นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) (ASW) บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นผู้นำด้านไลฟ์สไตล์ภายใต้แนวคิด
"ความสุขที่ออกแบบมาเพื่อคุณ" หรือ
"We Build Happiness" เปิดเผยว่า จากความสำเร็จในตลาดคอนโดมิเนียมรอบสถานศึกษา (Campus Condo) ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ล่าสุดโครงการ
"เคฟ ทาวน์ ไอส์แลนด์" (Kave Town Island) คอนโดฯ ใกล้มหาวิทยาลัยกรุงเทพ จำนวน 1,770 ยูนิต มูลค่าโครงการ 3,200 ล้านบาท ที่เคยประกาศ Sold out ไปก่อนหน้านี้นั้น ตอนนี้สร้างเสร็จพร้อมรับรู้รายได้เข้ามาตั้งแต่เดือนมิถุนายนนี้ ซึ่งจะส่งสัญญาณบวกให้กับรายได้ของบริษัทฯ ในไตรมาส 2 นี้อย่างชัดเจน และไตรมาส 2/2567 นี้บริษัทฯ จึงได้ต่อยอดความสำเร็จที่ต่อเนื่อง เปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมใหม่แบรนด์ “เคฟ” อีก 2 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 2,360 ล้านบาท ได้แก่
เคฟ ลูมินัส บางมด (Kave Luminous Bangmod) อาคาร Low Rise 8 ชั้น 3 อาคาร พื้นที่ใช้สอย 24-35 ตร.ม. รวม 516 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 1.89 ล้านบาท ใกล้มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (บางมด) มูลค่าโครงการ 1,200 ล้านบาท ล่าสุด บริษัทฯ ได้เปิดให้ชมห้องตัวอย่างครั้งแรกพร้อมเปิดขายพรีเซล (Pre-sale) ไปเมื่อวันที่ 1 มิ.ย. 2567 ที่ผ่านมา ปรากฏว่าได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี เพียง 3 วัน (1-3 มิ.ย.2567) สามารถทำยอดขายได้แล้วกว่า 70% ตอกย้ำความเป็นผู้นำในตลาดแคมปัสคอนโดฯ ดังกล่าว
ส่วนอีกโครงการ ได้แก่
เคฟ เจเนซิส นครปฐม (Kave Genesis Nakhonphathom) คอนโดฯ 579 ยูนิต ติดถนนใหญ่ใจกลางทำเลทองนครปฐม ใกล้ศูนย์การค้าเซ็นทรัลนครปฐม และมหาวิทยาลัยศิลปากร ราคาเริ่มต้น 1.79 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 1,160 ล้านบาท พร้อมเปิดให้ชมห้องตัวอย่างสำหรับลูกค้าที่ลงทะเบียนล่วงหน้าในวันที่ 8-9 มิ.ย.นี้ ซึ่งคาดว่าจะได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดีเช่นเดียวกัน
ทั้งนี้ โครงการ
เคฟ ลูมินัส บางมด สามารถตอบโจทย์ความต้องการการอยู่อาศัยใกล้มหาวิทยาลัยของกลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าฯ เพราะใกล้เพียง 600 เมตร รวมทั้งยังตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการซื้อโครงการอสังหาฯ สำหรับลงทุนปล่อยเช่าเพื่อรับผลตอบแทนที่ดี เนื่องจากจะมีนักศึกษาหมุนเวียนปีละกว่า 14,000 คน และมีความต้องการที่อยู่อาศัยใกล้มหาวิทยาลัย นอกจากนี้ยังตอบโจทย์ความต้องการที่อยู่อาศัยใกล้ที่ทำงานของคนทำงานย่านสาทร และพระราม 3 ด้วยเช่นกัน เนื่องจากใช้เวลาเดินทางเข้าเมืองเพียงแค่ 20-30 นาที โดยในอนาคตจะมีทางด่วนพระราม 3 - ดาวคะนอง, สะพานคู่ขนานพระราม 9 ที่จะเปิดใช้ในเดือน ก.ค.นี้ ตลอดจนรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ที่คาดว่าจะเปิดให้บริการภายในปี 2570 จะเข้ามาช่วยเพิ่มศักยภาพการเดินทางให้สะดวกมากยิ่งขึ้น
ขณะที่โครงการ
เคฟ เจเนซิส นครปฐม เป็นอีกหนึ่งโครงการที่บริษัทฯ ภาคภูมิใจนำเสนอ ซึ่งได้ดึงเอาสถาปัตยกรรมไทย ซึ่งมีความเป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดนครปฐมมาผสานกับเทรนด์ของยุคสมัยให้สอดคล้องอย่างลงตัว ตอบโจทย์ความต้องการอยู่อาศัยของนักศึกษามหาวิทยาลัยศิลปากร สนามจันทร์ และผู้ที่อยากอยู่ใกล้สิ่งอำนวยความสะดวกสบาย ทั้งศูนย์การค้าและโรงพยาบาล ฯลฯ ตลอดจนผู้ที่ต้องการลงทุนในโครงการอสังหาฯ เพื่อรับผลตอบแทนที่ดีเช่นกัน โดยจากการสำรวจประชากรของจังหวัดนครปฐมมีรายได้ต่อครัวเรือนต่อเดือนสูงเป็นอันดับที่ 4 ของไทย เฉลี่ย 38,700 บาท/เดือน/ครอบครัว เรียกได้ว่าเป็นจังหวัดของคนที่มีกำลังซื้อพอสมควร ซึ่งทำให้โครงการดังกล่าวเป็นแคมปัสคอนโดฯที่แตกต่างจากเคฟโครงการอื่นๆ ตรงที่ไม่ได้ใกล้แค่มหาวิทยาลัย อย่าง ม.ศิลปากร สนามจันทร์ ซึ่งใช้เวลาเดินทางเพียง 5 นาทีด้วยระยะทางเพียง 2.2 กม. แต่ยังใกล้ห้างสรรพสินค้าอย่างเซ็นทรัลนครปฐมที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเพียง 200 ม. ซึ่งทำให้กลุ่มลูกค้าขยายขอบเขตกว้างขึ้น พร้อมรองรับการขยายตัวของรถไฟฟ้าสายสีแดงที่จะเพิ่มความสะดวกในการเดินทางในอนาคต บริษัทฯ เชื่อว่าทั้งสองโครงการจะเป็นไฮไลต์ที่สำคัญของยอดขายในไตรมาส 2/2567 นี้
อนึ่ง ASW ดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยมุ่งพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวสูงและแนวราบบนทำเลศักยภาพ ภายใต้แนวคิด "ความสุขที่ออกแบบมาเพื่อคุณ" หรือ "We Build Happiness" ปัจจุบันได้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมและโครงการบ้านจัดสรรมาแล้วกว่า 66 โครงการ ภายใต้แบรนด์ในเครือที่ออกแบบมาเพื่อสร้างความสุขให้เหมาะกับทุกไลฟ์สไตล์ได้แก่ แบรนด์ เคฟ (KAVE), แบรนด์ แอทโมซ (ATMOZ), แบรนด์ โมดิซ (MODIZ), แบรนด์ เอสต้า (ESTA), แบรนด์ ดิ อาเบอร์ (THE ARBOR), แบรนด์ ดิ ออเนอร์ (THE HONOR) รวมถึงแบรนด์ภายใต้ บริษัท ร่มโพธิ์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ “TITLE” ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯ รวมมูลค่าโครงการกว่า 94,100 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จและโครงการพร้อมอยู่ 48 โครงการ และโครงการที่กำลังเปิดขายและอยู่ระหว่างการพัฒนา 18 โครงการ และ ณ ไตรมาส 1 ปี 2567 มียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) มูลค่ารวมกว่า 20,475 ล้านบาท