โนเบิลเผยผลประกอบการไตรมาสที่ 3 กำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติ 9M/63 1,238 ล้านบาท เติบโต 304% YoY
บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (บริษัทฯ) โชว์ผลประกอบการโดดเด่นประจำไตรมาสที่ 3 ปี 2563 สร้างรายได้รวมจากการดำเนินงานปกติ (ไม่รวมรายได้พิเศษจากการขายที่ดินรอการพัฒนา) 3,389 ล้านบาท และกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติ (ไม่รวมกำไรพิเศษจากการขายที่ดินรอการพัฒนา) สูงถึง 524 ล้านบาท เติบโตขึ้น 308% YoY และ 18,285% YoY ตามลำดับ และสำหรับงวด 9 เดือนแรก ปี 2563 บริษัทฯ มีรายได้รวมจากการดำเนินงานปกติจำนวน 7,412 ล้านบาท และกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติจำนวน 1,238 ล้านบาท เติบโตขึ้น 102% YoY และ 304% YoY ตามลำดับ โดยบริษัทฯ มั่นใจว่าจะสามารถสร้างรายได้ทั้งปี 2563 ได้มากกว่า 10,000 ล้านบาท ตามที่ตั้งเป้าไว้ ตอกย้ำความแข็งแกร่งและสถานะความเป็นผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ได้อนุมัติการเปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นของบริษัทฯ ที่ตราไว้ (Par Value) จากเดิมหุ้นละ 3 บาท เป็นหุ้นละ 1 บาท และได้เตรียมแจกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญใหม่ของบริษัทฯ ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมในอัตราส่วน 4 หุ้นสามัญเดิม : 1 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิ
นายธงชัย บุศราพันธ์ ประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้รายได้และผลกำไรสุทธิของบริษัทฯ เติบโตอย่างมหาศาลในไตรมาสนี้ มาจากยอดรับรู้รายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดและโครงการบ้านที่ก่อสร้างแล้วเสร็จจากลูกค้าทั้งไทยและต่างประเทศ เช่น โครงการ โนเบิล บี 19 สุขุมวิท โครงการโนเบิล เพลินจิต โครงการโนเบิล บี 33 สุขุมวิท และโครงการโนเบิล รีโคล สุขุมวิท 19 เป็นต้น โดยเป็นยอดโอนจากตลาดต่างประเทศไปกว่า 2,000 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของบริษัทฯ ที่สามารถครองความเป็นผู้นำตลาดอสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศได้อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังส่งผลให้บริษัทฯ มีส่วนแบ่งตลาดสูงถึง 37% ของยอดขายรวมจากทุกผู้ประกอบการในการขายคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ และปริมณฑลสำหรับลูกค้าต่างชาติในช่วง 9 เดือนแรก ปี 2563
บริษัทฯ ยังประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากจากการเปิดตัวโครงการใหม่ในไตรมาส 3 ปี 2563 จำนวน 3 โครงการภายใต้แบรนด์ "นิว" (NUE) ได้แก่ โครงการ นิว โนเบิล งามวงศ์วาน โครงการ นิว โนเบิล รัชดา - ลาดพร้าว และโครงการ นิว โนเบิล ไฟฉาย - วังหลัง โดยสามารถทำยอดขายพรีเซลได้กว่า 40%-60% ในแต่ละโครงการ ส่งผลให้ปัจจุบันบริษัทฯ มียอดขาย พรีเซลรวมกว่า 6,100 ล้านบาท ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 โดยกว่า 3,000 ล้านบาท เป็นยอดขายจากโครงการที่สร้างเสร็จพร้อมอยู่ ซึ่งสามารถรับรู้รายได้ทันทีและยังช่วยเพิ่มสภาพคล่องที่แข็งแกร่งให้กับบริษัทฯ ได้อีกด้วย ทั้งนี้บริษัทฯ มีรายได้ที่รอการรับรู้ (Backlog) ณ สิ้นสุด ไตรมาส 3 ปี 2563 กว่า 15,000 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้ภายใน 2-3 ปีข้างหน้า
นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติให้เปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นของบริษัทฯ ที่ตราไว้ (Par Value) จากเดิมหุ้นละ 3 บาท เป็นหุ้นละ 1 บาท เพื่อเพิ่มสภาพคล่องของการซื้อขายหุ้นของบริษัทฯ แก่นักลงทุน โดยจำนวนหุ้นสามัญของบริษัทฯ จะเพิ่มขึ้นจาก 456,471,175 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 3 บาท เป็น 1,369,413,525 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท และยังได้มีมติอนุมัติให้ออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญใหม่ของบริษัทฯ รุ่นที่ 2 หรือ NOBLE-W2 โดยไม่คิดมูลค่าให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทฯ ในสัดส่วน 4 หุ้นสามัญเดิม : 1 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิ ไม่เกิน 342,353,381 หน่วย และราคาแปลงสิทธิที่ 8.00 บาท (ในกรณีที่ผู้ถือหุ้นมีมติให้เปลี่ยนแปลงมูลค่าที่ตราไว้ของหุ้น) โดย Warrants ดังกล่าวมีอายุ 3 ปี และสามารถเริ่มใช้สิทธิได้หลังครบ 1 ปี นับแต่วันที่ออกใบสำคัญแสดงสิทธิ (เริ่มใช้สิทธิครั้งแรกได้ในเดือนมิถุนายน 2565) ซึ่งวัตถุประสงค์ของการแจก Warrants ในครั้งนี้เพื่อใช้เป็นเงินลงทุนในอนาคต จากนโยบายของบริษัทฯ ที่พร้อมเดินหน้าขยายธุรกิจเพิ่มขึ้น และช่วยเสริมให้บริษัทฯ มีฐานเงินทุนที่แข็งแกร่งมากขึ้นสำหรับการดำเนินงานในอีก 3 ปีข้างหน้า เพื่อรองรับการเป็นผู้นำ Top 5 ของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย โดย ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2563 บริษัทฯ มีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นเท่ากับ 1.28 เท่า ลดลงจาก 1.58 เท่าจากสิ้นปี 2562 นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากทริสเรทติ้งที่ระดับ BBB และได้รับการปรับแนวโน้มอันดับเครดิตเป็น "Stable" เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2563 ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ภายหลังจากที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติวาระดังกล่าว ทางบริษัทฯ ได้เตรียมจัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1 ประจำปี 2563 ในวันที่ 23 ธันวาคม 2563 นี้ เพื่อนำวาระพิจารณาการเปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นของบริษัทฯ ที่ตราไว้ และการออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญใหม่ในการขอมติเห็นชอบจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น และคาดว่าการปรับมูลค่าที่ตราไว้ดังกล่าว จะมีผลต่อการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ในช่วงต้นเดือนมกราคม 2564 และ Warrants คาดว่าจะเข้าทำการซื้อขายในช่วงกลางเดือนมกราคม 2564 ต่อไป