ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ เผยผลประกอบการปี 2565 กิจกรรมการโอนกรรมสิทธิ์แกร่ง 18,509 ล้าน พร้อมกำไรสุทธิ All Time High 3,775 ล้าน หลังโอนกรรมสิทธิ์โครงการขนาดใหญ่และเมกะโปรเจกต์แบรนด์ “พาร์ค ออริจิ้น” และ “ดิ ออริจิ้น” ได้อย่างต่อเนื่อง ร่วมทุนโครงการที่อยู่อาศัยเพิ่มทั้งปี 15 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 24,600 ล้าน ร่วมทุนกลุ่มโรงแรม-ศูนย์การค้า-คลังสินค้าอีก 7 โครงการ มูลค่า REIT ประมาณการณ์รวม 5,500 ล้าน ตอกย้ำความมั่นใจในการดำเนินธุรกิจจากพันธมิตรหลากสัญชาติ แบ็คล็อกยังแกร่งรักษาระดับ 40,521 ล้าน บอร์ดเคาะจ่ายปันผลรอบนี้เพิ่มอีก 0.57 บาทต่อหุ้น หนุน Dividend Yield ทะลุ 6.05% จากราคาปิดเมื่อวันที่ 27 ก.พ. ที่ 11.90 บาท เตรียมประกาศแผนธุรกิจปี 2566 วันที่ 7 มี.ค.นี้
นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานปี 2565 นั้น บริษัทมีกิจกรรมการโอนกรรมสิทธิ์โครงการที่อยู่อาศัยทุกกลุ่ม (รวมโครงการ JV) อยู่ที่ 18,509 ล้านบาท ทำสถิติสูงที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา (All Time High) และเติบโตขึ้น 15% เมื่อเทียบกับปีก่อน ขณะเดียวกัน มีรายได้จากธุรกิจโรงแรมและอื่นๆ 4,064 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 3,775 ล้านบาท เติบโตถึง 18% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 นับเป็นการทำลายสถิติกำไรสุทธิของบริษัท (All Time High) และมีอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) อยู่ที่ระดับ 24% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม
“สถานการณ์เศรษฐกิจปี 2565 ค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากการคลี่คลายของสถานการณ์ COVID-19 ส่งผลให้ความมั่นใจและกำลังซื้อของผู้บริโภคฟื้นตัว เมื่อประกอบกับการตอบรับจากผู้บริโภคทั้งโครงการบ้านและคอนโดมิเนียมคุณภาพของบริษัทเป็นไปตามเป้าหมาย ส่งผลให้มีการโอนกรรมสิทธิ์โครงการต่างๆ อย่างต่อเนื่อง กลุ่มธุรกิจโรงแรมก็มีอัตราการเข้าพักหรือ Occupancy Rate ที่ดีขึ้นอย่างชัดเจนและต่อเนื่องมานับตั้งแต่ประเทศสำคัญต่าง ๆ ทยอยรีโอเพนนิ่ง ภาพรวมผลการดำเนินงานของบริษัทจึงอยู่ในระดับที่น่าพึงพอใจ” นายพีระพงศ์ กล่าว
สำหรับโครงการที่อยู่อาศัยที่มีส่วนสำคัญต่อยอดโอนกรรมสิทธิ์ในปี 2565 คือกลุ่มโครงการขนาดใหญ่และเมกะโปรเจกต์ที่ทยอยสร้างเสร็จในปี 2565 อาทิ กลุ่มโครงการ ดิ ออริจิ้น (The Origin) เช่น ดิ ออริจิ้น ราม 209 อินเตอร์เชนจ์ (The Origin Ram 209 Interchange) และ ดิ ออริจิ้น อ่อนนุช (The Origin Onnut) ที่เริ่มโอนกรรมสิทธิ์ตั้งแต่ไตรมาส 1/2565 และ 2/2565 ตามลำดับ จนปัจจุบันมียอดโอนกรรมสิทธิ์แล้วกว่า 95% และ 80% ของมูลค่าโครงการตามลำดับ กลุ่มโครงการคอนโดมิเนียมลักชัวรีแบรนด์พาร์ค ออริจิ้น เช่น พาร์ค ออริจิ้น ทองหล่อ (Park Origin Thonglor) พาร์ค ออริจิ้น ราชเทวี (Park Origin Ratchatewi) และ แฮมป์ตัน ศรีราชา (Hampton Sriracha) มูลค่าโครงการรวมทั้ง 3 โครงการ กว่า 16,600 ล้านบาท ที่ทยอยโอนกรรมสิทธิ์ในช่วงครึ่งปีหลัง ขณะที่กลุ่มบ้านจัดสรรในหลากทำเลใหม่ก็สร้างยอดโอนกรรมสิทธิ์ได้อย่างโดดเด่น อาทิ บริทาเนีย ราชพฤกษ์ นครอินทร์ (Britania Ratchaphruek Nakorn-In)
นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับความไว้วางใจในการเข้าร่วมทุนจากพันธมิตรหลากสัญชาติอย่างต่อเนื่องในปี 2565 ทั้งในโครงการที่อยู่อาศัย โครงการโรงแรม ศูนย์การค้า ตลอดจนโครงการคลังสินค้า แบ่งเป็นโครงการบ้านและคอนโดมิเนียมจำนวน 15 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 24,630 ล้านบาท โครงการโรงแรม ศูนย์การค้า และคลังสินค้า รวม 7 โครงการ มูลค่า REIT ประมาณการณ์รวม 5,520 ล้านบาท ซึ่งในปี 2565 นี้ บริษัทมีพันธมิตรใหม่ที่เข้ามาร่วมทุนด้วยถึง 3 บริษัท สะท้อนถึงความมั่นใจของต่างชาติต่อการดำเนินงานของบริษัท
จากผลการดำเนินงานที่ยังทำได้อย่างยอดเยี่ยม ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท มีมติเห็นชอบให้เสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นสามัญจ่ายปันผลสำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทงวด 6 เดือนที่เหลือของปี 2565 ในอัตรา 0.57 บาทต่อหุ้น หรือ คิดเป็น Dividend Yield กว่า 6.05% จากราคาปิดเมื่อวันที่ 27 ก.พ. ที่ 11.90 บาท เป็นเงินปันผลจ่ายเป็นเงินสดทั้งสิ้นไม่เกิน 1,399 ล้านบาท โดยขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 8 พ.ค. 2566 กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 9 พ.ค. 2566 และกำหนดจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นภายในวันที่ 25 พ.ค. 2566
นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า ภาพรวมเศรษฐกิจในปี 2566 นั้น มีปัจจัยบวกที่เด่นชัดหลายด้านเมื่อเทียบกับช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ทั้งการเปิดประเทศของนานาประเทศสำคัญแบบเต็มปีเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยโดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวและโรงแรมฟื้นตัว กำลังซื้อคอนโดมิเนียมจากต่างประเทศกลับมาไทย การเติบโตของเมืองกระจายสู่พื้นที่หัวเมืองต่างจังหวัดมากขึ้น บริษัทจึงอยู่ระหว่างการเดินหน้าวางแผนงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจและกำลังซื้อ คาดว่าจะเปิดเผยแผนการดำเนินงานปี 2566 อย่างเป็นทางการได้ภายในช่วงต้น มี.ค.2566
สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2566 นั้น มีแนวโน้มที่ดีเนื่องจากบริษัทยังมีแบ็คล็อกที่แข็งแกร่งจากสิ้นปี 2565 ถึงราว 40,521 ล้านบาท ซึ่งบางส่วนจะทยอยเริ่มรับรู้รายได้ในไตรมาส 1/2566 นี้ ซึ่งรวมถึงโครงการระดับลักชัวรี่อย่าง พาร์ค ออริจิ้น จุฬา-สามย่าน (Park Origin Chula-Samyan) นอกจากนี้ กลุ่มโครงการพาร์ค ออริจิ้น ทั้ง 2 ทำเลที่เริ่มโอนแล้วเมื่อกลางปี 2565 ยังน่าจะมีการทยอยโอนกรรมสิทธิ์อย่างต่อเนื่อง