สรุปสั้นๆ Bitcoin เหมือนเป็นสกุลเงินสกุลเงินของโลกที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนซื้อขาย ในขณะ Ethereum เปรียบเสมือนระบบคอมพิวเตอร์ของโลก เป็นระบบ Blockchain ที่สามารถเขียนโปรแกรมขึ้นบนระบบเพื่อใช้งานต่างๆ ที่หลากหลายได้ หรือที่คนส่วนใหญ่รู้จักกันในชื่อ Smart Contract นี่เอง
Ethereum ได้รับความนิยมอย่างมาก ทำให้มีผู้ใช้งานสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เกิดการประมวลผลที่ช้าลงของระบบ และค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมที่สูงขึ้นมากจึงทำให้มีคนเห็นโอกาสตรงนี้ ทำ Blockchain คล้ายๆ กับของ Ethereum ขึ้นมาแข่ง เพื่อหวังว่าระหว่างที่ Ethereum เจอกับปัญหา และยังแก้ได้ไม่หมด ระบบ Blockchian คู่แข่งเหล่านี้จะพยายามดึงทั้งนักพัฒนาโปรแกรม และผู้ใช้งานของระบบเข้าสู่ระบบ Blockchain ของพวกเขา
วันนี้เราจะมาเจาะลึกกันว่าเหรียญเหล่านั้นมีอะไรบ้าง และมีความน่าสนใจอย่างไร จะสามารถสู้กับ Ethereum ได้หรือไม่?
SOL - Solana
คู่แข่งที่มาแรงที่สุดของ Ethereum ระบบ Smart Contract ที่ใช้ Proof-of-Stake และ Proof-of-History ในการทำงาน และด้วยการทำงานแบบนี้ทำให้ Solana สามารถประมวลผลได้สูงถึง 65,000 ธุรกรรมต่อวินาที เร็วกว่า Ethereum 2,000 เท่า และ Visa 40 เท่า นอกจากนั้นยังมีค่าธรรมเนียมต่ำกว่า Ethereum อีกด้วย
แม้จุดเด่นของ Solana คือ ความเร็ว และค่าธรรมเนียมที่ต่ำ แต่ข้อเสียของ Solana คือ การที่มี Validator Node น้อย ทำให้แพลตฟอร์มของ Solana อาจไม่ปลอดภัยเท่ากับ Ethereum ณ วันที่ 24 มกราคม 2022 Solana มี Validator Node เพียง 1428 Nodes เมื่อเทียบกับ Ethereum ที่ 200,000 Nodes Ethereum จึงยังเป็นเครือข่าย Blockchain ที่ปลอดภัยกว่า
และข้อเสียเพิ่มเติมของ Solana ที่มี Validator Node น้อยทำให้เวลามีคนมาทำธุรกรรมเยอะ ส่งผลให้ระบบล่ม หลังๆ ล่มค่อนข้างบ่อย อาจกระทบถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุน และผู้ใช้งานได้
BNB - Binance
BNB หรือ Binance Coin คือ เหรียญคริปโตที่ออกโดย Binance บริษัทแลกเปลี่ยนคริปโตที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยระบบของ Binance สามารถประมวลผลได้มากถึง 1.4 ล้านธุรกิจต่อวินาที โดยตัวเหรียญมีจำนวนเหรียญทั้งหมด 200 ล้านเหรียญเท่านั้น
จุดเด่นของ BNB คือ การเผาเหรียญของ Binance รายได้บางส่วนจากธุรกิจศูนย์แลกเปลี่ยนของ Binance ถูกนำไปซื้อเหรียญ BNB ในตลาด และนำมาเผาทิ้งอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้จำนวนเหรียญมีน้อยลงเรื่อยๆ และดันให้มูลค่าของเหรียญสูงขึ้น
นอกจากนั้นผู้ที่ถือเหรียญ BNB จะได้รับส่วนลดจากการใช้บริการศูนย์แลกเปลี่ยนของ Binance และสามารถใช้เหรียญ BNB ในการจ่ายค่าธรรมเนียมการเทรดได้ BNB ยังสามารถใช้ซื้อสินค้าต่างๆ กับร้านค้าที่เป็นพันธมิตรกับ Binance ได้ด้วย
เร็วๆ นี้ในประเทศไทยเอง Binance พึ่งมีข่าวกับหุ้น GULF ว่าจะร่วมเป็นพันธมิตรกันเปิดศูนย์แลกเปลี่ยนคริปโตในประเทศไทย
DOT - Polkadot
DOT ได้ชื่อว่าเป็นอนาคตของ Ethereum เพราะสิ่งที่ Polkadot ทำอยู่แล้วคือสิ่งที่ Ethereum กำลังทำอยู่ เช่นการใช้ Shards (แบ่งธุรกรรมออกเป็นกลุ่มๆ เพื่อประมวลผลทีละกลุ่ม) ระบบของ DOT ใช้ Proof-of-Stake และมีการทำงานที่ใกล้เคียงกับ Ethereum ผู้ก่อตั้ง Polkadot คือ Dr.Gavin Wood หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง Ethereum
จุดเด่นของ DOT คือ ระบบ Bridges ที่ทำการเชื่อมต่อ Blockchain ของ Polkadot กับ Blockchain อื่นๆ ทำให้สามารถแลกเปลี่ยนเหรียญข้ามระบบกันได้ เช่น Ethereum และ Bitcoin
ADA - Cardano
ระบบ Blockchain อีกตัวหนึ่งที่มีผู้ก่อตั้งชื่อ Charles Hoskinson ซึ่งเป็นผู้ร่วมก่อตั้งของ Ethereum เช่นกัน ADA เป็น Smart Contract คล้ายกับ Ethereum และใช้ระบบ Proof-of-Stake เหมือนกับ Ethereum 2.0 แต่แตกต่างกันตรงนี้ ระบบของ ADA มีพื้นฐานมาจากการทำ Peer-Reviewed Research จากมหาวิทยาลัยต่างๆ เพื่อหาข้อเสีย และจุดที่ต้องแก้ไขให้เรียบร้อยก่อนนำขึ้น Launch จริงเพื่อให้ระบบมีประสิทธิภาพสูงสุด
ข้อเสียของ ADA คือ เป็นแพลตฟอร์มเดียวในบทความนี้ที่พึ่งเปิดระบบ Mainnet เมื่อเดือนกันยายน 2021 ที่ผ่านมา ดังนั้นจึงทำให้มีผู้ใช้ไม่มาก รวมไปถึงนักพัฒนาบนแพลตฟอร์มก็มีน้อยกว่าที่อื่นเยอะ
AVAX - Avalanche
AVAX ถือเป็นระบบ Smart Contract ที่เร็วที่สุดในอุตสาหกรรม (นับจาก Time-to-Finality ระยะเวลาจากการเริ่มต้นทำธุรกรรมจนถึงจบธุรกรรม) ใช้เวลาต่ำกว่า 2 วินาที ปัจจุบัน AVAX สามารถทำความเร็วในการประมวลผลได้ที่ 4,500 ธุรกรรมต่อวินาที
และเนื่องจาก AVAX ใช้ภาษาเขียนโปรแกรมตัวเดียวกับ Ethereum คือ Solidity ดังนั้นนักพัฒนาที่พัฒนาอยู่บน Ethereum สามารถย้ายมา AVAX ได้เลยโดยไม่ต้องเปลี่ยน Code และไม่ต้องเรียนรู้ใหม่ จุดนี้ทำให้ AVAX ได้เปรียบค่อนข้างมาก
ข้อเสียของ AVAX คล้ายๆกับคู่แข่ง Ethereum ตัวอื่นๆ คือเป็นระบบที่มีการกระจายตัวในมุมของผู้ถือ Token น้อยซึ่งทำให้ระบบการ Staking* อาจไม่ Decentralized เท่าที่ควร และถ้านำไปเทียบกับ Ethereum ยิ่งไม่สามารถเทียบได้เลย
*Staking คือ กระบวนการในการตรวจสอบความถูกต้องของธุรกรรม (คล้ายกับการขุด) บนบล็อคเชนแบบ Proof-of-stake (PoS) ซึ่งเป็นการตรวจสอบโดยที่เราวางเงินค้ำประกัน และเข้ามามีร่วมเป็นผู้ตรวจสอบเครือข่าย
สรุปในภาพรวมจะเห็นว่าคู่แข่ง Ethereum มักจะชูจุดเด่นที่ความเร็ว และค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมที่ต่ำ ในขณะที่ถ้ามองในมุมของ Decentralization หรือการกระจายอำนาจของผู้ประมวลผลธุรกรรม หรือผู้ทำการ Staking จะเห็นว่า Ethereum ชนะขาดลอยมากๆ
ดังนั้นอนาคตของเหรียญเหล่านี้จึงอยู่ที่ว่า Ethereum จะสามารถแก้ปัญหาเรื่องความเร็ว และค่าธรรมเนียมได้ก่อน หรือเหรียญคู่แข่งเหล่านี้จะสามารถสร้างระบบกระจายอำนาจที่มีผู้ประมวลผลธุรกรรมมากๆ หลักหนึ่งแสนถึงหนึ่งล้านจุดขึ้นไปก่อน เพราะจะทำให้ความปลอดภัยของระบบสูงขึ้นแบบเดียวกับ Ethereum
ในอีกมุมหนึ่งหรือสุดท้ายทั้ง Ethereum และคู่แข่งอาจจะอยู่รอด และเติบโตด้วยกันได้ทั้งคู่ โดยผู้ใช้รายใหญ่ที่ต้องการความปลอดภัยสูงอาจใช้ Ethereum ในขณะที่ผู้ใช้รายย่อยที่ต้องการความเร็ว และค่าธรรมเนียมต่ำอาจหันไปใช้คู่แข่งของ Ethereum แทน