นางสาวอธิกา บุญรอดชู ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดสรรเงินทุนและการลงทุน บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ ในฐานะ Developer รายแรกพัฒนาหมู่บ้านโซลาร์เต็มรูปแบบ ผู้นำด้านบ้านประหยัดพลังงาน และ Condo Low Carbon เปิดเผยว่า กลุ่มบริษัทเสนาฯ ในปี 2566 มีการเติบโตเพิ่มขึ้นทุกธุรกิจ โดยมีรายได้รวม แบ่งเป็น 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ทั้งธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจบริหารโครงการและบริการอื่นๆ และธุรกิจเกี่ยวกับพลังงานสะอาด อยู่ที่ 10,954.56 ล้านบาท โดยเมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนรายได้รวมเพิ่มขึ้น 1,167.48 ล้านบาท คิดเป็น 11.9% ขณะที่ผลกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 3,265.26 ล้านบาท คิดเป็น 31.6% ของรายได้รวมสุทธิ
"แม้ว่าในภาวะเศรษฐกิจยังมีปัจจัยเสี่ยงทั้งภายในและภายนอกประเทศ ส่งผลต่อดีมานด์ตลาดอสังหาฯ ลดลง ทำให้เสนาวางแผนบริหารจัดการในธุรกิจต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการบริหารต้นทุนให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงของต้นทุนหลักต่างๆ ในการพัฒนาโครงการ เพื่อกำหนดราคาให้เหมาะสม และเป็นไปตามความต้องการที่อยู่อาศัยในกลุ่มเป้าหมายต่างๆ โดยเฉพาะผู้มีรายได้ปานกลาง และต้องการเป็นเจ้าของสินทรัพย์ ที่สามารถสร้างความมั่นคงให้กับการดำรงชีวิต เสนาฯ ได้พัฒนาบริการด้านต่างๆ ที่จะสามารถช่วยเหลือ ผู้ซื้อให้เข้าถึงที่อยู่อาศัยได้มากยิ่งขึ้น"
นางสาวอธิกา กล่าวในรายละเอียดว่า สำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มเสนาได้มีการวางกลยุทธ์ชัดเจนในด้านกำหนดราคาขายที่เป็นไปตามสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ และสามารถบริหารต้นทุนขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ มียอดขาย Pre-sale อยู่ที่ 10,577 ล้านบาท และเป็นยอดโอนกรรมสิทธิ์รับรู้รายได้ 8,432 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวสูง 82% และโครงการแนวราบ 18% เพิ่มขึ้น 699 ล้านบาท หรือ 9% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า นอกจากนี้ ยังมียอดขายที่รอการรับรู้รายได้ (Back Log) คิดเป็นมูลค่ารวม 4,762 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2566
อย่างไรก็ตาม ทางกลุ่มเสนายังมีสินค้าคงเหลือขายสะสมทั้งหมด 52,981 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการคอนโดฯ ที่ก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมขายและโอนรับรู้รายได้ทันที อยู่ที่ 11,661 ล้านบาท และโครงการคอนโดฯที่เป็นสินค้าคงเหลือขายใน ปี 2567 อยู่ที่ 4,501 ล้านบาท
ด้านธุรกิจบริหารโครงการและบริการอื่นๆ กลุ่มเสนามีรายได้เพิ่มขึ้น 16% จากการรับงานบริหารโครงการเพิ่มขึ้น และธุรกิจสนามกอล์ฟที่รายได้โตโดดเด่นถึง 44% ขณะเดียวกันกลุ่มธุรกิจเกี่ยวกับพลังงานสะอาดที่ประกอบด้วย ธุรกิจโซลาร์, ธุรกิจขายรถยนต์พลังงานไฟฟ้า รวมถึงธุรกิจใหม่ที่บริษัทเริ่มทำการศึกษาและลงทุน คือ การปลูกป่าเพื่อคาร์บอนเครดิต สามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้น คิดเป็น 47.5% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า
ทั้งนี้ บริษัทยังคงรักษาอัตราส่วนหนี้สินที่มีดอกเบี้ยสุทธิต่อทุน (Net IBD) อยู่ที่ 1.14 เท่า ซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดี โดยล่าสุดจากมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติให้มีการจ่ายเงินปันผลในอัตราหุ้นละ 0.234214 บาท หรือคิดเป็น 81% ของงบการเงินรวม หรือ ร้อยละ 60 ของงบการเงินเฉพาะกิจการ โดยนักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนคิดเป็นประมาณ 9.5% จากราคาปิดเมื่อวันที่ 27 ก.พ. ที่ผ่านมา