นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยว่าปัญหาเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) เป็นเรื่องใกล้ตัวเรามากขึ้นทุกขณะ และตระหนักดีว่าเป็นปัญหาหลักของมวลมนุษยชาติ ไม่ใช่ปัญหาของใครคนใดคนหนึ่ง ทั้งภาครัฐ เอกชนและประชาชนต้องร่วมมือกันเพื่อการดูแลโลกให้ยั่งยืนอย่างเร่งด่วน สำหรับแสนสิริในฐานะผู้นำด้านอสังหาริมทรัพย์ให้ความสำคัญในเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่อง โดยได้กำหนดเป้าหมายในการทำธุรกิจเพื่อสร้างจุดเปลี่ยนด้านสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน และ ณ วันนี้ แสนสิริขอประกาศภารกิจสำคัญอีกครั้ง ในการนำองค์กรเข้าสู่การเป็นฟันเฟืองหนึ่งที่ร่วมแก้วิกฤตสิ่งแวดล้อม ด้วยการประกาศเป้าหมายสู่การเป็น Net-zero องค์กรอสังหาริมทรัพย์แรกในประเทศไทยที่วางพันธกิจในการเป็นองค์กรที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์อย่างเต็มรูปแบบในอนาคตอันใกล้
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าองค์กรต่างๆ ได้ผลักดันให้เกิดความร่วมมือจากทั่วโลก เช่น การประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสมัยที่ 26 หรือ COP26 ที่จัดขึ้นเมื่อเดือนพฤศจิกายน 64 ที่ผ่านมา โดยมีการบรรลุข้อตกลงทางประวัติศาสตร์เพื่อควบคุมปัญหาการเปลี่ยงแปลงสภาพแวดล้อม ด้วยเป้าหมายให้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero ภายในปี 2050 หรือ พ.ศ. 2593 เพื่อจัดการกับภาวะโลกร้อน ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้จริง ต้องมาจากพลังบวกของทุกภาคส่วนในการร่วมมือแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง โดยเฉพาะภาวะโลกร้อนที่ปัจจุบันก้าวไปสู่จุดที่เป็นวิกฤตต่อมวลมนุษยชาติ ดังจะเห็นได้จากสัญญาณต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับโลกของเราในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทั้งธารน้ำแข็งขั้วโลกละลาย คลื่นความร้อนในยุโรป ไฟป่าที่ออสเตรเลีย รวมถึงน้ำท่วมอย่างรุนแรงจากภาวะฝนที่ตกหนักอย่างผิดปกติในหลายประเทศ นอกจากนี้สำนักงานพลังงานสากล (IEA) ยังระบุว่า โลกเราได้ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้นในทุกปี มีเพียง ปี 2563 ที่การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลดลง เนื่องจากเป็นช่วงที่เกิดการระบาดของโควิด-19 ที่ทำให้เศรษฐกิจต้องหยุดชะงัก แต่ IEA ได้คาดการณ์ว่าใน พ.ศ. 2564 การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้กลับมาเพิ่มขึ้นเกือบเท่าระดับของ พ.ศ. 2562
สำหรับสิ่งที่ใกล้ตัวแสนสิริและ Ecosystem ของภาคอสังหาริมทรัพย์นั่นก็คือขบวนการออกแบบที่อยู่อาศัยในภาพรวมและการควบคุมการปล่อยของเสียที่ทำร้ายโลก โดยแสนสิริได้จัดทำกระบวนการขับเคลื่อนเชิงกลยุทธ์ 4 ด้านหลักเพื่อมุ่งสู่ Thailand’s First Real-Estate Company to Set Target for Net-zero เพื่อสร้างความยั่งยืนทางธุรกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งอัดแน่นไปด้วยรายละเอียดดังนี้
1. Process : แสนสิริจะมีกระบวนการตรวจสอบที่เข้มข้นและได้มาตรฐาน สร้างเป้าหมายที่จะบรรลุได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยเริ่มจากการเข้าร่วมเป็นสมาชิกเครือข่ายคาร์บอนนิวทรัลประเทศไทยซึ่งเป็นเครือข่ายที่จัดตั้งโดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก จากนั้นจะเข้าร่วมโครงการขยายผลกิจกรรมชดเชยคาร์บอน เพื่อสนับสนุนตลาดคาร์บอนภาคสมัครใจภายในประเทศปีที่ 9 หรือ TCOP9 ซึ่งจะช่วยให้สามารถจำแนกแหล่งปล่อย และประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกับโครงการและทุกกระบวนการทำงานของแสนสิริ ให้เกิดการทำงานอย่างเป็นรูปธรรม และวัดผลได้อย่างชัดเจน
2. Product : แสนสิริมุ่งพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น มุ่งสู่การใช้พลังงานสะอาด ใช้ทรัพยากรอย่างมีคุณค่า และลดขยะให้ได้มากที่สุด ประกอบไปด้วย ทุกโครงการของแสนสิริต้องใช้พลังงานสะอาด โดยในปี 2021 (พ.ศ.2565)เป็นต้นไป ส่วนกลางของทุกโครงการใหม่จะเป็นโซลาร์ รูฟ ตลอดจนบ้านของแสนสิริที่เปิดตัวใหม่จะเป็นโซลาร์ รูฟ รวมกว่า 50% และ 100% ทุกหลัง ในปี 2030 (พ.ศ. 2573) รวมถึงไฟถนนในโครงการแสนสิริทุกโครงการใหม่จะใช้พลังงานแสงอาทิตย์ 100% ในปี 2030 (พ.ศ. 2573) เช่นกัน (ปัจจุบันไฟส่องสว่างในสวนส่วนกลางในทุกโครงการใหม่เป็นไฟที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ 100%) ถัดมาคือการใช้รถยนต์พลังงานสะอาดด้วยการเปลี่ยนรถผู้บริหารทุกคันของบริษัทเป็นรถ EV ในต้นปี 2021 (พ.ศ. 2564) และได้ติดตั้ง EV Charger ในทุกโครงการในปี 2025 (พ.ศ. 2568) รวมถึงจะติดตั้งในบ้านทุกหลังภายในปี 2030 (พ.ศ. 2573) ถัดมาคือการใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยจะเริ่มใช้ในสัดส่วน 50% ในปี 2022 (พ.ศ.2565) และเพิ่มเป็น 70% ในปี 2025 (พ.ศ.2568) ของวัสดุที่แสนสิริจัดซื้อ รวมถึงการมุ่งสู่บ้านประหยัดพลังงาน โดยภายในปี 2025 (พ.ศ.2568) บ้านโครงการใหม่ของแสนสิริ 50% จะเป็นบ้านเย็นและประหยัดพลังงาน (Cooliving Designed Home) และเพิ่มขึ้นเป็น 70% ใน 2030 (พ.ศ. 2573) ตลอดจนบ้านแสนสิริทุกหลังต้องใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าประหยัดไฟเบอร์ 5 ทุกชิ้น และใช้หลอดไฟ LED ประหยัดพลังงานทุกดวง นอกจากนี้การก่อสร้างในทุกโครงการต้องลดขยะได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยขยะจากการก่อสร้างจะนำมารีไซเคิลและรียูสได้ 70% ภายใน 2025 (พ.ศ. 2568) รวมถึงกระบวนการผลิตของโรงงานพรีคาสต์ จะก่อให้เกิดขยะไม่เกิน 2% ภายใน 2022 (พ.ศ. 2565) และที่สำคัญทุกโครงการแสนสิริต้องมีระบบ Waste Management เพื่อลดคาร์บอนและขยะสู่โลก โดยทุกโครงการต้องมีถังแยกขยะ (Waste to Worth) และมีเป้าหมายจับมือพันธมิตรเพื่อให้การแยกขยะมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
3. Partners : พันธมิตรพลังบวก โดยแสนสิริได้ร่วมมือกับพันธมิตรได้รู้จักการตั้งเป้าหมายลดการผลิตก๊าซเรือนกระจกอย่างจริงจังเพื่อตั้งเป้าหมายร่วมกัน ซึ่งขณะนี้มีคู่ค้าที่เข้าร่วมเป็นพันธมิตรจากองค์กรขนาดใหญ่มากมาย อาทิ ทีโอเอ, คอตโต้, ไดกิ้น,เอสบี เฟอร์นิเจอร์, ยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย, โคคา-โคลา (ประเทศไทย), บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด, บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน), GC เป็นต้น และอยู่ระหว่างการหารือกับสถาบันการเงิน เพื่อร่วมจัดทำสินเชื่อพิเศษ (Pre & Post Finance) ที่ให้อัตราดอกเบี้ยพิเศษสำหรับโครงการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และในอนาคตจะมีการสนับสนุนให้ทุกพันธมิตรใน Ecosystem ของแสนสิริลงนามความร่วมมือว่าด้วย Net-zero ร่วมกัน
4. Investment : การลงทุนในทุกมิติ จะมุ่งเน้นในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการลดคาร์บอนโดยตรงและทางอ้อม โดยในเบื้องต้นได้กำหนดงบลงทุนไว้ 500 ล้านบาท สำหรับระยะเวลา 3 ปี โดยจะเน้นลงทุนในธุรกิจเทคโนโลยีเพื่อพลังงานสะอาด เทคโนโลยีสุขภาพ เทคโนโลยีการเกษตร เทคโนโลยีด้านอาหาร ซึ่งทุกธุรกิจจะต้องรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและเป็นมิตรต่อสังคม
“โมเดลของแสนสิริจะเป็นอีกหนึ่งแรงขับเคลื่อนการมุ่งสู่อุตสาหกรรมคาร์บอนต่ำ เพื่อสนับสนุนให้ประเทศไทยบรรลุถึงเป้าหมาย Net Zero ที่ได้ให้ไว้กับประชาคมโลก ซึ่งแสนสิริเองเราขออาสาที่จะทำภารกิจนี้อย่างจริงจังและเร่งด่วนใน 4 มิติ Process- Product – Partners – Investment เพื่อเข้าสู่เป้าหมาย Thailand’s First Real-Estate Company to Set Target for Net-zero หรือรายแรกของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ไทยที่กล้าประกาศตั้งเป้า Net-zero อย่างเป็นรูปธรรม ผ่านกระบวนการตรวจสอบที่เข้มข้นและได้มาตรฐาน การใช้พลังงานสะอาด ใช้ทรัพยากรอย่างมีคุณค่า และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ร่วมมือกับเพื่อนของแสนสิริที่เป็นพันธมิตรพลังบวก ตลอดจนร่วมลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการลดคาร์บอนโดยตรงและทางอ้อม เพื่อให้มั่นใจได้ว่าทุกกระบวนการทำงานของแสนสิริจะเป็นพลังงานสะอาด และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากที่สุด เพื่อช่วยสร้างแรงกระตุ้นการรับรู้ของสังคมให้เกิดการตระหนักถึงการมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาวิกฤตสิ่งแวดล้อมที่ทุกคนสามารถทำได้ โดยเริ่มจากบ้านซึ่งเป็นหน่วยเล็กๆ ที่เป็นที่อยู่อาศัยของทุกคน เพื่อร่วมกันสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ให้กับโลกของเรา” นายเศรษฐา กล่าว