ในปี 2021 ที่ผ่านมา เป็นหนึ่งในปีที่ผลตอบแทนของการลงทุนค่อนข้างดี แม้จะมีความผันผวนอยู่บ้างแต่ถ้าดูในภาพใหญ่ดัชนี SET Index ยังให้ผลตอบแทนจากต้นปีสูงถึง 13% ชนะเงินเฟ้อได้ และให้ผลตอบแทนมากกว่าฝากเงินธนาคารเยอะมาก
ปีนี้จึงมีเพื่อนๆ มากมายที่อยากเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น แต่หลายๆ คนก็เจอปัญหาว่าไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง บทความนี้มีคำตอบให้มือใหม่ทุกคนครับ
สิ่งที่มือใหม่ต้องทำมีขั้นตอนดังต่อไปนี้
- เตรียมเอกสารเพื่อเปิดบัญชี
- แนวทางการเก็งกำไร / ลงทุน ที่ตนเองถนัด
- วางแผนเงินที่จะลงทุนให้ดี
- หาข้อมูลเตรียมซื้อหุ้นตัวแรก
- ติดตามผลงาน และปรับปรุงการเล่นหุ้นของตนเอง
แต่ละขั้นตอนมีรายละเอียดอย่างไรบ้างมาดูไปพร้อมๆ กันครับ
1. เปิดบัญชี เตรียมเอกสาร
มีทั้งเปิดบัญชีออนไลน์ และไปที่สาขาครับ ในบทความนี้จะเน้นไปที่การเปิดบัญชีออนไลน์นะครับ เพราะสะดวกกว่ามาก และทำได้ทุกคน โดยสิ่งที่ต้องเตรียมคือ สำเนาบัตรประชาชน และหน้าแรกของสมุดบัญชีธนาคารเท่านั้นครับ แต่จะมีบางทีที่ต้องการเอกสารเพิ่มเติมก็จะมี Statement ย้อนหลัง 3 เดือน และสำเนาทะเบียนบ้าน ขั้นตอนนี้ไม่ยาก ที่ยากคือการตัดสินใจว่าจะเปิดบัญชีกับโบรกเกอร์ที่ไหนดี
เปิดบัญชีกับโบรกเกอร์ไหนดี? วิธีการเลือกคือ ต้องถามตนเองก่อนว่าต้องการอะไร เพราะโบรกเกอร์แต่ละที่มีจุดเด่นที่ไม่เหมือนกัน โดยจุดเด่นของโบรกเกอร์หลักๆ จะมีอยู่ 2-3 เรื่องครับ คือ
- ค่าธรรมเนียมการเทรดต่ำ
- มีบทวิเคราะห์ดี
- สะดวกสบายมีบริการอื่นๆ หรือมีเทรดหุ้นต่างประเทศได้ด้วย
- เรื่องการได้สิทธิจองหุ้น IPO ของรายย่อย
ถ้าเลือกโบรกเกอร์ที่ชอบได้แล้วก็ลุยเปิดบัญชีได้เลยครับ แต่...อย่าลืมว่าการเปิดบัญชีเนี่ยเราสามารถเปิดได้หลายที่นะครับ ดังนั้นอาจจะเลือกเปิดไว้ 2-3 ที่ ที่มีจุดเด่นที่แตกต่างกันเอาไว้ใช้งานก็สะดวกดีครับ
2. เลือกแนวทางของตนเอง
การเล่นหุ้นของแต่ละคนมีสไตล์ที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้นการเลือกวิธีที่เข้ากับตัวเรา เป็นวิธีที่เราทำแล้วมีความสุขจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ ซึ่งแนวทางการเล่นหุ้นนั้นจะมีหลักการคร่าวๆประมาณ 4 แนวทางด้วยกัน
- สายเก็งกำไร - คาดหวังผลตอบแทนเร็ว สายนี้เป็นสายที่คนในตลาดประมาณ 90% เลือกแนวทางนี้ เป็นการเก็งกำไร ซื้อหุ้นเพื่อคาดหวังที่จะขายหุ้นในราคาที่สูงกว่าต้นทุนที่ซื้อมา ระยะเวลาการเล่นหุ้นมักจะอยู่ที่ 1 อาทิตย์ จนไปถึงประมาณ 3 เดือน และมีบางส่วนที่เน้นเล่นจบในวันเราเรียกว่า Day Trade
ถ้าต้องการเป็นนักเก็งกำไรในตลาดหุ้นสิ่งที่ต้องทำคือศึกษา Cycle ของราคาหุ้น และปัจจัยที่ส่งผลกระทบกับหุ้น รวมไปถึงการศึกษากราฟเทคนิคอลเพื่อวิเคราะห์แนวโน้ม และจิตวิทยาของราคาหุ้นเป็นหลัก
- สายลงทุนระยะยาว - คาดหวังผลตอบแทนสูง ถือหุ้นระยะยาวตั้งแต่ 1 ปี จนบางคนถือ 10-20 ปีเลยก็มี ถ้าการเก็งกำไรคือการเทรดบ่อยๆ ได้กำไรไม่มาก การลงทุนระยะยาวคือการเทรดไม่มาก แต่กินกำไรคำโตๆ ได้ทีละเยอะๆ
ถ้าอยากใช้แนวทางการลงทุนระยะยาว ต้องดูคุณภาพของหุ้นเป็น อ่านงบการเงินได้ และเข้าใจการวิเคราะห์ Business Model เพื่อประมาณการกำไรในอนาคตของหุ้น
- สายปันผล - เน้นมีเงินปันผลใช้อย่างต่อเนื่อง แนวทางนี้เป็นแนวทางที่สบายกว่า คือซื้อหุ้นที่ปันผลสูง คุณภาพธุรกิจดี และรอรับปันผล แนวทางนี้ต้องมีความรู้แบบนักลงทุน รู้เรื่องงบการเงินบ้าง แต่ไม่ต้องรู้มากเท่าคนที่อยากเป็นนักลงทุนระยะยาวครับ
- สาย DCA (Dollar Cost-Averaging) ออมไปยาวๆ - คาดหวังผลตอบแทนในรูปแบบการออม ซื้อหุ้นอย่างต่อเนื่องทุกๆ เดือนหรือทุกๆ ปีในสัดส่วนที่เท่าๆ กัน โดยไม่กะจังหวะการเทรด ตลาดหุ้นขึ้นก็ซื้อ ลงก็ซื้อ ให้ผลตอบแทนทบต้นไปเรื่อยๆ แนวทางนี้อิงอยู่บนทฤษฎีว่า ในระยะยาวถ้าลงทุนหุ้นที่มีคุณภาพดี ราคาหุ้นมีโอกาสขึ้นสูงมาก โอกาสขาดทุนต่ำ เป็นแนวทางที่สบายที่สุดในทั้ง 4 แนวทาง โดยต้องมีความรู้เรื่องหุ้นบ้างว่าตัวไหนดี ไม่เจ๊งแน่ๆ (ถ้าไป DCA หุ้นแย่ๆ ก็มีโอกาสพังได้เหมือนกัน)
เมื่อรู้แนวทางการลงทุนที่อยากจะเป็นแล้วต่อมาคือการวางแผนเงินลงทุนว่าจะเอาเงินที่มีอยู่มาเล่นหุ้นเท่าไหร่ดี เอามาเล่นหมดเลยจะดีไหม?
3. วางแผนเงินลงทุน
หลายคนวางแผนการลงทุนมาดี มาพลาดตรงการวางแผนเงินลงทุน คือมีเงินทั้งหมดเท่าไหร่ เอาไปลงทุนหมดเลยในตอนแรก โดยที่ยังไม่ได้ศึกษาข้อมูล ถ้าโชคดีตลาดเป็นขาขึ้นก็จะกำไร แต่ถ้าตลาดเป็นขาลงก็จะขาดทุนหนัก ดังนั้นการเริ่มต้นลงทุนควรเป็นขั้นเป็นตอน ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป
เริ่มต้นจากการเทรดทีละน้อยก่อน ใช้เงิน 10%-30% ของเงินทุนที่ตั้งใจไว้ ระหว่างทางก็ศึกษาข้อมูลหุ้นไปด้วย หลังจากนั้น 3-6 เดือนค่อยเริ่มเทรดมากขึ้นตามความรู้ที่สูงขึ้น โดยอาจใช้เงินในการเทรด 50-100% ของทั้งหมดที่มีได้เลย
อีกส่วนหนึ่งที่ต้องคอยถามตนเองคือ เงินที่เอามาลงทุนเทรดนี้เป็นเงินเย็นใช่หรือไม่? เพราะการลงทุนมีความเสี่ยง และขาดทุนได้ทุกเมื่อ ถ้าเงินที่เอามาเทรดไม่ใช่เงินเย็น ต้องนำมาใช้ในระยะเวลาอันใกล้ อาจทำให้การลงทุนตกอยู่ในความเสี่ยงได้ โดยเงินเย็นคือเงินที่ไม่ต้องนำมาใช้จ่ายในระยะเวลา 1-3 ปีขึ้นไป
4. ศึกษาหาข้อมูล
เมื่อทำตามขั้นตอนครบถ้วนแล้ว ถัดมาคือการเริ่มหาข้อมูล โดยเบื้องต้นสามารถหาข้อมูลได้ตามเว็บไซต์ตามนี้เลยครับ
- เว็บ Set.or.th - ข้อมูลงบการเงิน ราคาหุ้น การซื้อขายของต่างชาติ
- เว็บ Settrade - ข้อมูลหุ้น และบทวิเคราะห์
- เว็บ Opportunity Day (Set.or.th/oppday) - การนำเสนอของผู้บริหารแต่ละบริษัท เหมาะกับการเข้าไปหาข้อมูลสำหรับหุ้นที่เราสนใจอยู่
- เว็บไซต์ Investor Relation ของบริษัท - ใช้ในการดาวน์โหลดข้อมูลต่างๆของบริษัท
- Facebook และ Youtube ของบริษัทหลักทรัพย์ต่างๆ - ใช้ในการอัพเดทข่าวสารเกี่ยวกับตลาดหุ้น
- บทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ - ใช้ในการหาข้อมูลเชิงลึกสำหรับหุ้นหรืออุตสาหกรรมที่เรากำลังสนใจ
5. ติดตามผลงาน และปรับปรุงการเล่นหุ้นของตนเอง
การเล่นหุ้นที่ดี ไม่ว่าจะเป็นแนวทางไหนคือการเล่นหุ้นที่มีการพัฒนาอยู่เสมอ ดังนั้นหลังจากที่ซื้อหุ้นไปแล้ว ควรทำไดอารี่การเทรด หรือจดบันทึกไว้ว่า เหตุผลที่ซื้อหุ้นตัวนี้เพราะอะไร คาดหวังอะไร และติดตามผลว่าการซื้อครั้งนั้นขาดทุนหรือกำไร ถ้าขาดทุนเพราะสาเหตุอะไร และนำสิ่งเหล่านั้นมาปรับปรุงแก้ไขการเทรดหุ้นของตนเอง
การติดตามผลงานของตนเองเป็นสิ่งที่คนไม่ค่อยทำกันแต่กลับเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะการเล่นหุ้นที่จะประสบความสำเร็จได้นั้น จะต้องเล่นจริงเจ็บจริง และแก้ไขจริง ความสำเร็จที่แท้จริงถึงจะตามมา