"วัน ออริจิ้น" วางแผนโตระยะยาว เตรียมเปิด โรงแรม-ออฟฟิศ-รีเทล มูลค่ารวมกว่า 20,000 ลบ.
วัน ออริจิ้น รับภารกิจใหญ่จากบริษัทแม่ ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ วางแผนระยะยาว เพื่อเป็นหัวหอกในการดำเนินธุรกิจสร้างรายได้ประจำให้กับทางกลุ่มฯ ด้วยการลงทุนพัฒนาโรงแรม-ออฟฟิศ-รีเทล ในหลากหลายทำเลศักยภาพ โรงแรม รวมกว่า 3,420 ห้อง พื้นที่ออฟฟิศและพื้นที่ค้าปลีกรวมกว่า 16,000 ตร.ม. ทั้งในกรุงเทพ และโซน EEC มูลค่าโครงการรวมกว่า 20,000 ล้านบาท (ประมาณการมูลค่าสินทรัพย์รวม) ภายในปี 2566 พร้อมตอบรับโลก Digital Disruption ด้วย Open Platform : เติบโตไปด้วยกัน เนื่องจากมีพันธมิตรหลายรายสนใจเข้าร่วมลงทุน มั่นใจโรงแรมสร้างเสร็จใหม่ 2 แห่งหนุนปี 63 และคาดว่าจะสามารถสร้างกำไรให้กับกลุ่มบริษัทฯ 500 ล้านบาทต่อปี ภายในปี 2568
แผนการลงทุนและการเติบโตในระยะยาวของบริษัทสามารถโตไปพร้อมกับพันธมิตร ซึ่งจะสามารถสร้างทั้งการเติบโตของธุรกิจ ช่วยเสริมกำลังการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ และยังเข้ามาช่วยผนึกกำลังทำงานร่วมกัน เติมเต็มโนว์ฮาว เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจให้ก้าวไปได้เร็ว และสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น และยังเป็นโมเดลแบบ Win-Win Situation ที่ทำให้บริษัทได้คู่คิดมาช่วยกันพัฒนาและสร้างสรรค์แต่ละโครงการให้มีเอกลักษณ์ มีสไตล์ มีสินค้าและบริการที่หลากหลาย โดยพันธมิตรในปัจจุบันของกลุ่มบริษัท มีหลากหลายรูปแบบ ได้แก่
- การลงทุนในลักษณะพันธมิตรร่วมทุน (JV Partner)
- การเข้ามาเป็นผู้บริหารจัดการโรงแรมในเครือ (Hotel Operator)
- การเข้ามาเป็นผู้เช่าพื้นที่ (Tenant)
- ผู้บริหารพื้นที่เช่า (Property Leasing and Management)
- เจ้าของที่ดิน (Land Owner) ที่มีที่ดินพร้อมร่วมลงทุนพัฒนากับวัน ออริจิ้น ซึ่งโมเดลนี้ บริษัทเปิดกว้างสำหรับบริษัทอื่นๆ ทั้งไทยและต่างประเทศ
สำหรับธุรกิจพื้นที่พาณิชย์ (Commercial Space) ของวัน ออริจิ้น อันได้แก่ พื้นที่อาคารสำนักงาน และพื้นที่ค้าปลีกนั้น บริษัทจะมุ่งเน้นการพัฒนาและสรรหาพันธมิตร ไม่ว่าจะเป็น
- นักลงทุน (Investor)
- กลุ่มพันธมิตรทางธุรกิจ (Business Partner)
- กลุ่มร้านอาหารขนาดใหญ่ (Mega Food Chain)
- กลุ่มซูเปอร์มาร์เก็ต (Hypermart)
- กลุ่มบริการพื้นที่สำนักงาน (Office service and co-working space)
- กลุ่มร้านค้าปลีกขนาดเล็ก (Outlet)
- กลุ่มร้านสะดวกซื้อ (Convenience store)
- กลุ่มบริการขนส่งและโลจิสติกส์ (Delivery and Logistics)
มาร่วมกันตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และความต้องการของผู้บริโภคในยุค Lazy Economy ซึ่งไม่เพียงแต่ต้องการขยายความสามารถในการครอบคลุมตลาด แต่ต้องการเพิ่มศักยภาพจากผลตอบแทนการลงทุนที่มากกว่าแค่การเช่าพื้นที่และทำธุรกิจ
บริษัทมีแผนพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์และทยอยเปิดให้บริการจนถึงปี 2566 รวมไม่น้อยกว่า 11 โครงการ ในหลากหลายทำเลสำคัญเกาะแนวเส้นทางขนส่งมวลชนที่สำคัญอย่างรถไฟฟ้าสายต่างๆ ในกรุงเทพฯและปริมณฑล และพื้นที่เศรษฐกิจที่สำคัญอย่างเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) รวมมูลค่าโครงการกว่า 20,000 ล้านบาท (ประมาณการมูลค่าสินทรัพย์รวม) ประกอบด้วย
- โรงแรมและเซอร์วิสอะพาร์ตเมนต์ รวมไม่น้อยกว่า 3,420 ห้องพัก ครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์ มุ่งเน้นเจาะลูกค้ากลุ่มธุรกิจ (Business Purpose) และกลุ่ม Budget Hotel ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีเสถียรภาพและมีอัตราการเข้าพักที่สม่ำเสมอทั้งในช่วงโลว์ซีซั่นและไฮซีซั่น
- กลุ่ม Commercial Space เช่น อาคารสำนักงานให้เช่า พื้นที่ค้าปลีก รวมไม่น้อยกว่า 16,000 ตร.ม. โดยโครงการส่วนใหญ่จะเป็นลักษณะ Mixed-use ผสมผสานการใช้ประโยชน์ด้วยอสังหาริมทรัพย์หลากหลายประเภท สร้างรายได้จากหลายรูปแบบ สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับโครงการ และทำให้แต่ละโครงการมีศักยภาพพร้อมเป็นแลนด์มาร์คใหม่ของทำเลนั้นๆ
ภายใต้แผนการพัฒนาโครงการมูลค่ากว่า 20,000 ล้านบาท (ประมาณการมูลค่าสินทรัพย์รวม) มีโครงการที่ก่อสร้างเสร็จและเปิดให้บริการแบบ Soft Opening แล้ว 2 แห่ง ได้แก่ โรงแรมสเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก ทองหล่อ และโรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ แอนด์ สวีทส์ ศรีราชา แหลมฉบัง รวม 650 ห้องพัก ถือเป็นความสำเร็จที่สำคัญของทั้งบริษัทและพันธมิตรดั้งเดิมอย่างบริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำจากญี่ปุ่น และ Hotel Operator ชั้นนำของโลกอย่างเครือโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล (IHG)
โรงแรมและเซอร์วิสอะพาร์ตเมนต์ ครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์ กระจายตัวตามทำเลศักยภาพในกรุงเทพฯ
โรงแรมและเซอร์วิสอะพาร์ตเมนต์ กระจายอยู่บนทำเลศักยภาพของ EEC (ชลบุรีและระยอง)
ทั้งนี้ บริษัทยังมีโครงการอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ที่รอการพัฒนาและอยู่ระหว่างการพัฒนาในหลากทำเล อาทิ พญาไท สุขุมวิท, รามอินทรา, ศรีราชา, ระยอง ฯลฯ โดยมีพันธมิตรใหม่สนใจร่วมลงทุนเพิ่มใน 3 โครงการ ขณะเดียวกัน บริษัท ยังมองหาโอกาสการควบรวมและ/หรือซื้อกิจการ (M&A) เพื่อช่วยสร้างโอกาสในการดำเนินธุรกิจอีกด้วย จากแผนงานของบริษัทฯ ภายในปี 2568 บริษัทคาดว่าจะสามารถสร้างกำไรให้กับกลุ่มได้ 500 ล้านบาทต่อปีตามแผน
ผู้สนใจร่วมเป็นพันธมิตรกับบริษัทสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ investment@oneorigin.co.th หรือ
https://www.origin.co.th/