รีวิว Ford Everest รถอเนกประสงค์ SUV ใหม่ สุดหรูหรา สะดวกสบาย ปลอดภัยที่สุดสำหรับครอบครัว
Ford Everest รถอเนกประสงค์ SUV หรือ PPV ใหม่ล่าสุดเพิ่มความพรีเมี่ยม หรูหรา และสะดวกสบายในทุกการเดินทาง ให้ความนุ่มนวล โอ่อ่า กว้างขวางในทุกที่นั่ง สมรรถนะเพียงพอสำหรับการเดินทาง สำหรับในรุ่นท็อปสุด
Titanium+ 2.0L Bi-turbo 4x4 AT ขุมพลัง ดีเซล 2.0 ลิตร
Bi-Turbo กำลังสูงสุด 213 แรงม้า แรงบิด 500 นิวตันเมตร พร้อมเกียร์ 10 สปีด ราบรื่น และเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนได้ทุกแพลตฟอร์ม และเป็นเจ้าแรกๆ ที่มีระบบควบคุมความเร็วแปรผัน
Adaptive cruise control ระบบเตือนการชนด้านหน้า
Forward Collision Warning System และระบบช่วยจอดแบบขนาด
Active Park Assist มาให้ด้วย
สำหรับการทดสอบครั้งนี้ ได้สัมผัสกับ
Titanium+ 2.0L Bi-turbo 4x4 AT ที่นับเป็นรุ่นท็อปสุด สีน้ำเงิน
Deep Crystal Blue ใหม่ล่าสุด กับค่าตัว
1,799,000 บาท จะให้ความสะดวกสบาย พร้อมสมรรถนะและความปลอดภัยดีแค่ไหนไปพิสูจน์กันครับ
ภายนอกปรับใหม่ หรูหรา พรีเมียมขึ้น
Ford Everest Titanium+ 2.0L Bi-turbo 4x4 AT รุ่นปี 2020 หรือจะเรียกข้ามไปเป็น 2021 ก็ได้ มาพร้อมการปรับโฉมเล็กน้อย ด้วยกระจังหน้าดีไซน์ใหม่ ตัวอักษร
"EVEREST" ที่ฝากระโปรงหน้า ไฟหน้าดีไซน์หรูหราด้วย LED Projector ไฟต่ำ และส่วนของไฟสูงเป็นมัลติรีเฟลกเตอร์พร้อมหลอดแบบ LED หรือจะเรียกว่าเป็น Bi-LED ก็ย่อมได้ สามารถเลือกเป็นโหมด AUTO เปิด-ปิดอัตโนมัติ และมีระบบปรับไฟสูงลงมาต่ำอัตโนมัติ เมื่อมีรถสวนทาง และ LED Daytime running light ขอบล่างของโดมไฟสว่างโดดเด่น
เจ้าแรกที่ให้หลังคา Panoramic moonroof ในเซกเมนต์ PPV ที่ด้านข้างมาพร้อมกาบบันได กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยว LED ตกแต่งวัสดุโครเมี่ยมที่กระจกมองข้าง และมือจับประตู ราวจับยึดสัมภาระหลังคาสีเงิน เสาอากาศแบบสั้น
ส่วนท้ายโดดเด่นด้วยไฟ LED พร้อมระบบเปิด-ปิดประตูไฟฟ้า กับฟังก์ชัน Handfree (เตะเปิด) ที่นับเป็นเจ้าแรกๆ ที่ติดตั้งในรถกลุ่มนี้ ปิดท้ายด้วยล้อแม็ก 20 นิ้ว ไซน์โตดีไซน์สวยหรู ลงตัวกับขนาดรถได้เป็นอย่างดี
ภายในคงความสะดวกสบาย หรูหราและฟังก์ชันใช้งานที่ครบถ้วน เริ่มที่เบาะคู่หน้าฝั่งคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง พร้อมดันหลังแบบปรับด้วยมือ เบาะฝั่งข้างคนขับปรับไฟฟ้า 4 ทิศทาง พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน ปุ่มควบคุมระบบเอ็นเตอร์เทนเมนต์ฝั่งซ้ายและระบบสั่งการหน้าจอแสดงผลกับควบคุมครูสคอนโทรลทางฝั่งขวา และวัสดุหุ้มหนังให้สัมผัสนุ่มมือ
มาตรวัดตรงกลางบอกความเร็ว ฝั่งซ้ายแสดงการทำงานของระบบเครื่องเสียง ส่วนทางขวาเป็นการแสดงผลต่างๆ ของตัวรถ เช่น วัดความเร็วรอบเครื่องยนต์ ความร้อน อุณหภูมิ นอกจากนี้ยังเลือกเปลี่ยนการแสดงผลดูรายละเอียดได้อีกเพียบ ทั้ง ระดับลมยางทั้ง 4 ล้อ ระดับความเอียงของตัวรถ และยังเป็นจุดแจ้งเตือนการทำงานต่างๆ ได้แก่ ระบบเตือนออกนอกเลน ระบบเตือนการชนด้านหน้า หรือระบบควบคุมความเร็วแปรผัน เป็นต้น
หรูหราด้วยหลังคาชมวิว Panoramic Moonroof เจ้าเดียวใน PPV ที่เป็นกระจกยาวถึงผู้โดยสารตอนหลัง เปิดได้ทั้งแบบกระดกขึ้นและเลื่อนออกได้ครึ่งหนึ่ง พร้อมแผ่นบังแสงลดความร้อนจากกระจก ชายประตูด้านหน้าฝั่งคนขับและคนนั่ง ตกแต่งด้วย สคับแพลต LED
คอนโซลหน้าหุ้มวัสดุนุ่มมือพร้อมเดินด้ายจริง ช่องแอร์ตกแต่งด้วยวัสดุโครเมี่ยม ระบบสั่งงานด้วยเสียง SYNC3 ภาษาไทย หน้าจอสัมผัส Multi-Touch อินโฟเทนเมนต์ตรงกลางขนาด 8 นิ้ว พร้อมฟังก์ชันควบคุมเครื่องเสียง เชื่อมต่อได้ทั้ง Bluetooth และ Wi-Fi รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto ลำโพง 8 ตำแหน่ง และ ระบบแผนที่นำทาง Navigation และเลือกปรับแสงสร้างบรรยากาศในห้องโดยสารหรือ Ambient Lighting ได้ตามต้องการ
ถัดลงมาจากจอเครื่องเสียงมีแผงควบคุมระบบปรับอากาศอัตโนมัติแยกอิสระซ้าย-ขวา หรือ Dual Zone และสามารถควบคุมช่องแอร์ผู้โดยสารตอนหลังได้ด้วย ด้านล่างมีช่องเชื่อมต่อ USB 2 จุดและ 12V อีก 1 จุด พร้อมที่วางของ หัวเกียร์หุ้มหนังพร้อมกับสวิตช์บวกและลบเลือกเปลี่ยนตำแหน่งได้เอง
ที่ฐานเกียร์มีปุ่มควบคุมการทำงานของระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ 4X4 สามารถเลือกปรับรูปแบบโหมดการขับขี่ได้ 4 แบบ คือ ปกติ, ทางหิมะหรือเปียกลื่น, ทรายหรือกรวดลอย และปีนหินหรือผ่านอุปสรรคที่ต้องใช้กำลังในการข้ามผ่านมากๆ นอกจากนี้ยังมีระบบ Electronic Locking Rear Differential ล็อคเฟืองท้ายและระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางชัน Hill Descent Control เพื่อความปลอดภัยขณะลงทางชันมากๆ ได้เป็นอย่างดี
มาถึงเบาะแถวที่ 2 นับว่าเป็นตำแหน่งนั่งสบายที่สุด ตัวเบาขนาดใหญ่ ผิวสัมผัสหนังนุ่มโอบกระชับลำตัวได้ดี และอยู่ในท่านั่งที่เหมาะสม ไม่เอนมากไป ตำแหน่งวางขาระดับพอดีไม่ต่ำหรือสูงเกินไป และยังพับแบบ 60/40 สำหรับการเข้าไปในตำแหน่งแถวที่ 3 ซึ่งตรงจุดนี้การพับและเลื่อนเบาะแถวที่ 2 เพื่อเข้าไปนั่งในเบาะแถวที่ 3 นั้น ค่อนข้างจะแคบและยากสักนิดหน่อย เพราะช่องทางก้าวเข้าไปนั้นเล็ก ประกอบกับตัวรถที่สูง อาจต้องตั้งหลักดีๆ ก่อนจะเข้าไปนั่ง
ในเบาะแถวที่ 3 นั้นการเข้ามานั่งอาจจะลำบากเล็กน้อย แต่เมื่อนั่งได้แล้วตำแหน่งการวางเท้า หลัง และศีรษะมีพื้นที่หลวมๆ พอสมควร มีเพียงช่วงหัวเข่าที่จะติดกับพนักพิงเบาะแถวที่ 2 อยู่พอสมควร อาจต้องเลื่อนขึ้นไปให้คนในเบาะแถวที่ 3 นั่งได้ไม่ติดหัวเข่าเกินไป ส่วนถ้าเป็นเด็กๆ หรือคนตัวเล็กๆ หน่อย น่าจะเหมาะสมกว่าครับ ปิดท้ายด้วยระบบพับเบาะแถวที่ 3 ด้วยไฟฟ้าเพียงกดสวิตช์เท่านั้น นับเป็นเจ้าเดียวเช่นกันสำหรับการพับเบาะแถวที่ 3 ด้วยไฟฟ้า
สุดท้ายกับความสะดวกสบาย ด้วยระบบประตูท้ายไฟฟ้า ที่ใช้เปิดได้จากสวิตช์บนฝาท้าย หรือสั่งการที่รีโมท และระบบใช้เท้าเตะเปิดหรือ "Handfree" เพียงแค่มีรีโมทติดตัวเอาไว้ก็ใช้ได้แล้ว อีกทั้งยังใช้ง่ายเพียงแค่กวาดเท้าแค่ครั้งเดียวก็ทำงานทันที และยังสั่งให้ปิดได้อีกด้วย
ขุมพลังเทอร์โบคู่ จัดหนัก 213 แรงม้า
ขุมพลังใน
Ford Everest Titanium+ 2.0L Bi-turbo 4x4 AT นับเป็นจุดเด่นที่เรียกว่ามีพละกำลังมากที่สุดในกลุ่ม PPV ของไทยกับเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ 16 วาล์ว 2.0 ลิตร เทอร์โบคู่
Bi-Turbo ให้กำลังสูงสุด 213 แรงม้า ที่ 3,750 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตัน-เมตร ที่ 1,750-2,000 รอบต่อนาที ผ่านระบบเกียร์ 10 สปีด และมีระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออัจฉริยะพร้อมระบบ
Terrain Management (i4WD with Terrain Management System) ซึ่งต้องบอกก่อนว่า เอเวอเรสต์ใหม่นี้นอกจากจะมีการปรับโฉมภายนอกแล้ว ระบบอะไหล่และชิ้นส่วนต่างๆ ก็ถูกปรับปรุงให้มีสมรรถนะและความทนทานที่ดีขึ้นอีกด้วย การันตีโดยการรับประกันเครื่องยนต์และระบบส่งกำลังนานขึ้นเป็น 10 ปี หรือ 150,000 กิโลเมตร
นุ่มนวลด้วยช่วงล่างด้านหน้าอิสระปีกนก 2 ชั้น คอยล์สปริง เหล็กกันโคลง ด้านหลังคอยล์สปริงพร้อมวัตต์ลิงค์และเหล็กกันโคลง พวงมาลัยเพาเวอร์แบบไฟฟ้าผ่อนแรงน้ำหนักเบา ขับขี่ง่ายคล่องตัวดี
ความปลอดภัย
Ford Everest Titanium+ 2.0L Bi-turbo 4x4 AT นับว่าเป็นรุ่นที่ให้มาเต็มคันกับเทคโนโลยีช่วยในการขับขี่อัจฉริยะ (Advanced-Driving Assist Technology) โดยระบบที่โดดเด่นก็คือ
- ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติ Adaptive Cruise Control เจ้าแรกๆ ในเซกเมนต์นี้
- ระบบช่วยจอดอัจฉริยะ Active Park Assist (ฟอร์ดเป็นยี่ห้อเดียวที่มีใน segment PPV) เจ้าเดียวที่มีให้ในรถระดับเดียวกัน
- ระบบช่วยเบรคอัตโนมัติ พร้อมระบบตรวจจับคนเดินถนน AEB with Pedestrian Detection (Autonomous Emergency Braking with Pedestrian Detection) ใหม่
- ระบบเตือนการชนด้านหน้า Forward Collision Warning System
- ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง Lane Keeping System
- ระบบเปิด-ปิดไฟสูงอัจฉริยะ Auto High Beam Control
- ระบบตรวจจับรถขณะออกจากซองจอด Cross Traffic Alert
นอกจากนี้ยังมี ถุงลม 7 ตำแหน่ง ระบบ ABS, EBD, ESP, ระบบควบคุมการทรงตัว traction control, ระบบควบคุมเมื่อมีรถต่อพ่วง roll over mitigation (ROM) ระบบตรวจจับรถในจุดบอด Blind Spot Information System กล้องมองหลัง
เรียกว่าระบบความปลอดภัยในบางรายการนั้นมีให้มาก่อนใครใน Everest และยังคงเน้นความเป็นพรีเมี่ยม SUV ที่ให้ความปลอดภัยมากที่สุดรุ่นหนึ่งก็ว่าได้ครับ
Ford Everest Titanium+ 2.0L Bi-turbo 4x4 AT หลังจากได้ลองใช้งานทั้งในและนอกเมือง จุดเด่นที่ชัดเจนเป็นตัวตนของเอเวอเรสต์ก็คือ "ความนุ่มนวลเงียบและปลอดภัย" เพราะระบบช่วยเตือนต่างๆ ขยันเตือนมากๆ เช่น การเตือนออกนอกเลน ซึ่งสามารถตั้งค่าให้เตือนด้วยเสียง เตือนพร้อมดึงกลับได้ด้วย และยังมีสวิตช์เปิดหรือปิดหากไม่ต้องการใช้งานที่ปลายก้านสวิตช์ไฟเลี้ยวทางขวา ระบบเซ็นเซอร์เตือนรอบคันคอยส่งเสียงดังเมื่อยามมีวัตถุหรือขับเข้าใกล้จุดเสี่ยง ทำให้เพิ่มความระวังได้ดีขึ้น
เบาะนั่งนุ่มนวลสบายตัว ผิวสัมผัสของเบาะไม่แน่นจนเกินไป ยังพอมีความอ่อนนุ่มรับกับสัดส่วนได้บ้าง ผิวสัมผัสของหนังแท้บนพวงมาลัยนุ่มมือกระชับดีมาก ส่วนตัวชอบตรงจุดนี้เป็นพิเศษ เพราะว่าต้องสัมผัสตลอดเวลา จึงช่วยเรื่องผ่อนคลายและความกระชับในการควบคุมรถ และน้ำหนักของพวงมาลัยที่เบามาก เมื่อจอดนิ่งหรือใช้ความเร็วต่ำ ส่วนความเร็วยังพอมีความตึงๆ มือบ้าง ไม่เบาเกินไปแต่ก็ไม่หนัก อาจต้องประคองพวงมาลัยอย่างแน่นเมื่อต้องใช้ความเร็วสูงหรือเข้าทางโค้ง และทัศนะวิสัยในการมองเห็นโปร่งโล่งสบายตา
สมรรถนะอัตราเร่ง
อัตราเร่งของเครื่องยนต์ที่ว่า 213 แรงม้ากับแรงบิด 500 นิวตัน-เมตรนั้น ส่วนตัวมองว่ามีให้เพียงพอต่อการใช้งานทั่วไป แต่จะสัมผัสกำลังได้ดีในช่วงเร่งแซงหรือขึ้นทางชัน ด้วยน้ำหนักตัวราวๆ 2 ตัน จึงทำให้เอเวอเรสต์มีอัตราเร่งออกตัวไม่หวือหวานัก ประกอบกับระบบเกียร์ 10 สปีดที่มีระยะห่างอัตราทดที่ชิดกันมาก จึงไม่รู้สึกถึงการเร่งแรงนัก แต่ว่ากลับได้เรื่องความนุ่มนวล ราบรื่น และลดอาการกระชากหากต้อง "คิกดาวน์" ตรงตามวัตถุประสงค์ของรถยนต์แบบครอบครัวที่เน้น "ความนุ่มนวลและปลอดภัย" เป็นสำคัญครับ
ถึงแม้ขณะออกตัวจะไม่ดุดันนัก แต่ความเร็วก็ไต่ระดับขึ้นไปแตะที่ 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จากจุดหยุดนิ่งแบบไม่นานนัก ซึ่งยังคงความนุ่มนวลแก่ผู้ขับขี่และผู้โดยสารเช่นเดิม ทั้งการเร่งแบบฉุกเฉินหรือจะเร่งแซงก็ยังให้ความนุ่มนวลมากเป็นพิเศษ
ในบางจังหวะที่เร่งแซงแบบฉุกเฉิน บางครั้งมีอาการ "คิด" เล็กน้อยว่าจะใช้เกียร์ตำแหน่งไหนและความเร็วเท่าไหร่ดี ก่อนที่ระบบเกียร์จะทำงานและสั่งการให้เปลี่ยนตำแหน่ง พร้อมๆ กับรอบเครื่องยนต์ที่กวาดออกไป ในจุดนี้ยังคงมีการ "รอ" ให้สัมผัสได้อยู่บ้างครับ แต่ถ้าเร่งไล่รอบตามความเร็วตั้งแต่ต้นๆ นั้น ไม่มีปัญหา เครื่องยนต์ 2.0 ลิตรตัวนี้จัดจ้านไม่เบาเลย
นอกจากนี้ยังมีโหมด บวก/ลบ ให้เล่นสนุกเมื่อต้องการกำลังเร่งแซงโดยไม่ต้องกดคันเร่งจนมิด ซึ่งค่อนข้างจะตอบสนองได้ไวกว่าการคิกดาว์นพอสมควรเลย
อัตราการกินน้ำมันนั้นอาจไม่โดดเด่นนัก ด้วยการขับขี่แบบปกติใช้งานทั่วไป ที่จากตัวรถมีอุปกรณ์และชิ้นส่วนต่างๆ เต็มคัน ประกอบกับน้ำหนักตัวที่สูงเอาการ ทำให้ได้ค่าเฉลี่ยอัตราการสิ้นเปลืองอยู่ที่ 12 - 14 กิโลเมตรต่อลิตร (ใช้ระหว่างในเมืองและนอกเมือง) ส่วนถ้าขับขี่ต่างจังหวัดก็จะขยับขึ้นได้อีกราวๆ 14 - 16 กิโลเมตรต่อลิตร (ขึ้นอยู่กับการขับขี่ของแต่ละบุคคล)
ช่วงล่างและความนุ่มนวล
จุดเด่นสำคัญของ "FORD" ก็คือช่วงล่างที่หาใครเลียนแบบได้ยากในรถระดับเดียวกัน ระบบช่วงล่างนั้นให้ความนุ่มนวลนั่งสบายแบบไม่มีอาการเต้น แม้ขับผ่านถนนผิวไม่เรียบ แต่ว่าในความนุ่มนวลนั้นกลับซ่อนความหนึบและหนักแน่นเอาไว้อย่างชัดเจน เมื่อเข้าทางโค้งหรือเปลี่ยนช่องทางแบบรวดเร็ว ก็ไม่มีอาการย้วยแต่อย่างใด มีเพียงอาการโคลงของตัวรถที่ล้อยกสูงทั่วไปที่ยังคงอยู่ แม้เวลาขับผ่านคอสะพานก็ยังคงหนักแน่น นับเป็นข้อดีที่ทำให้เอเวอเรสต์โดดเด่นกว่าใครในเรื่องนี้
พวงมาลัยคมกระชับใช้วงเลี้ยวแคบมาก หากเทียบกับรถระดับเดียวกัน น้ำหนักในความเร็วต่ำเบาสะดวกสบาย เลี้ยวถอยจอดง่าย ส่วนความเร็วสูงนั้นอาจต้องเกร็งมือสักหน่อย แต่ก็ยังพอมีความหนืดเพิ่มขึ้นมาบ้าง
การทำงานของระบบช่วยเหลือการขับขี่
ระบบช่วยเหลือการขับขี่ที่เป็นพระเอกของเอเวอเรสต์ก็คือ ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติ Adaptive Cruise Control ที่นับว่าใช้งานสะดวก ง่ายๆ เพียงกดปุ่ม (รูปรถ+วงกลมลูกศรชี้) บนพวงมาลัยฝั่งขวา และกด SET เพื่อตั้งค่าความเร็ว รถก็จะวิ่งตามที่ตั้งเอาไว้ และเมื่อมีรถคันหน้าที่ความเร็วช้ากว่า ระบบก็จะชะลอให้ความเร็วเท่ากับคันหน้า ซึ่งสามารถตั้งระยะห่างได้ที่ปุ่มลูกศรบนฝั่งขวาของพวงมาลัยเช่นกัน และเมื่อรถคันหน้าใช้ความเร็วมากกว่าหรือไม่มีรถอยู่ด้านหน้าแล้ว ระบบก็จะเร่งความเร็วขึ้นไปตามที่ตั้งเอาไว้ หากต้องการยกเลิกก็เพียงแตะเบรกหรือกดปุ่ม Can/off รูปรถ+วงกลมลูกศรชี้) ระบบก็จะยกเลิกทันที โดยระบบนี้จะลดความเร็วต่ำลงมาที่ประมาณ 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และจะมีเสียงเตือนให้เหยียบเบรก เพราะยังไม่ถึงกับเป็นระบบจอดสนิทนิ่งได้ (Stop & GO)
นอกจากนี้ยังมีระบบเตือนพร้อมช่วยเบรกอัตโนมัติ เมื่อรถคันหน้าความเร็วต่ำกว่า ระบบตรวจจับเจอว่าอาจเกิดอันตราย ไฟพร้อมเสียงจะเตือนขึ้น แต่หากยังไม่มีการตอบสนองของคนขับระบบก็จะเบรกให้อัตโนมัติ
Ford Everest Titanium+ 2.0L Bi-turbo 4x4 AT นับเป็นรถอเนกประสงค์ 7 ที่นั่ง สมรรถนะสูงจากเครื่องยนต์ทรงพลังระบบขับเคลื่อนที่นุ่มนวล ความสะดวกสบายในรถมากมาย เหมาะกับการจราจรในประเทศไทยที่มีภัยรอบด้าน แม้ว่าเราจะขับระมัดระวังแค่ไหนก็ตาม นอกจากนี้ยังให้ความนุ่มนวล เงียบ สบาย ในขณะเดินทาง โดยเฉพาะหากขับขี่ทางไกลๆ คุณจะได้ความสบายในสไตล์รถยุโรปแท้ๆ ออปชั่นเหนือระดับกับหลังคาแก้วยาวตลอดคัน พร้อมระบบช่วยเตือนต่างๆ มากมาย
และหากใครเป็นสายเที่ยวป่าเขาก็ไม่ต้องกังวล เพราะในเอเวอเรสต์รุ่นนี้นับเป็นสุดยอดแห่งระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบเดียวที่อยู่ใน Raptor สามารถลุยไปได้ทุกที่ ปลอดภัยมั่นใจทุกสภาพถนน ค่าตัว 1,799,000 บาท ไม่สูงเกินไปนักเมื่อแลกกับฟังก์ชันและสมรรถนะระดับยุโรป นอกจากนี้ยังไม่ต้องกังวลเรื่องชิ้นส่วนเสียหายอีกต่อไป เพราะทางฟอร์ดกล้ารับประกันเครื่องยนต์และระบบส่งกำลังรวม 10 ปี หรือ 150,000 กม. เรียกว่าใช้ยาวๆ จนลืมไปเลยครับ