บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ “FPT” ผู้นำบริการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจรของประเทศไทย ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาสแรกของปี 2565 (มกราคม - มีนาคม 2565) ด้วยรายได้รวม 3,414 ล้านบาท โดยผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในภาพรวมปรับตัวดีขึ้นจากการเดินหน้าขับเคลื่อนองค์กรอย่างแข็งแกร่งตามกลยุทธ์ One Platform ควบคู่กับการประยุกต์ใช้แผนกลยุทธ์ธุรกิจเชิงรุกสำหรับทุกกลุ่มธุรกิจ ได้แก่ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัย อุตสาหกรรม และพาณิชยกรรม พร้อมทั้งยังให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพที่ต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจภายในประเทศ หลังจากที่ประชาชนสามารถปรับตัวเข้ากับสถานการณ์โควิดและการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์ Omicron
นายธนพล ศิริธนชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (Country Chief Executive Officer) บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “FPT เริ่มต้นปี 2565 ด้วยความพร้อมเต็มกำลังในการเดินหน้าสู่การเป็นแบรนด์อสังหาฯ ครบวงจรชั้นนำของประเทศไทย ด้วยการสร้างการเติบโตผ่านการขยายฐานลูกค้าทุกกลุ่มธุรกิจ โดยปรับกลยุทธ์และแผนธุรกิจให้สอดคล้องกับสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจเพื่อรุกตลาดและจับกลุ่มลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น ประกอบกับมุ่งเน้นการพัฒนานวัตกรรมสินค้าและบริการที่ทันสมัย เพื่อส่งมอบประสบการณ์และตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา”
ในภาพรวมของเดือนมกราคม - มีนาคม 2565 FPT สามารถสร้างผลการดำเนินงานในช่วง 3 เดือนแรกที่ผ่านมาได้ในระดับที่น่าพอใจ โดยบริษัทฯ สร้างรายได้รวมสุทธิ 3,414 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 311 ล้านบาท โดยสามารถรับรู้อัตรากำไรขั้นต้นในสัดส่วนที่สูงขึ้น 6.4% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า ด้วยการปรับกลยุทธ์ของกลุ่มธุรกิจอสังหาฯเพื่อที่อยู่อาศัย "เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม" ที่เน้นโครงการบ้านเดี่ยวมากขึ้น เพื่อขยายเซ็กเมนต์ของกลุ่มลูกค้ากำลังซื้อสูง ส่งผลให้ในไตรมาสแรกโครงการบ้านเดี่ยวเติบโตขึ้น 25% เมื่อเทียบกับปีก่อน อีกทั้งบริษัทฯ ยังได้ปรับกลยุทธ์การปิดการขายและโอนบ้านให้อยู่ในระยะเวลา 3 เดือน จึงทำให้สามารถรับรู้รายได้เร็วขึ้น พร้อมทั้งช่วยลดความเสี่ยงด้านต้นทุนการก่อสร้าง
นอกจากนี้ ยังได้เดินหน้าการพัฒนาการออกแบบบ้านให้ตอบโจทย์ลูกค้ามากยิ่งขึ้น จึงทำให้โครงการบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮมได้รับการตอบรับที่ดีแม้ว่าการปฏิเสธสินเชื่อยังอยู่ในอัตราสูง สำหรับแผนการเปิดโครงการ ในระหว่างเดือนเมษายน – ธันวาคม 2565 บริษัทฯ มีแผนการเปิดโครงการบ้านเดี่ยว,บ้านแฝด, ทาวน์โฮม และโครงการต่างจังหวัด รวมทั้งสิ้น 19 โครงการ รวมมูลค่า 30,000 ล้านบาท
กลุ่มธุรกิจ “เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ อินดัสเทรียล” และ กลุ่มธุรกิจ “เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ คอมเมอร์เชียล” ที่สร้างกระแสรายได้ที่สม่ำเสมอให้แก่บริษัทฯ บันทึกรายได้ที่ 571ล้านบาทในไตรมาสแรก (มกราคม-มีนาคม 2565) โดยธุรกิจโรงงานและคลังสินค้ายังมีอัตราการเช่ารวมสูงถึงร้อยละ 85.4 โดยยังคงมีแนวโน้มความต้องการพื้นที่เช่าที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องจากดีมานด์ของผู้เช่าที่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการเติบโตสูง ได้แก่ กลุ่มโลจิสติกส์ ยานยนต์ และ อิเล็กทรอนิกส์ พร้อมกับได้รับอานิสงส์จากการชะลอการส่งออก ซึ่งเป็นผลกระทบจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครนที่ยังคงยืดเยื้อ ส่งผลให้ภาวะราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น จึงมีดีมานด์ระยะสั้นจากผู้เช่าเพิ่มเติมเข้ามาในพอร์ตโฟลิโอมากขึ้น ซึ่งดีมานด์ระยะสั้นนี้คาดการณ์ว่าจะต่อเนื่องจนถึงสิ้นปี 2565 นอกจากนี้ ยังเดินหน้าพัฒนาโครงการตามแผน เตรียมส่งมอบพื้นที่โรงงานและคลังสินค้ารวมทั้งสิ้นกว่า 150,000 ตร.ม. ภายในปีนี้
ด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อพาณิชยกรรมสามารถรักษาอัตราการเช่าได้ในระดับสูง โดยอาคารสำนักงานสามารถรักษาระดับผู้เช่าไว้ได้กว่า 90 และยังคงให้ความสำคัญกับกลยุทธ์การบริหารสัญญาเช่าอย่างยืดหยุ่น ร่วมกับการให้บริการอาคารสำนักงานเกรดเอคุณภาพสูงในย่านธุรกิจใจกลางเมือง โดยหนึ่งในโครงการมิกซ์ยูสชั้นนำ ‘สามย่านมิตรทาวน์’ มีผู้เช่าและผู้ใช้บริการที่เพิ่มมากขึ้นด้วยการปรับตัวของประชาชนที่คลายความกังวลมากขึ้น ในส่วนของ โครงการมิกซ์ยูสที่น่าจับตาแห่งใหม่ ‘สีลมเอจ’ ยังคงคืบหน้าตามแผน เสร็จสิ้นแล้วกว่า 80% ปักธงเริ่มเปิดให้บริการในเดือนกันยายน 2565 ปัจจุบันมีผู้เช่าสำนักงานให้การตอบรับจองพื้นที่แล้วถึง 60% หรือ 6,000 ตร.ม. และมีผู้เช่ารีเทลปิดดีลจองแล้วกว่า 30% ของพื้นที่ทั้งหมด โดยบริษัทฯจะเริ่มรับรู้รายได้ในไตรมาส 3 ปีนี้