อัตราส่วนการเงิน (Financial Ratio) เปรียบเหมือนการตรวจสุขภาพทางการเงินของบริษัท ถ้าเราอยากรู้ว่าบริษัทนี้ดีมั้ย งบการเงินแข็งแรงรึเปล่า สนใจอยากลงทุนในช่วงนี้ แต่ราคาหุ้นแพงเกินไปมั้ยนะ สิ่งที่เป็นตัวชี้วัดสำหรับนักลงทุนสายพื้นฐาน คือ อัตราส่วนการเงินนี่แหละ
บทความนี้จะพาทุกคนไปรู้จัก กับ 10 อัตราส่วนการเงิน ใน 4 มิติ ที่คนเล่นหุ้นสายพื้นฐานควรรู้จัก จะมีอะไรบ้าง ไปติดตามกันเลย
- มิติที่ 1 วัดความมั่นคงทางการเงิน
- มิติที่ 2 วัดความสามารถในการทำกำไร
- มิติที่ 3 วัดความถูก ความแพง
- มิติที่ 4 วัดความสามารถในการจ่ายปันผล
มิติที่ 1 วัดความมั่นคงทางการเงิน
อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียน (Current Ratio) เป็นอัตราส่วนที่บอกว่าบริษัทมีสินทรัพย์หมุนเวียนเพียงพอที่จะจ่ายหนี้สินระยะสั้นหรือไม่ หรือเรียกว่าดูสภาพคล่องในระยะสั้น ควรมีค่ามากกว่า 1 เท่า เพราะหมายความว่าบริษัทสามารถรักษาสภาพคล่องในระยะสั้นได้ดีนั่นเอง
อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียน (Current Ratio) Current Ratio (เท่า) = สินทรัพย์หมุนเวียน / หนี้สินหมุนเวียน |
อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (Debt to Equity Ratio : D/E) เป็นอัตราส่วนที่ดูหนี้สินในภาพรวม ว่ามีหนี้สิน หรือ มีเงินทุนของกิจการมากกว่ากัน ถ้า D/E มีสูงๆ หรือมากกว่า 1 เท่า นั่นหมายความว่าบริษัทมีหนี้สินเกินตัว อาจมีโอกาสที่บริษัทจะไม่สามารถชำระหนี้หรือดอกเบี้ยตามกำหนดได้ ดังนั้น D/E ยิ่งต่ำ ยิ่งดี
อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (Debt to Equity Ratio : D/E) D/E Ratio (เท่า) = หนี้สินรวม / ส่วนของผู้ถือหุ้น |
มิติที่ 2 วัดความสามารถในการทำกำไร
อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ (Return on Asset : ROA) เป็นส่วนที่วัดผลตอบแทนเทียบกับสินทรัพย์ที่บริษัทมีทั้งหมด แสดงให้เห็นถึงความสามารถของบริษัท ว่าสามารถนำสินทรัพย์ที่มี มาสร้างผลตอบแทนได้มีประสิทธิภาพมากแค่ไหน ดังนั้น ROA ยิ่งสูง ยิ่งดี
อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ (Return on Asset : ROA) ROA (%) = (กำไรสุทธิ / สินทรัพย์รวม) x 100 |
อัตราผลตอบแทนจากส่วนของผู้ถือหุ้น (Return on Equity : ROE) เป็นส่วนที่วัดผลตอบแทนเทียบกับเงินลงทุนของนักลงทุน แสดงให้เห็นถึงความสามารถของบริษัท ว่าสามารถนำเงินลงทุนของนักลงทุน มาสร้างผลตอบแทนได้มีประสิทธิภาพมากแค่ไหน ดังนั้น ROE ยิ่งสูง ยิ่งดี
อัตราผลตอบแทนจากส่วนของผู้ถือหุ้น (Return on Equity : ROE) ROE (%) = (กำไรสุทธิ / ส่วนของผู้ถือหุ้น) x 100 |
อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin : NPM) เป็นส่วนที่วัดความสามารถในการทำกำไรของบริษัท ว่าสามารถสร้างกำไรได้ดีแค่ไหน ซึ่งกำไรที่สูง อาจมาจากความสามารถในการควบคุมต้นทุนที่ดีด้วย ดังนั้น NPM ยิ่งสูง ยิ่งดี
อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin : NPM) NPM (%) = (กำไรสุทธิ / ยอดขายรวม) x 100 |
กำไรต่อหุ้น (Earning per Share : EPS) เป็นส่วนที่บอกถึงผลตอบแทนที่นักลงทุนจะได้รับ จากการถือหุ้นของบริษัทต่อ 1 หุ้น หรือหมายความว่าถ้าเราถือหุ้นของบริษัท 1 หุ้น เราจะได้กำไรกี่บาท ดังนั้น EPS ยิ่งสูง ยิ่งดี
กำไรต่อหุ้น (Earning per Share : EPS) EPS (บาท) = กำไรสุทธิ / จำนวนหุ้นบริษัทที่ชำระแล้ว |
มิติที่ 3 วัดความถูก ความแพง
อัตราส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้น (Price to Earning Ratio : P/E) เป็นส่วนที่วัดว่าการซื้อหุ้นในตอนนี้ จะใช้เวลาคืนทุนในระยะเวลากี่ปี หากบริษัทยังมีความสามารถในการทำกำไรที่เท่าเดิมในทุกๆ ปี ช่วยวัดความถูก ความแพงของราคาหุ้นจากกำไรที่ทำได้ ดังนั้น P/E ยิ่งต่ำ ยิ่งดี
อัตราส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้น (Price to Earning Ratio : P/E) P/E Ratio (เท่า) = ราคาหุ้น / กำไรต่อหุ้น |
อัตราส่วนราคาต่อมูลค่าตามบัญชีของหุ้น (Price to Book Value Ratio : P/BV) เป็นส่วนที่แสดงให้เห็นว่าราคาหุ้นมีมูลค่าเป็นกี่เท่าเมื่อเทียบกับมูลค่าทางบัญชี ทำให้นักลงทุนมองเห็นแนวโน้มว่าสามารถเป็นเจ้าของหุ้นในราคาที่สูงหรือต่ำกว่าเจ้าของบริษัท ดังนั้น P/BV ยิ่งต่ำ ยิ่งดี
อัตราส่วนราคาต่อมูลค่าตามบัญชีของหุ้น (Price to Book Value Ratio : P/BV) P/BV Ratio (เท่า) = ราคาหุ้น / มูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น |
มิติที่ 4 วัดความสามารถในการจ่ายปันผล
อัตราเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) เป็นส่วนที่บอกถึงเงินปันผลที่นักลงทุนจะได้รับ เมื่อเทียบกับราคาหุ้นแล้วเป็นอย่างไร ช่วยให้นักลงทุนประเมินได้ว่าบริษัทมีความสามารถในการจ่ายเงินปันผลมากน้อยแค่ไหน ดังนั้น Dividend Yield ยิ่งสูง ยิ่งดี
อัตราเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) Dividend Yield (%) = (เงินปันผลต่อหุ้น / ราคาหุ้น) x 100 |
อัตราการจ่ายปันผล (Dividend Payout Ratio) เป็นส่วนที่บอกว่าบริษัทนำผลกำไรมาจ่ายเงินปันผลให้กับนักลงทุนมากน้อยแค่ไหน จะเก็บกำไรไว้เพื่อดำเนินกิจการต่อในสัดส่วนเท่าไหร่ ดังนั้น Dividend Payout Ratio ยิ่งสูง ยิ่งดี
อัตราการจ่ายปันผล (Dividend Payout Ratio) Dividend Payout Ratio (%) = (เงินปันผลต่อหุ้น / กำไรต่อหุ้น) x 100 |
ตัวอย่างหุ้นดีที่ได้จากการใช้อัตราส่วนทางการเงินคัดกรอง
หุ้น AP หรือบริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน)
AP ทำธุรกิจพัฒนาบ้าน และคอนโดภายใต้แบรนด์ เอพี บ้านที่เรารู้จักกันดีก็เช่น บ้านกลางเมือง หรือคอนโดก็เช่น คอนโด Aspire ซึ่งมักจะเป็นบ้าน และคอนโดที่อยู่ในทำเลที่ดีเสมอ
- ในมุมความมั่นคงหุ้น AP มี D/E Ratio ที่ 0.85 เท่า ถือว่ามีหนี้น้อย และมีความมั่นคงมาก
- ในมุมการทำกำไร AP สามารถทำ ROE ได้สูงถีง 15% แม้จะลดลงไปเหลือ 12% ในปี 2562 แต่ก็สามารถทำเพิ่มกลับมาได้ นับว่าเป็นบริษัทที่มีศักยภาพในการทำกำไรดีมากๆ
- ในมุมความถูกแพง AP มี P/E เพียง 6.69 เท่า เท่านั้น (ในตลาดหุ้นปกติมี P/E 10-20 เท่า) และมี P/BV เพียง 0.96 เท่า (ในตลาด P/BV 2-3 เท่า)
- ในมุมความสามารถในการปันผลถือว่า AP ให้ปันผลที่ค่อนข้างดีเพราะมี Dividend Yield ย้อนหลังสูงถึง 4.71%
จะเห็นว่าแค่ใช้อัตราส่วนทางการเงินง่ายก็สามารถกรองหุ้นที่มีคุณภาพดีไปทำการศึกษาต่อเพื่อการลงทุนได้แล้ว
เมื่อเพื่อนๆ ได้รู้จักทั้ง 10 อัตราส่วนการเงินนี้แล้ว สามารถนำไปปรับใช้กับหุ้นที่ตัวเองสนใจได้เลย ทีมงานหวังว่าบทความนี้จะเป็นส่วนช่วยที่ทำให้เพื่อนๆ เลือกหุ้นที่มั่นคง มีคุณภาพดี และราคาไม่แพง เข้าพอร์ตการลงทุนได้ในอีกหลายๆ ตัวเลย