แสนสิริ พุ่งเป้ารักษาอันดับหนึ่งผู้นำตลาดแนวราบ ลุยไตรมาส 2 ผ่านมิติใหม่ในการขายครอบคลุมทุกช่องทาง
นายอาณัติ กิตติกุลเมธี รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาโครงการแนวราบ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากความสำเร็จในการสร้างยอดขายที่สูงที่สุดในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ก้าวเป็นอันดับ 1 ผู้นำอสังหาริมทรัพย์ในไตรมาสแรก ด้วยยอดขาย 11,000 ล้านบาท โดยคิดเป็นยอดจากกลุ่มโครงการแนวราบถึงกว่า 4,800 ล้านบาท หรือ 44% ของยอดขายที่ทำได้ในไตรมาสแรก สะท้อนความสำเร็จจากการได้รับความเชื่อมั่นจากลูกค้าจนส่งผลให้เป็น "แบรนด์อันดับหนึ่งของคนอยากมีบ้าน" จนส่งผลให้ปิดการขายโครงการบ้านเดี่ยวในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด มูลค่าโครงการรวม 10,200 ล้านบาท ได้แก่ โครงการสราญสิริ ติวานนท์ - แจ้งวัฒนะ โครงการนาราสิริ โทเพียรี่, โครงการนาราสิริ พุทธมณฑล สาย 1, โครงการนาราสิริ บางนา, โครงการสราญสิริ เกาะแก้วและบุราสิริ เกาะแก้ว ภูเก็ต เป็นต้น
ล่าสุดในไตรมาส 2 บริษัทได้เดินหน้ารุกสู่เป้าหมายผู้นำตลาดแนวราบตอบรับความต้องการของกลุ่มลูกค้าเรียลดีมานด์ ด้วยการวางแผนเปิดตัวโครงการแนวราบในปี 2563 จำนวนทั้งสิ้น 12 โครงการ มูลค่ารวม 15,200 ล้านบาท แบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 6 โครงการ มูลค่ารวม 8,600 ล้านบาท และทาวน์โฮมและมิกซ์โปรเจคต์อีก 6 โครงการ มูลค่ารวม 6,600 ล้านบาท ทั้งนี้แสนสิริยังคงยึดมั่นพันธกิจในการเป็นผู้นำตลาดแนวราบใน 3 ปี โดยมีกลยุทธ์ในการสร้างความแข็งแกร่ง ได้แก่ การเดินหน้ามุ่งพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยคุณภาพ ครอบคลุมความต้องการที่หลากหลาย ทั้งการโฟกัสในตลาดกลุ่มใหญ่ที่มีดีมานต์ (Mass Market) ด้วยการพัฒนาโครงการภายใต้แบรนด์ สิริ เพลส อณาสิริ และ สราญสิริ เจาะกลุ่มเรียล ดีมานต์ และคนที่อยากมีบ้านหลังแรก
ขณะเดียวกัน บริษัทยังพร้อมรักษาความเป็นผู้นำในแบรนด์ระดับบน อาทิ บุราสิริ และ เศรษฐสิริ เพื่อรับกลุ่ม New Demand จากกลุ่มลูกค้าที่เข้าเยี่ยมชมโครงการที่ต้องการมีบ้านใหม่เพื่อแยกครอบครัว หรือต้องการบ้านที่มีพื้นที่กว้างขี้น ซึ่งเป็นผลจากไลฟ์สไตล์ในรูปแบบ Social Distancing นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนเปิดตัวบ้านรูปแบบใหม่ รวมทั้งโครงการในแนวคิดใหม่ในปีนี้ เพื่อรองรับดีมานด์และความต้องการที่ตอบโจทย์ insights ของลูกค้าเฉพาะกลุ่มมากขึ้นอีกด้วย
สำหรับสถานการณ์ภาพรวมตลาดบ้านเดี่ยว ในปี 2019 ที่ผ่านมามีจำนวนยูนิตเปิดขายในตลาด 21,000 ยูนิต และมีดีมานต์ความต้องการอยู่ที่ 11,800 ยูนิต ซึ่งเห็นได้ว่า Supply มีจำนวนน้อยลง ขณะที่ดีมานด์ยังสูงขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลให้ Absorption Rate อยู่ที่ 56% สูงกว่า 3 ปีก่อนหน้า สะท้อนให้เห็นว่ายังมีดีมานต์ความต้องการในโปรดักส์ที่สามารถตอบโจทย์และตั้งอยู่ในทำเลที่ลูกค้าต้องการได้ ขณะเดียวกัน ความต้องการบ้านเดี่ยวในระดับราคา ราคา 10-20 ล้านบาท ยังเพิ่มขึ้นสูงสุดในปี 2019 ถึง 7% เมื่อเทียบกับปี 2018 และบ้านเดี่ยวระดับราคา 3-5 ล้านขายดีที่สุด
ดังนั้นในปี 2020 แสนสิริจึงรุกเปิดแบรนด์สิริ เพลส ที่อยู่ในระดับราคา 3-5 ล้านบาท รวมทั้งแบรนด์เศรษฐสิริ บุราสิริ และสราญสิริ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่อยู่อาศัยระดับราคา 10 - 20 ล้านบาท นอกจากนี้ปัจจัยภายนอกที่มีผลต่อตลาดอสังหาฯ ยังมาจากการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจาก 1.25% เป็น 1% ซึ่งเป็นอัตราที่ต่ำที่สุดตั้งแต่เคยมีมา นับเป็นการกระตุ้นการลงทุนที่ส่งผลบวกต่อตลาดอสังหาฯ ทั้งกับ Developer และผู้ซื้อ เพราะทำให้ Developer มีต้นทุนในการพัฒนาโครงการที่ถูกลง และยังเป็นการลดต้นทุนในการกู้ของผู้ซื้ออสังหา ทำให้มีกำลังในการซื้อมากขึ้น รวมถึงความผันผวนของตลาดหุ้น ซึ่งนับเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้คนมองหาการลงทุนในรูปแบบอื่นที่ให้ผลตอบแทนมากกว่าและปลอดภัยกว่าในระยะยาว ซึ่งการลงทุนในอสังหาฯ ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง
ชี้เป้า ทำเลศักยภาพ "กรุงเทพกรีฑา - รามอินทรา - วัชรพล"
"เราเชื่อมั่นว่า แบรนด์เศรษฐสิริและบุราสิริ ระดับราคา 8 - 20 ล้านบาท จะเป็นแบรนด์ที่สร้างยอดขายได้ดีในปี 2020 จากการที่กลุ่มลูกค้าระดับบนได้รับผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจน้อย รวมทั้งยังมีทั้ง Real Demand และ New Demand ที่กำลังมองหาบ้านที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่เพื่อการอยู่อาศัยเองและขยับขยายครอบครัวอีกเป็นจำนวนมาก โดยทำเลที่เป็นที่นิยมของกลุ่มลูกค้าระดบบน ได้แก่ โซนกรุงเทพกรีฑา- รามอินทรา- วัชรพล ซึ่งเป็นทำเลศักยภาพสำหรับลูกค้าระดับบนซึ่งคาดว่าจะได้รับผลตอบรับที่ดีจากการตั้งอยู่ใกล้ศูนย์กลางธุรกิจ (CBD) และมีปัจจัยบวกสนับสนุนทั้งในด้านคมนาคมและขนส่งสาธารณะ ใกล้ทางด่วนเชื่อมต่อการเดินทางทุกเส้นทาง แวดล้อมด้วยสถานศึกษา โรงพยาบาลและแหล่งไลฟ์สไตล์ ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของทุกวัย
ทั้งนี้สิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่าทำเลนี้ได้รับความนิยมในการอยู่อาศัย คือ ราคาที่ดินที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโซนรามอินทราและวัชรพลที่ราคาเพิ่มขึ้นจาก 88,000 บาท/ ตร.ว. ในปี 2015 เป็น 127,500 บาท/ ตร.ว. ในปี 2019 หรือเติบโตขึ้นถึง 70% ภายในระยะเวลา 5 ปี ส่วนโซนกรุงเทพกรีฑาก็มีดีมานด์สูงขึ้นต่อเนื่อง เพราะเป็นทำเลที่ใกล้ CBD ที่สุด พิสูจน์ได้จากการปิดการขายโครงการเศรษฐสิริ กรุงเทพกรีฑา 1 มูลค่าโครงการ 3,600 ล้านบาท ทำให้แสนสิริเชื่อมั่นว่ายังมีความต้องการอีกมาก จึงได้เปิดตัวโครงการเศรษฐสิริ กรุงเทพกรีฑา 2 ขึ้นเพื่อรองรับดีมานด์ใหม่ต่อเนื่อง
อย่างไรก็ดี ในสถานการณ์ปัจจุบัน อาจจะส่งผลกระทบต่อยอดขายของบางโครงการบ้าง แต่สำหรับแสนสิริยังมียอดขายและยอดเยี่ยมชมโครงการต่อเนื่อง รวมทั้งทำการขายได้ดี เห็นได้จากยอดขายที่เกินเป้าหมายในช่วงไตรมาสแรก ซึ่งเราเชื่อว่าในไตรมาส 2 จะมีการตอบรับดีเช่นกัน ด้วยคุณภาพสินค้า ทำเล และโปรโมชั่นที่พัฒนามาจาก insights ของลูกค้า" นายอาณัติ กล่าว
สำหรับโครงการบ้านเดี่ยวที่ตอบรับดีมานต์ความต้องการในทำเลนี้ ได้แก่ โครงการ "เศรษฐสิริ กรุงเทพกรีฑา 2" มูลค่าโครงการ 3,500 ล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเลศักยภาพที่แวดล้อมด้วยระบบคมนาคมที่สะดวกสบาย สามารถเดินทางเข้าสู่ศูนย์กลางธุรกิจ (CBD) ได้ง่ายดาย ใกล้กับทางด่วนศรีบูรพาเพียง 2 กม. รถไฟฟ้าสายสีส้มซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2566 เพียง 2.3 กม. และสายสีเหลืองซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จปี 2563 เพียง 4 กม. ทั้งยังเชื่อมต่อด้วยถนนสายสำคัญต่างๆ เข้าสู่เมือง อาทิ ถนนศรีนครินทร์ - ร่มเกล้า, ถนนกรุงเทพกรีฑา, ถนนพระรามเก้า - มอเตอร์เวย์, ถนนพัฒนาการ และถนนหัวหมาก ฯลฯ
นอกจากนี้ยังแวดล้อมด้วยสังคมคุณภาพที่ประกอบไปด้วยโรงเรียนนานาชาติชั้นนำ ไบรท์ตัน คอลเลจ กรุงเทพ ซึ่งอยู่ใกล้เพียง 900 ม. โรงพยาบาลชั้นนำ อาทิ โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์ และการเปิดตัวคอมมูนิตี้มอลล์ในอนาคต ที่จะมาเติมเต็มไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตและผนึกกำลังเพื่อพัฒนาทำเลสู่การเป็นเมืองเพื่อการอยู่อาศัยที่ดีที่สุด โครงการได้รับการตอบรับที่ดีจนส่งผลให้ปิดการขายโครงการในเฟสแรก มูลค่า 570 ล้านบาท และเปิดการขายในเฟสที่ 2 ต่อเนื่อง
โครงการ เศรษฐสิริ พหล-วัชรพล มูลค่าโครงการ 3,700 ล้านบาท เพียง 5.5 กิโลเมตร ถึงรถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้ม ส่วนต่อขยาย (หมอชิต-คูคต) สถานีสายหยุด ที่สามารถวิ่งตรงเข้าใจกลางเมืองได้ ทั้งสยาม ชิดลม ทองหล่อ โดยไม่ต้องสลับสายรถไฟฟ้า ซึ่งมีกำหนดเปิดให้บริการในปี 2563 นี้ โครงการตั้งอยู่บนถนนเทพรักษ์ ซึ่งเป็นถนนตัดใหม่ที่เชื่อมสู่ถนนพหลโยธิน ทำให้การเดินทางเข้า-ออกเมืองสะดวก นอกจากนี้ยังเชื่อมต่อถนนหลักอีก 2 เส้น คือ ถนนวัชรพลและถนนรามอินทรา ซึ่งมีความคึกคักในการเป็นย่านที่อยู่อาศัยและแหล่งรวมคอมมูนิตี้ต่างๆ นอกจากนี้ยังตั้งอยู่ใกล้จุดขึ้น-ลงทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ ทำให้การเดินทางสะดวกอีกด้วย
โครงการ บุราสิริ วัชรพล มูลค่าโครงการ 3,400 ล้านบาท โครงการตั้งอยู่บนทำเลวัชรพลซึ่งเป็นทำเลที่อยู่อาศัยที่ได้รับความนิยมมากว่า 10 ปี โดยแสนสิรินับเป็นผู้บุกเบิกพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวในทำเลนี้ด้วยการเปิดตัวโครงการ "นาราสิริ วัชรพล" ที่เป็นบ้านเดี่ยวโครงการแรกของแสนสิริ นับเป็นทำเลที่มีการเติบโตมากที่สุดอีกหนึ่งทำเล และมีความคึกคักด้านการแข่งขันสูงจากการเป็นทำเลทองของกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออกตอนเหนือ จากความสะดวกในการเดินทาง ที่สามารถเดินทางเข้า-ออกเมืองได้ง่าย นอกจากนี้ โครงการบุราสิริ วัชรพล ยังตั้งอยู่ใกล้กับถนน สุขาภิบาล 5 ที่รายล้อมไปด้วยทางพิเศษ อาทิ ทางด่วนรามอินทรา- อาจณรงค์ และยังอยู่ใกล้เคียงกับวงแหวนรอบนอกกาญจนาภิเษก ที่สามารถเดินทางไปยังพื้นที่รอบนอกกรุงเทพฯ ได้ โครงการยังตั้งอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย (หมอชิต-คูคต) สถานีสายหยุดและสถานีรามอินทรา 31 ที่กำหนดเปิดให้บริการในปี 2563 นี้
โครงการ บุราสิริ ปัญญาอินทรา มูลค่าโครงการ 3,500 ล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเลย่านปัญญาอินทรา ซึ่งแสนสิรินับเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายแรกๆ ที่เริ่มต้นพัฒนาโครงการในย่านดังกล่าวจนประสบความสำเร็จ ตั้งแต่โครงการ เศรษฐสิริ รามอินทรา, โครงการสราญสิริ รามอินทรา, โครงการฮาบิเทีย ปัญญาอินทรา และโครงการพร้อมพัฒน์ ไพร์ม เป็นต้น เนื่องจากโซนที่อยู่อาศัยในย่านดังกล่าวเป็นทำเลที่มีศักยภาพใกล้กับจุดเชื่อมต่อสู่ถนนสายหลัก ทั้ง รามอินทรา , พระราม 9 , วงแหวนตะวันออก , เกษตร-นวมินทร์ ,เสรีไทย, วิภาวดี-รังสิต และทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ มีศูนย์การค้ารายล้อมทั้งแฟชั่นไอส์แลนด์, เซ็นทรัล รามอินทรา, เดอะ พรอเมนาด จากการตอบรับที่ดีจึงส่งผลให้มียอดขายโครงการนี้ไปแล้วถึง 70%
จากความเข้าใจถึงสถานการณ์ปัจจุบัน และความเข้าใจใน Customer Insight บริษัทยังได้เปิดตัวแคมเปญในช่วงไตรมาส 2 "แสนสิริผ่อนให้ สูงสุดถึง 24 เดือน" เพื่อช่วยให้ลูกค้ามีบ้านง่าย ไม่มีภาระค่าใช้จ่ายในการผ่อนที่อยู่อาศัย สบายใจได้นานตลอดระเวลา 2 ปี และสามารถนำเงินไปใช้จ่ายอื่นได้ เพราะแสนสิริผ่อนให้ ทั้งต้น ทั้งดอก นานสูงสุด 24 เดือน ครอบคลุมถึง 62 โครงการพร้อมอยู่ ทั่วประเทศ พร้อมรับข้อเสนอดีๆ อีกมากมาย อาทิ ฟรีค่าส่วนกลางนานสูงสุด 1 ปี พร้อมรับ Give Voucher สูงสุด 100,000 บาท
สำหรับโครงการบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม และฟรีค่าส่วนกลางนาน 2 ปี สำหรับคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่จากแสนสิริ *เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด ตั้งแต่ 3 เมษายน จนถึงวันที่ 30 มิถุนายนนี้ ยังรวมไปถึงรุกการขายในทุกช่องทางตอบโจทย์คนอยากมีบ้านในยุคโควิด ด้วย Multi-Channel ซื้อขายครบในทุกช่องทาง และซื้อและเยี่ยมชมโครงการ ง่ายแค่ปลายนิ้ว ได้แก่
ช่องทางที่ 1 Sansiri Virtual Sales Gallery เยี่ยมชมโครงการเสมือนจริงบน www.sansiri.com, แสนสิริ ไลน์ ออฟฟิเชียล
ช่องทางที่ 2 Line Official Account สนในโครงการไหน แชทคุยได้ตลอดที่ @Sansiriplc
ช่องทางที่ 3 Facebook Sansiri PLC เกาะติดทุกข่าวสารทักผ่าน inbox ได้เลย
ช่องทางที่ 4 Visit Site เยี่ยมชมโครงการแบบ private tour ที่ทั้งปลอดภัยและเป็นส่วนตัว
ช่องทางที่ 5 24 Hrs. Online Booking จองคอนโดออนไลน์ได้ง่ายๆ ตลอด 24 ชั่วโมง และ
ช่องทางที่ 6 Call Centre อยากรู้เรื่องไหน แสนสิริพร้อมดูแล ที่โทร 1685
แสนสิริ ยังได้เตรียมพร้อมรับมือ Covid-19 อยู่เสมอ โดยได้ผนึก พลัส พร็อพเพอร์ตี้ วางมาตรการเน้นย้ำความปลอดภัยและสุขอนามัยของลูกบ้าน ลูกค้า พนักงานและพันธมิตร ซึ่งนับเป็นหัวใจสำคัญ โดยชูแนวทาง "Sansiri Care เพราะเราห่วงใย" เตรียมความพร้อมในการป้องกันและเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยยกระดับ 3 มาตรการแบบเต็มขั้น ได้แก่ มาตรการการป้องกัน การดูแล และการรับมือ ครอบคลุมทั้งในด้านความสะอาด, การอำนวยความสะดวกและเตรียมพร้อมรับมือ พร้อมจัดตั้งทีมงานศึกษา และติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดอย่างใกล้ชิดเพื่อความปลอดภัยทั้งในโครงการและในทุกสำนักงานขาย เพราะความปลอดภัยของลูกบ้าน และลูกค้าที่มาเยี่ยมชมโครงการเป็นสิ่งที่เราให้ความสำคัญสูงสุด
"ด้วยปัจจัยสนับสนุนจากความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจในช่วงที่ผ่านมา และกลยุทธ์ที่มุ่งตอบสนองความต้องการของลูกค้าในกลุ่มเรียลดีมานต์ รวมถึงการเป็น "แบรนด์อันดับหนึ่งของคนอยากมีบ้าน" ทั้งในด้านคุณภาพ ดีไซน์ รวมถึงการบริการหรือ Sansiri Service จากการมอบบริการที่ดีที่สุดทั้งก่อนและหลังการขาย รวมถึง LIV-24 ที่ดูแลความปลอดภัยส่งตรงจากศูนย์ควบคุมแบบเรียลไทม์ 24 ชั่วโมง มาตรฐานแสนสิริที่พร้อมดูแลทุกจุดในโครงการ พร้อมพริวิเล็จมากมายจากแสนสิริ แฟมิลี่ ทำให้เชื่อมั่นว่า บริษัทจะสามารถสร้างยอดขายในช่วงไตรมาส 2 ได้ถึง 8,500 ล้านบาทตามที่วางไว้ โดยแบ่งเป็นยอดขายโครงการแนวราบ 4,500 ล้านบาท และยอดขายโครงการคอนโดมิเนียม 4,000 ล้านบาท"