บิทคอยน์ คือ สินทรัพย์ดิจิทัล หรือที่คนเรียกคริปโตเคอเรนซี่นั่นเอง บิทคอยน์เป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุดในระยะยาวเป็นระยะเวลา 10 ปี (ตั้งแต่ปี 2011-2021) เมื่อเปรียบเทียบกับสินทรัพย์ประเภทอื่น
บิทคอยน์ให้ผลตอบแทนชนะหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ เช่น NASDAQ 100 ชนะหุ้นเล็กที่ใครๆ เขาบอกว่าโตไว ชนะหุ้นตลาดเกิดใหม่เช่น Emerging Market ทำให้ที่ผ่านมาบิทคอยน์ได้รับความนิยมของนักลงทุนรายย่อยเป็นอย่างมาก
ที่มา: Twitter @Charliebilello
อย่างไรก็ตามทุกๆ สินทรัพย์รวมถึงบิทคอยน์ ไม่ว่าจะขึ้นมามากแค่ไหนย่อมมีวันปรับฐาน ณ วันที่ 21 กพ. 2565 เวลา 10:30 น. บิทคอยน์ที่เคยมีราคาสูงถึง 2,285,500 บาทต่อ 1 บิทคอยน์ ลงมาเหลือเพียง 1,277,480 บาทต่อ 1 บิทคอยน์ หรือราคาลดลงมาแล้วกว่า 44%
ใครที่เคยซื้อบิทคอยน์ด้วยวงเงิน 1,000,000 บาท วันนี้จะเหลือเงินเพียง 560,000 บาทเท่านั้น ขาดทุน 440,000 บาทหรือเกือบๆ จะเทียบเท่ารถเล็กหนึ่งคัน ถ้าซื้อด้วยเงิน 100,000 บาท จะเหลือเงิน 56,000 บาทขาดทุน 44,000 บาท iPhone หายไปหนึ่งเครื่อง
อย่างไรก็ตามในตลาดยังมีหลายคนที่เชื่อว่าการปรับฐานครั้งนี้ของบิทคอยน์เป็นการปรับฐานชั่วคราวเท่านั้น เพราะถ้ามองย้อนหลังกลับไปจะพบว่าบิทคอยน์เคยปรับฐานแบบนี้มาแล้ว 2 ครั้ง คือ ในปี 2014 ปรับฐาน 58% และ 2018 ฐานอย่างรุนแรงลงไปถึง 73% หลังจากนั้นบิทคอยน์กลับมาเป็นขาขึ้นครั้งใหม่ยาวนานเป็นเวลา 3 ปีจนมาปรับฐานในปี 2022
ณ.ตอนนี้มีความเชื่อ 2 แบบในตลาดด้วยกัน
- ถ้าเชื่อว่าบิทคอยน์จะไร้ค่าจนกลายเป็น 0 ถ้าเป็นแบบนี้ใครไม่มีก็ไม่ควรซื้อ ใครมีควรขายให้หมด เพราะถ้ามูลค่ากลับกลายเป็น 0 เงินลงทุนจะไม่เหลืออะไรเลย
- ถ้าเชื่อว่าบิทคอยน์ยังเป็นขาขึ้นรอบใหญ่ การลงมาของบิทคอยน์ครั้งนี้เป็นเพียงการปรับฐานชั่วคราว ครั้งนี้คือโอกาสในการเข้าซื้อในราคาที่ถูกลง
แต่ถ้าอยากซื้อในราคาที่ถูกลงจะซื้อยังไงดีให้โอกาสในการขาดทุนน้อยที่สุด? บนพื้นฐานของทฤษฎีว่าไม่มีใครทราบแน่นอนว่าบิทคอยน์จะลงไปถึงเมื่อไหร่ และตอนไหนจึงจะเป็นขาขึ้น
ก่อนอื่นต้องบอกว่าไม่มีแผนการลงทุนใดที่เหมาะสมกับทุกคน เพราะทุกคนมีเหตุ และข้อจำกัดส่วนตัวที่ต่างกัน บางคนมีเงินน้อยก็ต้องใช้เวลามากหน่อย เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดี บางคนมีเงินมาก มีต้นทุนชีวิตที่ดีอาจไม่ต้องใช้เวลามาก บางคนมีรายได้ประจำ มีเงินเย็น สามารถลงทุนยาวๆ ได้ รับความผันผวนระยะสั้นได้ ดังนั้นแผนการลงทุนที่เหมาะสมกับคนแต่ละประเภทจึงไม่เหมือนกัน
ทางทีมงานขอแบ่งแผนการลงทุนออกเป็น 3 แบบหลักๆ ดังนี้
- คนที่ไม่ได้มีเวลาในการติดตามมาก แต่อยากลงทุนในบิทคอยน์ แนะนำแบ่งเงินออกมาจากพอร์ตการลงทุนหลักหรืองบในการลงทุนซัก 5-20% แล้วแต่ความเสี่ยงที่แต่ละคนรับได้ หลังจากนั้นให้ทยอยเอาเงินก้อนนั้นเข้าลงทุนแบบถัวเฉลี่ยทุกเดือนในมูลค่าเท่าๆ กัน ถ้าทำแบบนี้จะเป็นการการันตีราคาบิทคอยน์ที่เราซื้อได้จะไม่แพงเกินไป (เพราะเป็นการซื้อถัวเฉลี่ยทุกเดือน) และถ้าระยะยาวบิทคอยน์ยังเป็นขาขึ้นยังไงก็ได้กำไร
ข้อดีของการลงทุนแบบนี้คือสบายใจและไม่ต้องใช้ความรู้ความเข้าใจมากใครๆ ก็ทำได้
แต่ข้อเสียของการซื้อแบบนี้คือ แม้เราจะไม่ได้มีต้นทุนการซื้อที่สูงที่สุด แต่ก็จะได้ต้นทุนการซื้อที่ต่ำที่สุดด้วยเช่นกัน เป็นต้นทุนแบบกลางๆ แต่สามารถทำกำไรได้ถ้าบิทคอยน์กลับมาเป็นขาขึ้น
- สำหรับคนที่มีเวลาติดตามมากขึ้นมา อาจแบ่งเงิน 5-20% แบบเดียวกับข้อ 1 แต่ความแตกต่างคือ วิธีนี้จะต้องมีการติดตามและใช้กราฟราคาในการหาจุดที่มีแนวโน้มต่ำสุดของราคาบิทคอยน์ รวมไปถึงแนวโน้มการปรับตัวเป็นขาขึ้นครั้งใหม่ ถ้าใครไม่รู้ว่ากราฟดูยังไง สามารถศึกษาได้ที่บทความ มือใหม่คริปโตต้องรู้ พื้นฐานกราฟเทคนิค กราฟแบบไหนขาขึ้น แบบไหนขาลง?
การเข้าซื้ออาจเป็นการแบ่งไม้ซื้อตามจำนวนเงินที่วางไว้เช่น เงิน 100 บาทอาจแบ่งซื้อเท่าๆ กันเป็น 30-30-40 หรือแบ่งซื้อมากขึ้นเมื่อราคาถูกลง 10-20-30 ก็ได้
ถ้าใช้วิธีนี้จะมีโอกาสได้ต้นทุนที่ถูกกว่าข้อ 1 แต่มีข้อเสียคือโอกาสติดดอยมากขึ้นถ้าเราประเมินทิศทางของบิทคอยน์ผิดพลาด
- ซื้อไปเลยตอนนี้เพราะยังไงๆ ก็ลดลงมาแล้ว 44% ซื้อในปริมาณ และมูลค่าที่อยากได้ไปเลยเพราะยังไงในระยะยาวบิทคอยน์ก็กลับมาเป็นขาขึ้นอยู่แล้ว?
วิธีนี้เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดสำหรับคนที่มีเงินเย็น รอได้ 3-5 ปี แต่ข้อเสียคืออาจได้ต้นทุนการซื้อที่สูง ทำให้แม้บิทคอยน์กลับมาเป็นขาขึ้นแต่กำไรอาจน้อยกว่า 2 วิธีที่กล่าวมาข้างต้น
และถ้าการคาดการณ์ผิดบิทคอยน์ไม่ได้มีมูลค่าเท่าที่คิด เงินลงทุนก้อนนั้นที่ลงทุนในบิทคอยน์ทั้งหมดอาจหมดไปเลยก็ได้
สุดท้ายอย่าลืมว่าตนเป็นที่พึ่งแห่งตน การตัดสินใจลงทุนทุกครั้งไม่ว่าจะฟังใครมา หรือได้ข้อมูลมาจากไหน ดีหรือไม่ดียังไง คนที่ตัดสินใจเชื่อหรือไม่เชื่อข้อมูลเหล่านั้น ยังคงเป็นตัวเราเอง ทีมงานไม่คาดหวังให้ทุกคนทำตามสิ่งที่เขียน
ในวันที่ตลาดคริปโตไม่เป็นใจ ทีมงานอยากให้ข้อมูลนี้เป็นข้อมูลที่ช่วยในการตัดสินใจ และเป็นวิธีทำที่สามารถปฎิบัติได้ทันที เพื่อปรับตัวรับสถานการณ์ในปัจจุบัน