โนเบิล ประกาศผลประกอบการไตรมาสที่ 1 ปี 62 เผยกำไรสุทธิต่อไตรมาสสูงสุดของบริษัทฯ
บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (SET: NOBLE) ประกาศสถิติใหม่จากผลประกอบการไตรมาสที่ 1 ด้วยยอดขายรวม 3,670 ล้านบาท และผลกำไรสุทธิหลังภาษีกว่า 1,300 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นอัตรากำไรสุทธิต่อยอดขาย (Net Profit Margin) ที่สูงมากถึง 36%
นายธงชัย บุศราพันธ์ ประธานกรรมการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม และกรรมการผู้จัดการของบริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "ผลประกอบการประจำไตรมาสที่หนึ่งปี 2562 นี้เป็นสถิติที่ดีที่สุดของการดำเนินการ นับแต่บริษัทฯ ได้ก่อตั้งมาทั้งในส่วนของรายได้ ผลกำไร ผลกำไรสุทธิ รวมถึงอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ในครั้งนี้มาจากความตั้งใจของทีมบริหาร ซึ่งทีมมีความมุ่งมั่นที่จะสร้างผลประกอบการที่ดีและมั่นคงให้กับบริษัทฯ ต่อไป"
นอกจากสถิติใหม่ของกำไรสุทธิในไตรมาสแรก โนเบิลฯ ก็ยังได้สร้างสถิติใหม่ของยอดขายที่รอการรับรู้รายได้ (Backlog) ในไตรมาสที่ 1 มูลค่ากว่า 2,300 ล้านบาท ซึ่งมียอดรวมเติบโตขึ้น 15% หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 18,200 ล้านบาทที่สามารถรับรู้รายได้ในช่วงสามปีข้างหน้า
นายธงชัย กล่าวว่า "การเพิ่มขึ้นของยอดขายที่รอการรับรู้รายได้ในครั้งนี้ ถือว่าเป็นผลการดำเนินงานทางตลาดที่โดดเด่นเป็นอย่างมาก เนื่องจากยอดขายดังกล่าวไม่ได้เป็นยอดขายที่เกิดจากการเปิดโครงการใหม่ แต่เกิดขึ้นจากโครงการที่บริษัทฯ ได้ทำการเปิดขายไปแล้วก่อนหน้านี้ ซึ่งการเพิ่มขึ้นของยอดขายส่วนหนึ่งนั้นมาจากการดำเนินการทางการตลาดในต่างประเทศของบริษัทฯ ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี นอกจากนั้นกว่า 50% ของยอดขายดังกล่าวจะสามารถรับรู้รายได้ในปีนี้ และจะเป็นส่วนสำคัญของผลประกอบการในไตรมาสที่เหลือของปี 2562"
นายแฟรงค์ เหลียง รองประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม กล่าวว่า "การตัดสินใจก้าวเข้าสู่ตลาดต่างประเทศอย่างเต็มตัวของโนเบิลฯ เป็นก้าวสำคัญในการขยายธุรกิจของบริษัทฯ ที่มีส่วนช่วยให้บริษัทฯ มียอดขายที่รอการรับรู้รายได้กว่า 1,600 ล้านบาทในไตรมาส 1 ซึ่งหากเปรียบเทียบเป็นตัวเลขจะมีมูลค่ากว่า 68% ของยอดขายอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศของปี 2561 ทั้งปี ด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดนี้ส่งผลให้โนเบิลฯ ขึ้นมาเป็นผู้นำของตลาดอสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศในไตรมาสแรกนี้"
ด้วยผลประกอบการที่โดดเด่นในไตรมาส 1 ทำให้อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน ณ วันสิ้นสุดไตรมาสแรกเท่ากับ 2.0 เท่า โดยนายแฟรงค์ เหลียงได้กล่าวว่า "การจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลที่มูลค่า 6.9 บาทต่อหุ้นนั้นไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อการบริหารและการดำเนินงาน เนื่องจากทางบริษัทฯ มีกระแสเงินสดที่เกิดจากการดำเนินงานและผลประกอบการที่ดีในไตรมาสแรก นอกจากนี้บริษัทฯ ได้มุ่งมั่นบริหารงานเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้น ซึ่งเห็นได้ว่าในไตรมาสแรกนี้ส่วนของผู้ถือหุ้นมีการปรับเพิ่มขึ้นถึง 27% จากไตรมาสที่แล้ว
นายธงชัย กล่าวว่า "ถึงแม้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในไตรมาสแรกนี้จะนับได้ว่าเป็นสถิติใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่นี่ยังเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของแผนงานที่ได้วางไว้สำหรับอีก 3 ปีข้างหน้า โดยในปีนี้บริษัทฯ ได้เตรียมที่จะเปิดตัวอีก 4 โครงการใหม่ ซึ่งมีมูลค่ารวมกว่า 18,000 ล้านบาท และบริษัทฯ ได้ตั้งเป้าที่จะลงทุนขยายโครงการและขยายฐานกลุ่มลูกค้าเป้าหมายในตลาดให้มากขึ้น รวมทั้งจะขยายการลงทุนโครงการเพิ่มในต่างประเทศ ซึ่งบริษัทฯ มีความพร้อมและตั้งใจเป็นอย่างมากที่จะเดินหน้าต่อไปสู่เป้าหมายตามที่ได้วางแผนไว้"