เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ เผยผลประกอบการประจำปี 2563 ทำรายได้ 7,443.81 ล้านบาท เติบโต 22.36% ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ พร้อมทำกำไรสุทธิถึง 199.34 ล้านบาท หลังปรับกลยุทธ์เน้นสร้างกระแสเงินสด ทยอยโอนโครงการสร้างเสร็จใหม่ได้ตามเป้า ควบคู่กับจัดแคมเปญการตลาดช่วยให้ผู้บริโภคเข้าถึงโครงการคุณภาพได้ง่ายขึ้น จนปิดการขายได้ถึง 8 โครงการ พิสูจน์ความสามารถด้านการบริหารจัดการสภาพคล่องภายใต้ภาวะกดดันทางเศรษฐกิจโลก พร้อมเดินหน้าสู้ศึกธุรกิจอสังหาฯอย่างแข็งแกร่ง ในปี 2564
นางสาวเพชรลดา พูลวรลักษณ์ กรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ MJD หนึ่งในผู้นำด้านการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยระดับลักซ์ชัวรี่ เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานประจำปี 2563 (มกราคม - ธันวาคม 2563) ของบริษัทมีรายได้รวมทุกประเภทธุรกิจทั้งสิ้น 7,443.81 ล้านบาท เติบโตขึ้น 22.36% จากช่วงเดียวกันในปี 2562 ที่ทำรายได้อยู่ที่ 6,083.42 ล้านบาท โดยเป็นรายได้จากการดำเนินธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์เป็นหลัก เนื่องจากบริษัททยอยส่งมอบโครงการที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จได้อย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน บริษัทยังสามารถรักษายอดขายและสร้างกำไรสุทธิรวม 199.34 ล้านบาท แม้ต้องเผชิญกับภาวะกดดันทางเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบภายในประเทศและทั่วโลก
"การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 นับเป็นโจทย์ที่ท้าทายที่สุดของทุกอุตสาหกรรมในปีที่ผ่านมา พฤติกรรมการจับจ่ายของผู้บริโภคลดลง เนื่องจากความกังวลเรื่องการแพร่ระบาดของโรคและการล็อคดาวน์ ขณะเดียวกัน กำลังซื้อของผู้บริโภคก็หดตัวลงจากความผันผวนทางเศรษฐกิจ เราเองถือเป็นหนึ่งในบริษัทที่ปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว และมีความเข้าใจในพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป จึงเพิ่มช่องทางการตลาดและการขายผ่านออนไลน์ จัดแคมเปญทางการตลาด อาทิ แคมเปญ Secret Deal และ Major Sale พร้อมทั้งอำนวยความสะดวกในการโอนกรรมสิทธิ์ เพื่อช่วยให้ผู้บริโภคเข้าถึงโครงการคุณภาพได้ง่ายขึ้น เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์จึงสามารถระบายสินค้ารอการขาย หรือ Inventory ได้ตามเป้าหมาย รักษาระดับกระแสเงินสดของบริษัทได้อย่างยอดเยี่ยม มีการบริหารจัดการสภาพคล่องภายในองค์กรได้อย่างมีเสถียรภาพ ส่งผลให้ผลประกอบการเติบโตขึ้นจากปี 2562 จนเป็นที่น่าพอใจ แม้อยู่ท่ามกลางภาวะกดดันทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นภายในประเทศไทยและทั่วโลก" นางสาวเพชรลดา กล่าว
ทั้งนี้ ในปี 2563 ที่ผ่านมา เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ สามารถปิดการขายโครงการที่อยู่อาศัยได้ถึง 8 โครงการ เช่น
เอ็ม สีลม,
เอ็ม ทองหล่อ,
มาเอสโตร 02 ร่วมฤดี,
มาเอสโตร 07 อนุสาวรีย์ฯ,
มาเอสโตร 12 ราชเทวี, และ
มาร์ค สุขุมวิท เป็นต้น นางสาวเพชรลดา กล่าวอีกว่า การจัดการ Inventory ได้อย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยเพิ่มความคล่องตัวในการต่อยอดธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว โดยคาดว่าภาพรวมเศรษฐกิจไทยและตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2564 จะเริ่มทยอยฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ผู้บริโภคมีความอ่อนไหวน้อยลง เกิดการเรียนรู้ และมีการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้ดีขึ้น ทั้งยังมีความหวังว่าเศรษฐกิจโลกจะกลับมาฟื้นตัวและขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง หลังจากมีการกระจายวัคซีนโควิด-19 ในหลายประเทศทั่วโลก และเมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ยังคงมุ่งมั่นที่จะนำเอาประสบการณ์จากการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยที่เปี่ยมด้วยคุณภาพกว่า 20 ปี ภายใต้แนวคิด ?CRAFTING LIFESCAPE TO EXCELLENCE? มาส่งมอบประสบการณ์การอยู่อาศัยที่ดีที่สุดให้กับลูกบ้าน โดยการพัฒนาสินค้าที่อยู่อาศัยและค้นหา Living Solution ใหม่ๆ ให้สอดรับกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจนเมื่อก้าวเข้าสู่ยุค New Normal
"ในบริบทนี้ เราเชื่อว่าการบริหารจัดการกระแสเงินสด คือ Key Success ที่ทำให้เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ สามารถก้าวข้ามบทพิสูจน์ที่ท้าทายที่สุดในปีที่ผ่านมาได้ และในปี 2564 นี้ เราเชื่อว่าธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยจะเริ่มมีการปรับตัวดีขึ้น แต่ก็ไม่ควรประมาทเช่นกัน จำเป็นต้องจับตามองสถานการณ์รอบตัวอย่างใกล้ชิด ซึ่งการวางรากฐานที่ดีและแม่นยำของบริษัทในปีก่อนหน้าจะกลายเป็นกำลังสำคัญให้เราพร้อมรับมือกับทุกเหตุการณ์และยังขับเคลื่อนธุรกิจต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ" นางสาวเพชรลดา กล่าว
สำหรับปี 2564 บริษัทมียอดรอรับรู้รายได้ (Backlog) ที่จะทยอยรับรู้ในปีนี้ถึงราว 3,800 ล้านบาท (รวมโครงการร่วมทุนได้แก่ โครงการ มิวนิค สุขุมวิท 23) นอกจากนี้บริษัทมีห้องในโครงการพร้อมอยู่อีกมูลค่ากว่า 8,000 ล้านบาท (รวมโครงการร่วมทุนได้แก่ โครงการ มิวนิค สุขุมวิท 23) ซึ่งคาดว่าจะขายและรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่อง และจะเป็นส่วนสำคัญให้รายได้ในปีนี้ยังมีโอกาสเติบโตต่อเนื่อง
บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับลักซ์ชัวรี่ มีธุรกิจหลักในเครืออยู่ 3 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่
1.กลุ่มธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย
2.กลุ่มโครงการอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ และ
3.กลุ่มธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์ มีวิสัยทัศน์ในการเติบโตอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างโครงการระดับ ลักซ์ชัวรี่ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค