือจะทำหน้าที่เพียงส่งเสียงสัญญาณมาที่ลำโพงเล็กๆออกมาเป็นเสียงดนตรี แต่ถ้าเปิดระบบสั่นจะใช้การทำงานในส่วนของมอเตอร์เพื่อออกแรงให้เครื่องโทรศัพท์ทั้งเครื่องนั้นเกิดแรงสั่นสะเทือนขึ้นมา และในกระบวนการนี้จะทำให้เปลืองพลังงานมากกว่านั่นเอง อย่างไรก็ตามหากเปิดเสียงเรียกเข้าตามปกติแล้วอยากจะประหยัดแบตเตอรี่ด้วยล่ะก็ควรจะปิดระบบสั่น ใช้ระบบสั่นเมื่อจำเป็น จะช่วยประหยัดแบตเตอรี่ขึ้นได้อีก 5 เท่าตัวเลยค่ะ แต่ถ้าหากอยากจะประหยัดแบตเตอรี่ให้ได้มากที่สุด ก็สามารถปิดทั้งเสียงเรียกเข้าและระบบสั่น และวางมือถือไว้ใกล้ๆ เพียงพอที่จะมองเห็นการแจ้งเตือนเมือหน้าจอสว่างขึ้นก็เพียงพอแล้วค่ะ
2. ลดความสว่างหน้าจอให้สลัวและปรับ Wallpaper หน้าจอ
ในบรรดาส่วนประกอบของการผลาญพลังงานแบตเตอรี่ที่มากที่สุดก็คือหน้าจอนี่เอง โดยในส่วนของ Android ส่วนใหญ่ที่หน้าจอเป็นแบบ AMOLED ซึ่งจะมีการแสดงผลที่สว่างและสีสด แต่ในมือถือสมาร์ทโฟนทั่วไปจะมีการตั้งค่าระบบ Auto-Brightness ให้อยู่แล้วซึ่งจะสามารถช่วยในเรื่องของการประหยัดพลังงานแบตเตอรี่ได้ แต่ถ้าหากเราปรับให้หน้าจอสว่างน้อยที่สุดไปเลยนั้นก็จะช่วยให้ประหยัดแบตเตอรี่ได้มากขึ้นด้วย นอกจากจะปรับให้หน้าจอสลัวแล้ว เพื่อให้เกิดการใช้พลังงานหน้าจอให้น้อยลง เราสามารถตั้งค่าให้ Wallpaper เป็นโทนสีมืดได้อีกด้วย นอกจากนี้ Wallpaper ที่เป็นภาพเคลื่อนไหวต่างๆ ก็จะมีการใช้พลังงานมากขึ้น ถ้าหากต้องการประหยัดแบตเตอรี่ก็ควรจะหลีกเลี่ยงในส่วนนี้ด้วยค่ะ
3. ตั้งเวลาปิดหน้าจออัตโนมัติให้เร็วขึ้น
หลักการก็คือ ตราบเท่าที่หน้าจอยังสว่างอยู่ก็จะยังคงมีการใช้พลังงานงานแบตเตอรี่อยู่ ซึ่งโทรศัพท์มือถือตอนนี้ก็มีส่วนที่สามารถตั้งค่าให้หน้าจอดับได้ตามเวลาที่กำหนด และถ้าตั้งค่าให้หน้าจอดับให้เร็วที่สุดก็จะเป็นการช่วยให้มือถือหยุดการทำงานได้เร็วและช่วยประหยัดแบตเตอรี่มากขึ้นนั่นเอง
4. ปิด Wi-fi / 3G / 4G / Bluetooth
อุปกรณ์และระบบไร้สายทั้งหลาย ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้ใช้งานในขณะที่ปิดสัญญาณเหล่านั้นไว้อยู่ ตัวเครื่องก็จะยังกินพลังงานในส่วนนั้น อย่างถ้าเราเปิด Wi-fi / 3G / 4G / Bluetooth ทิ้งไว้ ตัวจับสัญญาณนั้นก็จะมีการอ่านคลื่นรอบตัวอยู่ตลอดเวลาอยู่ดี เพราะฉะนั้นถ้าไม่ได้ใช้งานก็ควรจะปิดเสีย จะช่วยให้ประหยัดแบตเตอรี่ได้เป็นชั่วโมงเลยทีเดียว แต่ถ้าหากมีความจำเป็นที่จะต้องเชื่อมต่อข้อมูลอินเตอร์เน็ตผ่านระบบไร้สาย แนะนำให้ใช้ Wi-fi เนื่องจากกินพลังงานน้อยที่สุดรองจาก 3G, 4G เลยค่ะ
5. ปิด GPS
ถ้าไม่ได้มีความจำเป็นต้องใช้งาน GPS ก็ควรจะปิดเสีย หลักการก็เหมือนกับสัญญาณไร้สายอื่นๆ และในการ Share Location แต่ละครั้ง ก็มีการใช้พลังงานในส่วน GPS ที่จะทำให้กินพลังงานแบตเตอรี่มากขึ้น
6. ปิดแอปพลิเคชั่นที่ไม่ได้ใช้
โทรศัพท์สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ๆ รองรับการใช้งานแอปพลิเคชั่น 2 ตัวพร้อมๆ กัน ทำให้เกิดการใช้งานโทรศัพท์มากขึ้น และหลังจากที่เราใช้งานแอปพลิเคชั่นแล้วกดออกมาที่หน้าจอ แล้วใช้แอปอื่นต่อๆไปเรื่อยๆ ทำให้แอปพลิเคชั่นต่างๆ นั้นค้างอยู่ที่หน้า Task Manager เท่ากับว่าแอปพลิเคชั่นนั้นยังคงถูกใช้งานอยู่ และเมื่อมีการใช้งาน แบตเตอรี่ก็ต้องถูกใช้งานไปด้วย เพราะฉะนั้นการปิดแอปพลิเคชั่นที่หน้า Task Manager ก็ช่วยประหยัดแบตเตอรี่ได้ทางหนึ่ง
7. ปิดการแจ้งเตือนแอปพลิเคชั่นต่างๆ
เมื่อเราดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่นใหม่ๆมา แอปนั้นจะมีการตั้งค่าให้มีการแจ้งเตือนอัตโนมัติมาด้วย ซึ่งถ้าเราไม่ได้ปิดการแจ้งเตือน ในขณะที่หน้าจอเราดับอยู่ ทุกครั้งที่มีการแจ้งเตือนแอปฯนั้น หน้าจอของเราก็จะสว่างขึ้นทุกครั้ง หรือถ้าเราเปิดทั้งเสียงทั้งระบบสั่น ก็จะมีการใช้พลังงานเพิ่มเติมถึง 3 ส่วนในการแจ้งเตือนเพียงครั้งเดียว เพราะฉะนั้นหลังจากที่ดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่นมาใช้ และรู้สึกว่าแอปนั้นไม่มีความจำเป็นที่ต้องรับการแจ้งเตือน ก็อย่าลืมเข้าไปปิด รวมไปถึงแอปอื่นๆ ที่ไม่จำเป็นทั้งหลายด้วยเช่นกัน
8. ใช้โหมดประหยัดพลังงาน หรือแอปพลิเคชั่นประหยัดแบตเตอรี่
สำหรับ Android จะมีฟีเจอร์ที่เรียกว่า Power Saving Mode หรือโหมดประหยัดพลังงาน ที่จะช่วยยืดอายุการใช้งานโทรศัพท์มือถือของคุณในช่วงโค้งสุดท้ายของการทำงานแบตเตอรี่ก่อนจะลาจากเราไป ซึ่งถ้าเราเห็นว่าตัวเลขแบตเตอรี่เหลือน้อยเต็มทนแล้ว (ในที่นี้ไม่ควรต่ำกว่า 10%) ควรจะเปิดโหมดนี้ขึ้นมาใช้งาน และดูเหมือนฝั่ง Samsung จะคำนึงถึงเรื่องนี้ ใน Samsung Galaxy S5 นอกจากจะมี Power Saving Mode ธรรมดาแล้ว ยังมี Ultra Power Saving Mode โหมดประหยัดพลังงานขั้นเทพ ที่มาช่วยตัดฟังก์ชั่นที่ไม่จำเป็นออกไปในขณะที่เปิดเครื่องอยู่ โดยอาจจะใช้งานเครื่องได้ไม่เต็ม 100% นัก แต่ก็จะช่วยยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่ออกไปได้หลายชั่วโมงทีเดียว สำหรับ iOS จำพวก iPhone หรือ iPad ที่ไม่มี Mode นี้อยู่ ก็สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่นที่ช่วยในเรื่องของการประหยัดแบตเตอรี่ได้ อย่างเช่น แอป Battery Doctor+ เป็นต้น
9. ปิด Widget ที่ไม่จำเป็น
ในสมาร์ทโฟน Android จะมีฟีเจอร์ที่เรียกว่า Widget ซึ่งเป็นการดึงเอาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตของแอปที่เราชอบมาไว้ในหน้า Homescreen ซึ่งเป็นทางลัดทางหนึ่งในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต (ส่วนใน Windows Phone จะเรียกว่า Tile) แน่นอนว่าการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ย่อมใช้พลังงานแบตเตอรี่ไปด้วย เพราะฉะนั้นการปิด Widget ที่ไม่จำเป็นออกไป ก็ช่วยให้ประหยัดพลังงานได้มากขึ้นด้วย
10. อัพเดท Software สมาร์ทโฟนสม่ำเสมอ
สำหรับ iOS ทุกครั้งที่มีการอัพเดท Software มักจะมีตัวที่อัพเกรดประสิทธิภาพในการประหยัดพลังงานแบตเตอรี่ให้ดีขึ้นมาด้วย และยังไม่ทำให้มือถือสมาร์ทโฟนของคุณตกรุ่นด้วยค่ะ
วิธีข้างต้นเหล่านี้นอกจากจะช่วยยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่ให้ยาวนานขึ้นในแต่ละรอบครั้งการใช้งานแล้ว เราก็จำเป็นต้องถนอมแบตเตอรี่ของเราเพื่อไม่ให้แบตเตอรี่เสื่อมซึ่งเป็นที่มาของการที่แบตเตอรี่หมดไวอีกด้วยค่ะ
วิธีถนอมแบตเตอรี่
- สำหรับผู้ที่ซื้อมือถือสมาร์ทโฟนมาใช้เป็นครั้งแรกนั้น ปกติในสมัยก่อน เราอาจจะเคยได้ยินว่าต้องชาร์จแบตเตอรี่มือถือให้นานถึง 12 ชั่วโมง แต่ถ้าเป็น แบตเตอรี่ชนิด Li-ion เราทำเพียงชาร์จมือถือให้เต็มแล้วปล่อยทิ้งไว้อีกเพียงแค่ 1 - 2 ชั่วโมงเท่านั้น ไม่ต้องรอไปจนถึง 10 ชั่วโมงแต่อย่างใด
- ในการใช้งานมือถือแต่ละครั้ง ก็ไม่จำเป็นต้องรอให้แบตเตอรี่หมดก่อน เนื่องจากสมัยก่อนเราต้องรอให้แบตเตอรี่หมดเกลี้ยงจนเครื่องดับแล้วเราถึงจะชาร์จได้ แต่สำหรับแบตเตอรี่ชนิด Li-ion นั้นจะทำแบบนั้นไม่ได้เลยค่ะ เพราะกลับกันถ้าเรารอให้แบตเตอรี่ในมือถือหมดจนเครื่องดับไปนั้น จะยิ่งทำให้แบตเตอรี่เสื่อมไวมากขึ้นค่ะ เพราะฉะนั้นเราสามารถชาร์จแบตฯ มือถือสมาร์ทโฟนได้บ่อยครั้งเท่าที่เราต้องการโดยไม่จำเป็นต้องรอให้แบตเตอรี่หมดได้เลยค่ะ
- นอกจากนี้ ควรระมัดระวังเรื่องการเก็บสมาร์ทโฟนไว้ในที่ที่มีอุณหภูมิสูง อย่างวางทิ้งไว้ในรถที่จอดกลางแดด วางไว้ในที่ที่มีแสงแดดจัดๆ ส่องโดน เพราะอาจจะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมประสิทธิภาพลงไปเยอะเลยค่ะ
อย่างไรก็ตามแม้ว่าเราจะถนอมงานใช้งานแบตเตอรี่แล้ว แต่เมื่อมีการใช้งานก็ต้องมีการเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา เมื่อใช้มือถือผ่านไปได้ซัก 1-2 ปี เราควรจะสังเกตว่าแบตเตอรี่ของเราหมดเร็วเกินไปหรือไม่จากปกติ เพราะถ้าหมดเร็วเกินไปก็แสดงว่าถึงเวลาอันสมควรที่เราควรจะเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่ได้แล้วค่ะ