การได้มีบ้านเป็นของตัวเอง เป็นอีกหนึ่งเป้าหมายของชีวิตของหลายๆ คนเลยก็ว่าได้ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็คงกู้เงินซื้อบ้านกัน ทำให้ต้องผ่อนบ้านเป็นระยะยาวหลายสิบปี ซึ่งต่อให้ในวันที่ยื่นกู้ซื้อบ้านไปนั้นเรามีอาชีพการงานที่มั่นคง มีเงินเดือนที่พร้อม แต่ก็ไม่สามารถทราบถึงอนาคตได้อยู่ดีว่าจะเกิดเหตุไม่คาดคิดทางด้านการเงินขึ้นเมื่อไหร่ อีกทั้งในเรื่องของเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน วันนี้เราจะมาแนะนำวิธีการถ้าหากเราเริ่มเข้าสู่สภาวะผ่อนบ้านไม่ไหว ว่าจะมีทางออกอะไรให้เราได้บ้าง ?
ผ่อนบ้านไม่ไหว มีทางออกอะไรบ้าง ?
เมื่อเราเริ่มรู้ตัวแล้วว่าอาจจะผ่อนบ้านต่อไปไม่ไหวแน่ๆ เช่น ตกงาน ขาดรายได้ประจำ เงินเดือนน้อยลง หรือประสบปัญหาจากเศรษฐกิจที่ถดถอย ให้เรารีบไปที่สถาบันการเงินที่เรากู้เงิน เพื่อเจรจาให้ใช้มาตรการช่วยเหลือแก่เรา โดยจะมีวิธีไหนบ้างนั้น มาดูกันค่ะ
1. ขยายเวลาชำระหนี้
วิธีนี้คือการเพิ่มระยะเวลาชำระหนี้ให้ยาวนานออกไป เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการผ่อนค่างวดต่อเดือนลดลง เป็นการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายต่อเดือนนั่นเอง เหมาะกับผู้ที่มีรายได้ประจำแต่รายได้ลดลง ซึ่งมีเงื่อนไขว่าอายุของผู้กู้กับระยะเวลาที่ขอขยายเวลาชำระหนี้นั้นต้องไม่เกิน 70 ปี
2. พักชำระเงินต้น จ่ายแต่ดอกเบี้ย
วิธีนี้เป็นวิธีที่หลายๆ ธนาคารมีออกมาเป็นมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ในช่วงโควิด-19 ซึ่งเป็นอีกวิธีที่ใช้ประนอมหนี้กับธนาคารด้วยเช่นกัน การพักชำระเงินต้น คือการขอผ่อนชำระเฉพาะดอกเบี้ยรายเดือน โดยไม่ต้องจ่ายเงินต้น แต่ข้อเสียคือ เมื่อครบกำหนดระยะเวลาการพักชำระเงินต้น จำนวนเงินต้นก็ยังมีเท่าเดิม ที่เราต้องจ่ายต่อไป
3. ลดยอดผ่อนชำระรายเดือนให้ต่ำกว่าปกติ
บางธนาคารมีมาตรการช่วยเหลือในเรื่องการให้ชำระค่างวดให้ต่ำกว่าปกติ โดยปรับลดให้ถึง 30% - 50% ส่วนใหญ่แล้วจะสามารถทำได้ไม่เกิน 2 ปี
4. โอนหลักทรัพย์เป็นของธนาคารชั่วคราว
เราสามารถโอนบ้านให้เป็นของสถาบันการเงินไปก่อนชั่วคราว แล้วค่อยขอซื้อคืนในภายหลัง วิธีนี้เราต้องโอนบ้านไปเป็นของสถาบันการเงิน แล้วเราจะเปลี่ยนสถานะกลายเป็นผู้เช่า ซึ่งทางสถาบันการเงินจะคิดค่าเช่าเราประมาณเดือนละ 0.4 - 0.6% ของมูลค่าหลักประกัน ต่อสัญญา 1 ปี และเมื่อเราต้องการซื้อคืน ส่วนใหญ่แล้วราคาขายจะคิดจากยอดหนี้ที่เหลือ ซึ่งเราก็สามารถขอสินเชื่อกับสถาบันการเงินเดิมได้เช่นกัน
5. พักชำระหนี้
การพักชำระหนี้จะสามารถพักการจ่ายได้ทั้งเงินต้น และดอกเบี้ย ใช้ในกรณีที่เราประสบปัญหาด้านการเงินจนทำให้ไม่สามารถจ่ายหนี้ได้จริงๆ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วสถาบันการเงินจะให้ระยะเวลาในการพักหนี้ประมาณ 3-6 เดือน หลังจากนั้นเราก็กลับมาชำระหนี้ใหม่ โดยส่วนที่พักชำระไปนั้นก็ไม่ได้หายไปไหนค่ะ หนี้ทั้งหมดก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม
6. Refinance
การรีไฟแนนซ์ เป็นวิธีที่หลายคนใช้เป็นวิธีปกติของการผ่อนชำระหนี้ เพื่อปรับลดดอกเบี้ยเป็นประจำทุกๆ 3 ปีอยู่แล้ว ซึ่งก็เป็นอีกวิธีที่ใช้ในการประนอมหนี้ได้ด้วยเช่นกัน เงื่อนไขก็คือต้องมีการผ่อนชำระกับสถาบันการเงินมาก่อนขั้นต่ำ 3 ปี ซึ่งหลังจากนั้นดอกเบี้ยก็จะเริ่มสูงขึ้น เราสามารถสิ้นสุดสัญญากับสถาบันการเงินเก่า เพื่อไปยื่นเรื่องของรีไฟแนนซ์กับสถาบันการเงินใหม่ โดยเลือกสถาบันที่ให้ดอกเบี้ยต่ำ แต่ก็จะมีในเรื่องของค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เช่น ค่าจัดการสินเชื่อ ค่าธรรมเนียม และค่าอื่นๆ แต่โดยรวมแล้วการที่ได้ดอกเบี้ยที่ต่ำเหมือนกับช่วง 3 ปีแรกของการกู้ จะทำให้สามารถจ่ายเงินต้นได้มากขึ้นเหมือนเดิม ก็จะสามารถปิดหนี้ได้เร็วขึ้นอีกด้วยค่ะ
7. Retention
การรีเทนชั่น ก็เป็นอีกวิธีที่หลักการจะคล้ายๆ กับการรีไฟแนนซ์ แต่จะเป็นการขอปรับลดดอกเบี้ยกับธนาคารเดิม ที่มีการผ่อนชำระมาแล้ว 3 ปี วิธีนี้จะมีข้อดีก็ตรงที่สถาบันการเงินเดิมของเรามีข้อมูลและเอกสารของเราอยู่แล้ว ทำให้ง่ายต่อการพิจารณาอนุมัติ ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายที่น้อยกว่าการรีไฟแนนซ์ แต่ทั้งนี้ก็อาจจะได้ดอกเบี้ยที่ต่ำไม่เท่ากับการรีไฟแนนซ์ ซึ่งเราก็ต้องไปพิจารณากันให้ดีอีกที
สำหรับวิธีทั้งหมดที่กล่าวมานี้ เป็นวิธีคร่าวๆ ที่เราสามารถเจรจากับทางสถาบันการเงินที่เรากู้เงินซื้อบ้านอยู่ในขณะที่เรากำลังประสบปัญหาด้านการเงินค่ะ ทั้งนี้ แต่ละสถาบันก็จะให้วิธีการแก้ปัญหาที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับเครดิตทางการเงินที่เรามี ประวัติการชำระเงินของเรา เป็นต้น อย่างไรก็ตาม เมื่อเราเริ่มกู้เงินซื้อบ้าน เป็นหนี้ในระยะยาวแล้ว เราก็ควรต้องมีการวางแผนทางการเงินให้ดี และควรจะต้องมีเงินเก็บเผื่อไว้ในยามฉุกเฉินด้วยค่ะ